"...ทางที่ถูกต้องสำหรับเท
ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็บังเกิดความรู้แจ้งพ้นจากกิเลสและความหลง ตั้งจิตเป็นสมาธิเผาราคี
ประวัติพระโพธิสัตว์พระพุทธบรรพจารย์ทะเลใต้ก็จบเพียงเท่านี้ เรื่องใหม่ติดตามชม ธรรมะในครัวเรือนจร้า
ซ่านไฉ่ผสมตัวยาเข้าด้วยกันแล้วกลั่นเป็นน้ำมันสำหรับทาพระวรกาย หลังจากนั้นพระเจ้าเมี่ยงจวงก็ทรงหายวันหายคืน พยุงตัวขึ้นนั่งและเริ่มเดินได้คล่องบ้าง แต่บาดแผลนั้นได้หายเฉพาะแค่ร่างกายซีกซ้ายเท่านั้นเมื่อถามซ่านไฉ่ด้วยความสงสัย จึงได้คำตอบว่า"ข้าพระองค์ผสมตัวยาเฉพาะตาซ้ายและแขนซ้ายเท่านั้นพระวรกายของพระองค์จึงหายแค่ซีกเดียว เมื่อหม่อมฉันทำน้ำมันจากมือขวาและตาขวา ร่างกายซีกขวาของพระองค์จึงจะหายได้ดี เป็นเพราะบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละอวัยวะให้ได้มีความสัมพันธ์กับวรกายของพระองค์โดยแท้"ซ่านไฉ่นำน้ำมันอีกขวดมอบให้หมอหลวงทาพระวรกายซีกขวา ก็ปรากฏว่าบาดแผลค่อยๆจางหายไปเป็นปลิดทิ้ง พระเจ้าเมี่ยวจวงยินดีเป็นที่สุด มีรับสั่งให้เรียกประชุมขุนนางทันที พระเจ้าเมี่ยวจวงเล่าความดีความชอบของภิกษุซ่านไฉ่ให้เหล่าเสนาฟังต่างสรรเสริญพระซ่านไฉ่ทั้งสิ้น แต่ซ่านไฉ่กล่าวว่า "ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพราะพระผู้เมตตาทางเกาะทะเลใต้ อาตมามิอาจรับคำยกย่องใดๆได้" พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงว่า"เอาเถอะๆ อย่างไรเสียท่านก็เป็นผู้รักษาเราจนหายเราจะแต่งตั้งท่านเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรซิงหลิง" ซ่านไฉ่ทำความเคารพอยางสงบนิ่งแล้วกล่าวว่า"อาตมาไม่อาจรับข้อเสนอนี้ได้ ธรรมดาวิสัยของกระเรียนป่าย่อมไม่บินต่ำเหมือนเต่าว่ายในปลักโคลนเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นสาวกแห่งพุทธศาสนาย่อมต้องการความสุขสงบตลอดกาลมากกว่าสิ่งอื่นใด" ซ่านไฉ่กล่าวว่า "สิ่งที่อาตมาต้องการมีเพียงขอให้พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้าราษฎรอย่างเที่ยงธรรม มีเมตตากรุณาและรักษาคุณธรรมเหล่านี้ไว้ตลอดไป" พระเจ้าเมี่ยวจวงแปลกพระทัยมากตรัสว่า "เราอยากรู้เหลือเกินว่าเกาะทางทะเลใต้ที่ท่านจากมานั้นเป็นที่สถิตของบุคคลเช่นไร ท่านจึงได้ยึดมั่นในความเมตตาและเสียสละถึงเพียงนี้ หากเรามีประสงค์จะเดินทางไปที่นั่นเพื่อส่งท่านให้ถึงที่หมาย และนมัสการผู้มอบดวงตาและแขนซ้ายขวาให้แก่เรา ท่านจะขัดศรัทธาหรือไม่" ภิกษุซ่านไฉ่คารวะดั่งน้อมรับบัญชา พระองค์จึงกล่าวต่อว่า "ท่านทั้งหลาย เราขอขอบใจที่พวกท่านทำงานให้แก่อาณาจักรด้วยความจงรักภักดี เราขอสละราชสมบัติลาไปยังเกาะลึกลับทางทะเลใต้ เพื่อชัยชนะที่แท้จริงแห่งชีวิต"เหล่าขุนนางก้มศีรษะรับบัญชาอย่างเศร้าโศก ผู้ที่จงรักภักดีหลายคนขอตามเสด็จไปด้วยพระองค์ก็ไม่ขัดข้อง หลังจากวันนั้น พระองค์มักจะสนทนาธรรมกับภิกษุซ่านไฉ่ เปลี่ยนพระทัยที่ลุ่มหลงในการสงความเป็นความรักความเมตตา ทรงคืนอิสรภาพให้แก่ทาสเชลยศึก ทรงนำทรัพย์สมบัติมาบริจาคให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนคนทั้งเมืองกล่าวขานกันว่า เสือร้ายกลายเป็นหงส์ เพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิผู้สังหารชีวิตนับไม่ถ้วนในสงคราม สั่งประหารแม้แต่คนในครอบครัวของตนเอง จะหันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีกินดีเช่นนี้วันหนึ่งพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ประกาศสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ มอบให้คณะอำมาตย์คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมต่อไป ส่วนพระองค์ได้พาสองพระธิดาผู้พ้นโทษและขุนนางผู้ภักดีอีกจำนวนหนึ่งติดตามภิกษุซ่านไฉ่ออกเรือสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ช่วงแรกของระหว่างการเดินทาง ซึ่งมีแต่น้ำกับฟ้าเป็นทิวทัศน์อันไร้จุดสิ้นสุด ทำให้ทุกคนรู้สึกเบื่อหน่าย ซ่านไฉ่จึงได้เทศนาธรรมให้คณะเดินทางหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทางโลก ปราศจากคำสรรเสริญเยินยอ ละจากโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ทุกคนจึงตั้งมั่นในพุทธธรรม ปฏิบัติวิปัสสนาอยู่เป็นนิจเมื่อไกลห่างจากอาณาจักรซิงหลิง อกุศลกรรมที่พระเจ้าเมี่ยวจวงเคยก่อก็ส่งผลทันตาเห็น เมื่อท้องฟ้าอันสงบกลับดำมืดก่อกลุ่มเป็นพายุขึ้นที่ขอบฟ้า พัดพุ่งเข้าหาเรือสำเภาของคณะเดินทาง ท้องทะเลปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดลมก็พัดเรือมาติดยังเกาะร้างแห่งหนึ่งชาววังซึ่งเคยออกทะเลเป็นครั้งแรก หวาดกลัวเป็นอย่างมากพากันลงจากเรือมาหลบภัยจากทะเลยังเกาะร้าง แต่ทว่าความวิปริตแปรปรวนของเกาะนี้ก็สร้างความตื่นตะลึงให้ไม่แพ้กันเมื่อเกาะนี้เป็นจุดบรรจบของความร้อนจัดและหนาวเย็นยะเยือกมาประสานกัน กลางเกาะมีภูเขาไฟที่ปกคลุมด้วยหิมะแต่ภายในมีความร้อนระอุพร้อมจะระเบิดอยู่ทุกเมื่อ ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่เลย ภิกษุซ่านไฉ่เดินนำด้วยกิริยาอันสงบ พาทุกคนเข้าพักในถ้ำกว้างแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นภูเขาไฟกลางเกาะก็ระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น กองหินมหึมาถล่มลงมาปิดปากถ้ำพอดี ทุกคนกลัวจนตัวสั่น ภิกษุซ่านไฉ่ปลอบใจและเดินนำหาทางออกในถ้ำมีแสงสว่างเพียงอย่างเดียวคือคบเพลิงในมือต้นหนเรือ ตามมาด้วยภิกษุซ่าน
ไฉ่ พระเจ้าเมี่ยวจวง พระธิดา และผู้จงรักภักดี ลึกเข้าไปในถ้ำความร้อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น รอบด้านเต็มไปด้วยบ่อหินหลอมเหลวร้อนระอุ บางบ่อมีควันพิษพุ่งขึ้นมา ทุกคนเริ่มหายใจติดขัด ต่างคิดว่านี้เป็นหนทางสู่ความตายโดยแท้ พระเจ้าเมี่ยวจวงรำพึงถึงความสุขสบายสมัยอยู่ในราชวังจนเกือบเปลี่ยนใจไม่เชื่อถือในพุทธธรรม เพราะขณะนี้ทรมานไม่ต่างจากขุมนรก ซ่านไฉ่จึงกล่าวว่า"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผลกรรมที่พระองค์เคยกระทำมายามเสวยสุขบนความทุกข์ของราษฎร พระองค์จงตั้งมั่นถึงพระพุทธคุณด้วยจิตอันภักดีเถิด ความทุกข์จะกลายเป็นสวรรค์ แม้ปีศาจแวดล้อมอยู่ก็มิอาจทำอะไรพระองค์ได้"พระเจ้าเมี่ยวจวงได้รับการชี้แนะก็ทรงรู้สึกเหมือนมองเห็นทางสว่าง ตั้งจิตมั่นถึงพระพุทธองค์ว่า "ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจเคารพ โปรดช่วยคุ้มครองให้ความทุกข์ดั่งอยู่ในอเวจีของข้าพเจ้าทั้งหลายจงหายไป เพื่อจะได้เดินทางไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จด้วยเทอญ" สิ้นรับสั่ง ผนังถ้ำด้านหนึ่งก็แยกออกเผยให้เห็นเทพนักรบกวัดแกว่งง้าวเหล็กผ่าผนังถ้ำออกอย่างง่ายดาย ทำให้เหล่านักเดินทางหลุดออกมาจากถ้ำมรณะแห่งนั้นได้ แต่ทว่าได้มีมังกรตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากปากถ้ำโดยพร้อมกัน มังกรยักษ์ตัวนั้นลอยอยู่ในอากาศอ้าปากคำรามก้อง เมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนหลุดออกไปเพราะฝีมือแห่งเทพมังกรยักษ์ทะยานเข้าต่อสู้กับเทพถือง้าว แต่เพียงชั่วพริบตาร่างของมังกรก็ถูกฟันขาดเป็นแนวยาว ตกลงพื้นเสียงดังสนั่น เกิดเพลิงลุกไหม้ทั่วร่างเป็นต้นกำเนิดฝูงปีศาจจำนวนมหาศาลผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ปีศาจน่าขยะแขยงกระโดดมารายล้อมกลุ่มมนุษย์อย่างกระหายเลือด ทุกคนต่างหวาดกลัวยิ่งนัก ยกเว้นภิกษุซ่านไฉ่ที่ยังคงสงบนิ่งพนมมือ ภาวนาอย่างมีสมาธิทุกคนจึงทำตาม ต่างระลึกถึงพระพุทธคุณ วิงวอนให้ตนรอดพ้นจากภยันตราย ทันใดนั้น บนท้องฟ้าได้ปรากฏกองทัพเทพทรงเครื่องรบพร้อมอาวุธ เปล่งแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด ปีศาจทั้งหลายเหาะขึ้นไปต่อสู้เกิดเป็นสงครามกลางท้องฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวในที่สุดเหล่าปีศาจก็สิ้นชีพด้วยฤทธิ์แห่งทวยเทพ ท้องฟ้าและท้องทะเลอันวิปริตแปรปรวนได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ซ่านไฉ่และคณะเดินทางกราบคารวะผองเทพผู้ปราบมารอย่างนบน้อม เหล่าเทวะก็เหาะคืนสู่ชั้นฟ้าดังเดิม คงเหลือแต่เทพผู้ถือง้าวได้เนรมิตเรือแก้วเจ็ดประการอันแข็งแกร่งให้แก่คณะเดินทาง สร้างความยินดีให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก เมื่อขึ้นเรือหมดทุกคนแล้ว เทพถือง้าวกล่าวขึ้นว่า"นาวาลำนี้สร้างขึ้นเพื่อให้สัตว์โลกอาศัยข้ามความเกิดและความตาย ทุกคนจงมีจิตศรัทธาละทิ้งความกลัวเสีย นาวานี้จะนำพวกเจ้าออกจากเกาะแห่งทุกข์ระทมที่พลัดหลงเข้ามาเพราะบ่วงกรรม พระเมตตาแห่งพระโพธิสัตว์จะเป็นเครื่องป้องกันอันตรายมิให้อับปางด้วยพายุเด็ดขาด จงไปเถิด"นาวานั้นนำทางทุกคนมาสู่ท้องทะเลอันสงบ เมฆขาวลอยฟ่องดังปุยนุ่นบนท้องฟ้า แสงอาทิตย์มิได้แผดกล้าร้อนแรง แต่กลับเป็นแสงทองอันอบอุ่นส่องนำทาง ฝูงนกโบยบินอย่างมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของมวลบุปผาจากแดนไกลลอยมาอย่างประหลาด เป็นสัญญญาณให้รู้ว่าใกล้ถึงเ
กาะศักดิ์สิทธิ์แล้วในที่สุดทุกคนก็ถึงที่หมายในเวลาเที่ยงตรงของวันหนึ่ง ซ่านไฉ่นำทุกคนเดินเท้าผ่านทิวทัศน์อันสวยงาม แปลกตา ปลอดโปร่ง และสุขสบายอย่างหาสัมผัสได้ยากบนแดนที่ตนจากมา จนกระทั่งเข้าสู่ป่าไผ่สีม่วง ก็พบปราสาทกลางบึงบัวอันวิจิตรงดงาม ทุกคนต่างก้าวเดินอย่างลืมเหน็ดเหนื่อย เพราะมีความปรารถนาจะพบพระผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มหัวใจครั้นแล้วทุกคนก็ได้พบกับพระโพธิสัตว์กวนอิมประทับอยู่กลางบัลลังก์บัวอย่างสง่างาม แต่พระองค์กลับไม่มีพระเนตรและพระกรเหลืออยู่เลย ทุกคนได้แต่มองอย่างตกตะลึงและซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์ พระเจ้าเมี่ยวจวงและพระธิดาทั้งสองเพียงแรกเห็นก็จดจำได้ว่านี่คือพระธิดาเมี่ยวซ่านอย่างแน่นอน เพราะแผลเป็นจางๆ กลางหน้าผากบ่งบอกได้เด่นชัด พระเจ้าเมี่ยวจวงและสองพระธิดาคร่ำครวญถึงการสูญเสียอย่างไม่อาจหวนคืน พระธิดาสามต้องเป็นผู้พิการไร้มือและดวงตามืดบอดตลอดกาลเป็นเพราะช่วยบิดาแท้ๆแต่พระโพธิสัตว์กวนอิมตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดาและพระพี่นางที่รัก การสละอินทรีย์เพื่อช่วยผู้ทนทุกข์นับเป็นความยินดียิ่งแห่งเราอย่าได้เสียใจไปเลย" พระเจ้าเมี่ยวจวงยังคงเสียพระทัยที่พระธิดารักต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงว่า "หากพระบิดาโศกเศร้าอยู่ในห้วงทุกข์ เพราะเราไร้ดวงตาและแขนซ้ายขวา เราก็ขอตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ร่างกายเรากลับบริบูรณ์ดังเดิมเทอญ" สิ้นคำตรัส แขนซ้ายขวาสีทองนับพันได้ปรากฏขึ้นบนร่างของพระองค์พร้อมดวงตางามกว่านางอัปสรบนชั้นฟ้า ทุกคนในที่นั้นต่างปีติยินดียิ่งร่ำไห้สวมกอดกันอย่างไม่คิดจะเลิกราพระโพธิสัตว์กวนอิมชี้ทางสว่างด้วยการเทศนาธรรมแก่ทุกคน ทรงแสดงภาพนิมิตถึงภพภูมิแห่ง เปรตอเวจี ให้เห็นว่าผู้ก่อกรรมทำบาป ทุจริตของสาธารณะมาเป็นประโยชน์ส่วนตน จิตใจคับแคบ ห่วงกังวลในสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบ ก็จะกลายเป็นเปรต หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นไปได้คือ ได้รับแสงแห่งพระโพธิสัตว์บรรเทาความทุกข์ให้มลายหายไป ทรงเทศนาพระอริยสัจสี่ประการอันเป็นวิถีแห่งบุญ ฝูงเปรตที่ฟังแล้วเกิดปัญญาก็ได้เกิดใหม่ในภพที่รุ่งเรืองกว่าในเทวโลก เปรตตนใดที่ยังหลงมัวเมา
ก็คงอยู่ต่อไปในเปรตภูมิต่อมาพระองค์ได้พาทุกคนไปยัง นรกภูมิ เห็นภาพแม่น้ำเดือดพล่าน ต้นไม้ลุกเป็นไฟ มีใบเป็นดาบคมกริบ มีแขนขาลอยฟ่องอยู่ในแม่น้ำ น่าสยดสยองพระเจ้าเมี่ยวจวงถามว่า "คนบาปชนิดใดจึงตกอยู่ในภพนี้" พระกวนอิมตอบว่า"มนุษย์ผู้กระทำชั่วมหันต์ จำพวกฆ่าชีวิต ข่มขี่คนจน ลักลอบเป็นชู้ หยาบกระด้างด้วยโทสะ โมหะ เผาผลาญจนที่แห่งนี้ลุกเป็นไฟตลอดกาล ต่ำลงไปเป็นขุมนรกแห่งผู้ก่อศึกสงคราม จะต้องรบราฆ่าฟันกันเองนานชั่วกัลป์ ส่วนผู้กระทำความโลภ เลือดเย็นอำมหิต วางยาพิษ คนพวกนี้ต้องอยู่ในความมืดมีน้ำแข็งห่อหุ้มทรมานและพวกวางอุบายใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ใส่ตน ะไปเกิดแต่ลำพังคนเดียวในโลกมืดบอดไร้ทางออก"พระเจ้าเมี่ยวจวงถามถึงหนทางหลุดพ้นของสัตว์นรกเหล่านี้ พระกวนอิมจึงว่า "ภาพเหล่านี้สร้างขึ้นจากมโนญาณ เมื่อจะออกไปได้ต้องละจากบาป ไฟทรมานจึงจะดับลง และกรรมดีจะพาไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่านี้" ทุกคนต่างอยากเห็นภพที่ดีดังกล่าวจึงขอให้พระโพธิสัตว์กวนอิมทรงพาไป ครั้นแล้วปราสาททิพยวิมานอันวิจิตรตระการตาก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน เทียบกันแล้วพระราชวังของพระเจ้าเมี่ยวจวงกลายเป็นเพียงกระท่อมหญ้าทันที ส่วนความงามของสองพระธิดาก็ต้องมัวหมองลงเมื่อเปรียบกับความงามของนางอัปสรบนแดนนี้ และ ณ ที่แห่งนี้เองทุกคนก็ได้พบกับพระนางเป้าเต๋อ พระมเหสีและพระมารดาผู้เป็นที่รักของทุกคน พระนางเป้าเต๋อจึงติดตามคณะท่องแดนสวรรค์ เสด็จเคียงข้างพระเจ้าเมี่ยวจวง สร้างความยินดีให้กับทุกคนพระกวนอิมตรัสว่า "หากต้องการขึ้นมาอยู่ในเทวภูมินี้ ต้องบำเพ็ญบารมีด้วยการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เคารพผู้แก่ชรา สุภาพอ่อนหวานทั้งกาย วาจา ใจ ปราศจากความเห็นแก่ตัว หมั่นบริจาคทาน กล่าวแต่คำสัตย์ และอดกลั้นความโกรธ" คณะท่องดินแดนนรกและสวรรค์เห็นตรงกันว่า ต้องการเสวยสุขในดินแดนแห่งนี้ พระโพธิสัตว์กวนอิมแย้มสรวลอ่อนละมุนแล้วตรัสว่า "แท้จริงแล้ว ชาวสวรรค์เหล่านี้รับความบันเทิงในผลบุญจากปางก่อน แต่ยังมัวเมาหลงงมงามในความสนุกแห่งรูปไม่นานจิตก็จะเสื่อมด้วยอำนาจแห่งความหลง สวรรค์ก็จะมลายหายไป เทวดาเหล่านี้ก็จะตกสู่บาปภพเพื่อชดใช้กรรม ไม่ต่างจากคนบาปเมื่อครู่..."
ฝูงชนและภิกษุณีในวัดก้มลงกราบรูปธรรมของไต้ซืออย่างเลื่อมใสศรัทธาและกายละเอียดของไต้ซือก็ลอยขึ้นหายลับไปในหมู่เมฆขาวส่วนสังขารเดิมของไต้ซือนั้นเย็นดุจน้ำแข็งภิกษุณีจึงสวดสังวัธยายพุทธมนต์อย่างพร้อมเพรียงกันย่งเหลียนและพระน้านางเตรียมเข้าวังกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวง พอดีกับมีม้าเร็วได้ถือพระราชโองการมาว่า พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบการปลงสังขารของไต้ซือเมี่ยวซ่านแล้ว เพราะไต้ซือได้เสด็จไปอำลาพระบิดาถึงในตำหนักเมื่อครู่ที่ผ่านมาพระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงมีพระราชโองการว่าให้ลงรักปิดทองสังขารกายเนื้อของไต้ซือและจุดกำยานอบตลอดเวลา เก็บรักษาไว้ในห้องวิปัสสนาและเปลี่ยนชื่อจากห้องหลิงหลงเป็นห้องกวนอิมเมตตา วัดจินกวงหมิงจึงมีงานใหญ่อีกครั้งคือการบูรณะวัด จัดการตกแต่งห้องวิปัสสนาตามพระราชโองการของพระเจ้าเมี่ยงจวง มีโคมประทีปแขวนประดับประดางดงาม ส่วนร่างเดิมของไต้ซือได้ให้ช่างลงรักชนิดพิเศษฉาบทาพระศพปิดทองทั่วองค์ มีการจุดธูปกำยานหอมอบอวลอยู่ตลอดเวลา และแล้วในที่สุดป้ายชื่อห้องกวนอิมเมตตา ก็ได้รับการติดตั้งสมบูรณ์ฝ่ายไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้น เมื่ออำลาพระบิดาแล้วก็เหาะลอยไปยังทะเลใต้สู่เขาโปตละโลกา ไม่นานจึงถึงจุดหมาย เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งเขาพระสุเมรุ มีพันธุ์ไม้แปลกไปจากโลกมนุษย์ปกคลุมทั่วสารทิศ สัตว์ต่างๆมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่ซึ่งพระองค์จากมา ถัดไปคือป่าไผ่สีม่วงสูงชะลูดเทียมเมฆ กลางดงไผ่นั้นมีวังดอกบัวขาวตระการตาส่องแสงฉัพพรรณรังสีทั่วทิศทาง กลางบึงมีดอกบัวชมพูบานดั่งบัลลังก์รอคอยการมาเยือนของพระองค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือลอยเหนือบัลลังก์บัวลงประทับเป็นครั้งแรก ๙ ปีต่อมาคืนหนึ่งหลังจากทรงบำเพ็ญภาวนาติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวันพระองค์ก็สัมผัสได้ถึงหนทางสีขาวบริสุทธิ์สุขสงบ ครั้นแล้วดวงจิตก็สามารถเพ่งมองทะลุไปทุกแดนทั่วพิภพ นับเป็นหนทางสู่นิพพานอันเป็นสุข แต่ทว่าพระองค์ทรงสดับเสียงคร่ำครวญปริเวทนาการของสัตว์โลกที่รับความทุกข์ทรมานอยู่ในทุกๆ แห่งจึงทรงตั้งปณิธานมุ่งมั่นว่า”เราจะไม่เข้าสู่ภูมิอันสันติโดยลำพังเป็นอันขาดเราจะอยู่เพื่อช่วยสรรพสัตว์ในโลกให้พ้นทุกข์ภัยแม้จะใช้เวลานานนับโกฏิล้านปี”ดังสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของพระองค์ดอกไม้แห่งสวรรค์พลันโปรยปราย เสียงทิพยดนตรี พิณสังคีตบรรเลงขับขาน แสงทองสาดส่องร่วมเป็นสักขีพยาน บรรดาพระอรหันต์ ได้ยินสังคีตดนตรีต่างเปล่าวาจาว่า”ดีจริงเมี่ยวซ่านได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแล้ว “ จารึกไว้ในวันที่ ๑๙ เดือน ๖ ตามตำนานในพระสูตรในการนี้ได้มีการเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา ซึ่งย่งเหลียนผู้ติดตามมาถึงแดนทะเลใต้ได้รับเลือกเป็นคนแรก ต่อมาภิกษุหนุ่มนาม ซ่านไฉ่ หรือเจ้าเด็กผีจอมซน เซิ่นอิง เมื่อ ๙ ปีก่อนได้อาสารับใช้พระโพธิสัตว์โดยกราบทูลว่า "เดิมทีข้าพระองค์มัวเมาในความสนุกสนานอย่างมืดบอด ครั้นเมื่อหันมาศึกษาพระธรรมอย่างมุ่งมั่นและออกติดตามหาพระองค์จนมาถึงดินแดนแห่งนี้ก็เพราะค
วามภักดีเป็นที่ตั้ง ครานี้ข้าพระองค์จึงขอภักดีรับใช้พระองค์ตลอดไป" พระกวนอิมต้องการพิสูจน์ความมั่นคงของซ่านไฉ่จึงสั่งให้ไปรอที่ยอดเขารอคำพิจารณา ซ่านไฉ่ขึ้นเขาไปรอตามรับสั่ง แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อท้องทะเลเบื้องหน้ามีกองเรือโจรสลัดมหาศาลจอดอยู่ริมฝั่งและกำลังยกทัพขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ขุนโจรคนหนึ่งกระชากร่างพระกวนอิมออกมาจากป่าไผ่สีม่วงได้ พระองค์รีบสลัดแขนจนหลุดแล้วปีนขึ้นมายังหน้าผา โจรสลัดตามขึ้นมาเป็นพรวน พระกวนอิมถูกอาวุธบาดเจ็บพลัดตกลงเหวไป ซ่านไฉ่คว้าร่างของพระองค์ไม่ได้ จึงตัดสินใจกระโดดลงไปหมายจะขอตายตาม และแล้วซ่านไฉ่ก็ฟื้นขึ้น เบื้องหน้าไม่มีโจรสลัด ไม่มีความตาย คงมีแต่แววตาเปี่ยมกรุณาของพระโพธิสัตว์กวนอิมทอดมายังเขา แล้วกล่าวว่า "นี่คือข้อพิสูจน์ความภักดีของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ร่างเก่าของเจ้าเป็นธุลีอยู่ในเหวนั้นแล้ว ขณะนี้เจ้ามีร่างอันเกิดใหม่อันเป็นอากาศธาตุ สามารถจำแลงกายล่องลอยในอากาศไปถึงแดนแห่งพรหมโลกได้ เป็นการตอบแทนที่เจ้าพลีชีพบูชาอย่างภักดี" จากนั้นเป็นต้นมาย่งเหลียนและซ่านไฉ่จึงเป็นสาวกเบื้องซ้ายขวาคอยรับใช้พระโพธิสัตว์กวนอิมเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง พระกวนอิมทรงทอดพระเนตรไปยังอาณาจักรซิงหลิง ก็พบว่าบัดนี้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งร้าย ทั่วพระวรกายเต็มไปด้วยแผลพุพอง น่ากลัว ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ทรงทำไว้ พระกวนอิมทรงทราบดีว่าหากพระบิดาสิ้นพระชนม์ไปในยามนี้ ย่อมต้องตกนรกภูมิสู่ขุมสุดท้ายหนทางเดียวที่จะช่วยเหลือได้คือใช้แขนและดวงตาแห่งพระโพธิสัตว์ทำเป็นยารักษา ดำริแล้วก็ทรงมอบหมายให้ภิกษุซ่านไฉ่ไปยังอาณาจักรซิงหลิงและบอกวิธีรักษาแก่พระเจ้าเมี่ยงจวง เมื่อหายแล้วจงเกลี้ยกล่อมให้สละราชสมบัติ เดินทางมาที่เกาะโปตละโลกาแห่งนี้ภิกษุซ่านไฉ่หายตัวมาปรากฏกายขึ้นที่อาณาจักรซิงหลิง ซึ่งขณะนั้นกำลังมีทหารประกาศป่าวร้องว่า"ขณะนี้พระมหาจักรพรรดิทรงประชวรจากโรคประหลาด ถ้าใครสามารถรักษาพระองค์จนหายจะได้รับพระราชบัลลังก์เป็นการตอบแทน" ซ่านไฉ่เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงออกมาหน้าฝูงชนรับอาสารักษาอาการของพระเจ้าเมี่ยงจวงทันที เมื่อภิกษุซ่
านไฉ่มาถึงห้องบรรทมก็พบว่ามีหมอหลวงหลายคนยืนล้อมรอบเตียงอยู่พระธิดาสองพระองค์ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆอย่างเกรงกลัวโรคร้ายที่มุมห้องโฮเฟงและเจาไควราชบุตรเขยยืนกระซิบกระซาบส่งสายตาดูถูกมายังภิกษุซ่านไฉ่ พระเจ้าเมี่ยงจวงนั้นนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพระที่ ทรงมีแผลหนองทั่วพระวรกายครั้นทอดพระเนตรเห็นภิกษุแปลกหน้าจึงตรัสด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า"ท่านนักบวชท่านมารักษาเราหรือมาเพื่อเยาะเย้ยเราผู้เคยเกลียดชังศาสนาของท่าน" ซ่านไฉ่ทูลว่า"ความโกรธหรือพยาบาทจะถูกแทนที่ด้วยความเมตตาเสมอมหาบพิตรอาตมาเดินทางมาเพื่อบอกว่าอาตมารู้วิธีลับในการรักษาอาการป่วยของพระองค์" พระเจ้าเมี่ยงจวงผุดลุกขึ้นนั่งอย่างมีหวังขึ้นมาทันที ทุกคนในห้องเงียบกริบรอฟังคำของภิกษุหนุ่มอย่างจดจ่อ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า"ท่านจงว่ามาโดยเร็วเถิด"ซ่านไฉ่เอ่ยขึ้นว่า "การรักษานั้นไม่ยากอะไรเพียงแต่ตัวยานั้นยากที่จะเสาะหาได้ เพราะต้องใช้น้ำมันที่ทำด้วยแขนและดวงตาของผู้ปราศจากความโกรธเท่านั้น"พระเจ้าเมี่ยงจวงไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ในโลกจนกระทั่งซ่านไฉ่ทูลว่า"ท่านผิดแล้ว มหาบพิตร ไกลออกไปทางทะเลใต้มีเกาะชื่อโปตละโลกา เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งยอมสละอวัยวะอินทรีย์ให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่ต้องการ"พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังดังนั้นก็รีบสั่งการให้แม่ทัพเจาเจนและองครักษ์หลีฉินเดินทางไปยังเกาะโปตละโลกาทันที จากนั้นจึงรีบสั่งให้จัดการรับรองซ่านไฉ่ภิกษุอย่างดีภายในพระราชฐานชั้นในโฮเฟงและเจาไควกระซิบกระซาบอย่างมีเลศนัย แล้วพากันเดินออกมาจากห้องพระบรรทมทั้งสองมาปรึกษากันภายในเทวสถานเทพแห่งสงครามอันลับตาคนโฮเฟงกล่าวว่า"น้องรองหากเป็นดังที่ภิกษุว่ามีผู้ยอมสละแขนและดวงตาให้แก่ผู้อื่นจริงๆ แล้วแผนการของเรามิล้มเหลวหมดหรือ" เจาไควจึงว่า"เรื่องพระโพธิสัตว์อะไรนั่นอาจเป็นพระธิดาสามเมี่ยวซ่านก็เป็นได้และถ้าเป็นนางจริงนางก็ต้องยอมสละอินทรีย์เพื่อรักษาพ่อตัวเองอยู่แล้วดังนั้น หากเรารอให้เสด็จพ่อตายตามธรรมชาติก็ป่วยการเปล่าเราควรกำจัดเสี้ยนหนามเสียตั้งแต่ตอนนี้ทั้งเสด็จพ่อทั้งภิกษุบ้าๆ นั่น"แผนการของสองราชบุตรเขยมีอยู่ว่าจะให้โฮ่หลีคนสนิทของเจาไควนำยาผสมพิษร้ายขึ้นไปถวายโดยบอกว่าเป็นยาที่ภิกษุซ่านไฉ่ผสมให้มาเสวย ระหว่างนี้คนสนิทของโฮเฟงชื่อซูต้า จะลอบเข้าไปฆ่าซ่านไฉ่หากแผ่นนี้ลุล่วงด้วยดี โฮเฟงและเจาไควจะได้เป็นจักรพรรดิ์และผู้กุมอำนาจทางการทหาร แล้วโฮหลีและซูต้าจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นการตอบแทน คนชั่วทั้งสี่ปฏิญาณตนร่วมกันต่อหน้าเทพแห่งสงครามในเทวสถานแห่งนั้นเอง โดยทั้งสี่หารู้ไม่ว่าอุบายของพวกตนได้ถูกเทพอารักษ์ล่วงรู้จนหมดสิ้นครั้นตกค่ำโฮ่หลีนำถ้วยยามาถวายพระเจ้าเมี่ยวจวง โดยบอกว่าภิกษุซ่านไฉ่ให้นำมาถวาย เทพอารักษ์หน้าตาดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นคว้าถ้วยยานั้นขว้างแตกกระจาย ยาพิษกัดกร่อนพื้นจนควันขึ้น เทพอารักษ์บอกหตุร้ายแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วหายตัวไป พระองค์รับสั่งให้ทหารจับกุมตัวโฮ่หลีไว้ขณะเดียวกันซูต้าซึ่งแอบเข้าไปในห้องพักของซ่านไฉ่ เห็นเงาตะคุ่มนั่งอยู่บนเตียงก็คิดว่าเป็นซ่านไฉ่ จึงจ้วงแทงไม่ยั้ง แต่ปรากฏว่าเงานั้นเป็นเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ และผ้านั้นได้พุ่งเข้ามัดตัวซูต้าไว้แน่นจนขยับไม่ได้ ซูต้าร้องลั่นด้วยความกลัวตาย "ว๊าก ! พระผี กลัวแล้ว ! ใครก็ได้ช่วยด้วย" ทหารยามพุ่งเข้ามาจับตัวซูต้าพร้อมอาวุธได้ทันท่วงทีเช้าวันรุ่งขึ้น โฮเฟงและเจาไค
วได้ถูกจับกุมตัวถึงตำหนักแต่เช้าตรู่ ทั้งสองได้ถูกมัดมือไขว้หลังลากมาคุกเข่าหน้าพระพักตร์ ภายในห้องบรรทมมีเหล่าขุนนางเข้าเฝ้ารายล้อมอยู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสขึ้นว่า "ท่านทั้งหลายคงคิดว่าในบรรดาจักรพรรดิทั้งหลาย เราคือผู้โชคร้ายที่สุดใช่ไหม ทั้งเรื่องเทพเจ้าชังเราจึงประทานโรคร้ายมาให้ ห้องบรรทมของเราก็มีผู้นำยามรณะมาให้ดื่ม แม้แต่ภิกษุผู้นำวิธีรักษามาบอกเราก็ถูกปองร้ายไปด้วย"เจาไควรีบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว พวกหม่อมฉันเป็นถึงราชบุตรเขยมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วเหตุใดจึงต้องปองร้ายพระองค์ด้วยนี่ต้องเป็นความคิดต่ำทรามของภิกษุบ้านั่นแน่ๆ"ขาดคำทหารก็นำตัวซูต้าและโฮ่หลีเข้ามาพร้อมเสียงวิงวอนว่า"ทรงพระกรุณาด้วย ไว้ชีวิตพวกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะสารภาพทุกเรื่อง" โฮเฟงและเจาไควเห็นพยานทั้งสองปากโป้งก็หน้าซีดเหงื่อแตกเพราะเห็นลางมรณะมาใกล้แค่เอื้อมพระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า"ท่านทั้งหลายจงดูไว้ ข้ายกพวกมันไว้ในตำแหน่งสูงสุด แต่พวกมันกลับคิดคดทรยศข้าได้ ทหาร ! จับไอ้ผู้บงการใหญ่ไปประหารชีวิตเสียทั้งคู่ ส่วนลูกน้องมันให้จองจำไว้ในคุกมืดลูกสาวของข้าเอาแต่รักสนุกไปวันๆ ไม่รู้ว่าเห็นชอบกับแผนชั่วของสามีหรือเปล่าสั่งการลงไปให้ถอดยศจากเจ้าหญิงเป็นสามัญชน แล้วขังไว้ในตึกเย็นไม่ต้องให้เสพสุขเช่นเดิมอีก"รับสั่งจบก็ทรุดองค์ลงกุมพระอุระอย่างรวดร้าวได้แต่ทรงรำพึงว่า"เมี่ยวซ่านลูกรักไม่มีใครทุกข์ใจยิ่งกว่าพ่ออีกแล้วในตอนนี้ กรรมสนองให้พ่อทนทุกข์ดั่งอยู่ในกองไฟเป็นเพราะสงครามนองเลือดที่พ่อก่อไว้ใช่หรือไม่ อีกไม่นานพ่อคงได้รับทุกข์ในนรกจริงๆ" ทุกคนในที่นั้นมององค์จักรพรรดิด้วยแววตาโศกสลดอย่างที่สุดขณะนั้นเองเจาเจนและหลีฉินได้เดินทางกลับมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์พอดี สิ่งที่ทั้งสองนำมาด้วยนั้นคือ ดวงตามนุษย์และมืออีกคู่หนึ่ง ทำให้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีความหวังว่าจะหายจากโรคร้ายรีบรับสั่งให้ซ่านไฉ่ปรุงยารักษาพระองค์ทันที
สามวันต่อมาคณะเดินทางของไต้ซือเมี่ยวซ่านก็ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ พบป้ายศิลาตั้งตระหง่านอยู่เหนือศีรษะ มีตัวหนังสือสลักว่า”แดนชนะ”ทั้งสามปีติยินดียิ่งและก้มลงกราบป้ายศิลาคนละครั้งแล้วเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งลี้ ก็พบชะง่อนหินโค้งคล้ายหลังคาซึ่งให้ร่มเงาแก่ลานหินกว้างด้านล่างอย่างดี บนลานหินนี้เองมีผู้เฒ่าคิ้วยาว หนวดยาวสีขาวดังปุยสำลีผู้เฒ่าทอดแววตาแจ่มใสและเมตตามองมายังคณะผู้เดินทาง เมี่ยวซ่านไต้ซือคิดว่าผู้อาวุโสนี้หากมิใช่พระพุทธองค์แปลงกายมาโปรดก็ต้องเป็นผู้สำเร็จธรรมชั้นสูง จึงพาศิษย์เข้ากราบคารวะขอคำชี้แนะแนวทางแห่งการหลุดพ้น ผู้เฒ่าคิ้วยาวกล่าวว่า "ดีจริงๆ พวกเจ้าลำบากสาหัสในการเดินทางก็ยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจ เราคือเทพไท่ไป๋ มารอเพื่อจะบอกว่า ธรรมอันวิเศษแท้จริงแล้วมิได้อยู่ที่นี่"เมี่ยวซ่านไต้ซือถามว่า"ขอผู้อาวุโสโปรดช่วยชี้ทางหลุดพ้นจากกิเลสเถิดเพราะแต่เดิมมีท่านนักพรตนามโล้วนาปู้เจี้ยนกล่าวว่าต้องมาขอพรต่อดอกบัวหิมะในดินแดนแห่งนี้จึงจะพบผลสำเร็จที่แท้จริง"ผู้เฒ่าคิ้วยาวจึงว่า"เขาเล่นทิ้งปริศนาไว้พวกเจ้าจึงต้องดั้นด้นมาจนถึงเขาลูกนี้ เราจะแจ้งให้รู้ก็ได้ว่า ปางก่อนเจ้าเป็นพระผู้เมตตามุ่งมั่นช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ กระทั้งจุติในอาณาจักรซิงหลิงก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจเดิม ทั้งยังสร้างบารมีเต็มเปี่ยมไม่ช้านี้เจ้าจะบรรลุธรรม ส่วนดอกบัวหิมะนั้นมีคนนำไปยังเกาะโปตละโลกาเพื่อสร้างแดนอันสงบสุขสำหรับเจ้า ซึ่งเจ้าจะได้สัมผัสในอีกไม่นานนี้ ส่วนศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง บารมียังไม่ถึงขั้นต้องบำเพ็ญธรรมอีกระยะหนึ่งก็จะบรรลุเช่นกัน"เทพไท้ไป๋กล่าวต่อไปว่า "หลังจากนี้เจ้าจงเข้าใจหลักธรรมด้วยตนเองเพราะเราเพียงช่วยสะท้อนให้เจ้าเข้าใจหนทางเท่านั้น" ครั้นแล้วเทพไท้ไป๋จึงหยิบแจกันหยกขาวยื่นให้เมี่ยวซ่านไต้ซือพลางว่าหากพบว่าในแจกันนี้มีน้ำขังและมีกิ่งหลิวโผล่ขึ้นมา แสดงว่าวันนั้นคือวันที่เจ้าจะบรรลุธรรม”ไต้ซือเมี่ยวซ่านรับแจกันมาแล้วจึงคารวะอำลาเทพไท้ไป๋หนทางกลับในคราวนี้มิได้ลำบากเลยผิดกับขามาลิบลับ ทั้งสามเพียงแต่มุ่งหน้าขึ้นเหนือไม่หลงทางไม่พบอุปสรรค เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวว่า "เพราะบัดนี้เราสงบแล้วทั้งกาย ใจ ประกอบกับความกระจ่างแจ้งแห่งธรรมว่า ธรรมอันวิเศษสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารสู่นิพพานได้"ในที่สุดคณะเดินทางก็กลับมาถึงเชิงเขาเยี้ยม้อซานในอาณาจักรซิงหลิง บรรดาชาวบ้านร้านตลาดต่างเปล่งเสียงไชโยดังกระหึ่ม เหล่าภิกษุณีตีระฆัง และตั้งขบวนรับอยู่ที่เชิงเขา ต่างเข้ามาห้อมล้อมต้อนรับอย่างยินดี เมื่อสู่ลานประชุมทุกคนซักถามถึงการเดินทางจากเมี่ยวซ่านไต้ซือต่างฟังเรื่องราวทุกเหตุการณ์อย่างตื่นเต้น อุทานอมิตตาพุทธอยู่ไม่ขาดปาก บ้างก็กล่าวว่า พุทธบารมีคุ้มครองขบวนนักเดินทางให้ปลอยภัย
ครั้นแล้วไต้ซือได้นำแจกันหยกขาวออกมาวางใกล้ๆพระพุทธรูป ทุกคนที่ฟังรู้ทันทีว่าแจกันนี้คือของวิเศษล้ำค่า ต่างเฝ้ารอคอยอย่างจดจ่อว่าเมื่อใดที่จะมีน้ำทิพย์เต็มเปี่ยมและกิ่งหลิวโผล่ขึ้นมา อันหมายถึงจะเป็นวันที่ไต้ซือเมี่ยวซ่านจะบรรลุธรรมแห่งความหลุดพ้นระหว่างที่ไต้ซือเล่าเรื่องราวการเดินทางอยู่นั้นเอง มีคนภายนอกมายืนออฟังเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีเด็กน้อยเจ้าปัญญาแต่ซุกซนและดื้อรั้นจนเป็นที่เลื่องลือนามว่า เซิ่นอิง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เด็กผีจอมซน ได้ฟังด้วย เซิ่นอิงคิดตามประสาเด็กฉลาดว่าแจกันเปล่าๆ ตั้งอยู่อย่างนั้นย่อมไม่มีทางที่จะมีน้ำเต็มได้ ดังนั้น ไต้ซือย่อมไม่อาจบรรลุมรรคผลได้จริง พลันเขาก็คิดแผนการขึ้นมาอย่างหนึ่งโดยไม่ปริปากบอกใคร เซิ่นอิงมาเที่ยวเล่นในวัดบ่อยๆ จนสืบรู้ว่าแจกันหยกขาวอยู่หน้าพระประธานในห้องวิปัสสนา เวลากลางวันก็จะมีคนนั่งเข้าฌานอยู่เต็ม ตกค่ำประตูหนาหนักก็จะปิดสนิทยากที่คนนอกจะเข้าไปได้ จอมแสบรายนี้จึงรอวันเวลาที่เอื้ออำนวยต่อแผนการของตนอย่างจดจ่อวันหนึ่งเซิ่นอิงคิดหาวิธีเข้าไปแอบในวัดโดยไม่ให้คนล่วงรู้ แอบเก็บน้ำสะอาดและกิ่งหลิวไว้ในที่ลับตา จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บฟืนจุดไฟขึ้นเผาฟืนกองหนึ่งแล้วตนเองก็แอบออกมา ชั่วครู่ไฟก็ลุกไหม้ห้องเก็บฟืนควันโขมง ภิกษุณีลูกวัดต่างร้องตะโกนให้มาช่วยกันดับไฟ ทุกคนรีบคว้าถังตักน้ำมาช่วยกันดับไฟ ห้องวิปัสสนาจึงว่างเปล่า เด็กจอมซนรีบแอบเข้าไปปีนขึ้นโต๊ะบูชากรอกน้ำใส่ในแจกันและปักกิ่งหลิวอย่างบรรจง เซิ่นอิงพึงพอใจในผลงานของตนมาก รีบเช็ดรอยเท้าไม่ให้เหลือรอย ก่อนจะกระโดดแผ่นหนีหายไปขณะนั้นชาวบ้านและสานุศิษย์ที่เชิงเขาต่างกรูกันมาช่วยดับไฟคนละไม้ละมือ เซิ่งอิงฉวยถังไม้ได้ใบหนึ่ง เข้ามารวมกลุ่มช่วยชาวบ้านดับไฟเช่นทุกคน ในใจก็คิดรอเวลาเยาะเย้ยไต้ซือที่ชาวบ้านชื่นชมบูชา หลงคิดว่าแจกันมีน้ำทิพย์และกิ่งหลิวเกิดขึ้นเองแล้วโอ้อวดว่าตนบรรลุมรรคผล เซิ่นอิงคนนี้ล่ะจะเปิดโปงความลวงโลกของไต้ซือเอง อนิจจา ! เด็กน้อยผู้ไม่รู้ประสา ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนได้กระทำนั้นจะบังเกิดผลอันใดตามมา ...ครั้นไฟสงบลงทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ไม่มีใครได้เข้าไปหรือเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของแจกันในห้องวิปัสสนาเลยจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ภิกษุณีผู้ทำความสะอาดโต๊ะบูชาพบความผิดปกติในแจกันหยกขาว ก็ดีใจจนลืมหน้าที่เช็ดถู รีบวิ่งออกมาจะรายงานพระผู้ใหญ่จนชนกับย่งเหลียนที่สวนทางมา เมื่อบอกเหตุที่ตนดีใจจนผิดปกติแล้ว ย่งเหลียนยินดีเป็นอันมากรีบเข้ามาหาไต้ซือที่กุฏิ เมื่อพบหน้ากัน ไต้ซือกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า "ย่งเหลียนเอ๋ย เจ้ามาพอดีเรากำลังจะเรียกเจ้ามาบอกข่าวว่า เมื่อคืนนี้ขณะที่นั่งสมาธิอยู่เราก็รู้สึกว่ามีดอกบัวขาวบานอยู่ในใจ จึงคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่เราสำเร็จมรรคผล" ย่งเหลียนขนลุกวาบด้วยความตื่นเต้นและปลาบปลื้มกล่าวว่า "หม่อมฉันรีบมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่าบัดนี้แจกันหยกขาวมีน้ำอยู่เต็มปรี่และปรากฏกิ่งหลิวปักอยู่อย่างน่าอัศจรรย์เพคะ" ไต้ซือและพระน้านางฟังอย่างยินดี แล้วจึงให้จัดห้องปฏิบัติธรรมปลีกวิเวกเพื่อปลงสังขารในวันนั้นเอง (ปลงสังขาร หมายถึง การละจากร่างมนุษย์ หรือการตาย)ไต้ซืออาบน้ำด้วยแก่นจันทร์หอม เปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ พร้อมสำหรับการนั่งสมาธิมรณภาพปลงสังขาร เมื่อเข้ามายังห้องปฏิบัติธรรมก็พบเหล่าภิกษุณีลูกวัดเคาะกะโหลกไม้สวดมนต์อยู่ก่อน ไต้ซือเมี่ยวซ่านเข้าประจำที่เริ่มนั่งวิปัสสนาตั้งแต่ปฐมฌานสู่วิมุตติฌาน เวลานั้นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นต่างรับรู้ข่าวไต้ซือจะสำเร็จเป็นพุทธะ ต่างมานมัสการรอดูความสำเร็จของไต้ซือที่พวกตนเคารพเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนี้มีเจ้าเซิ่นอิงจอมซนรวมอยู่ด้วย เด็กน้อยแปลกใจมากเบียดแทรกเข้าไปยืนดูอย่างถนัดตา ในใจก็รู้สึกขบขันไต้ซือที่ทำท่าเหมือนเคลิ้มหลับ เพราะบทสวดมนต์ยืดยาว จึงคิดจะแกล้งให้ไต้ซือโกรธจนตบะแตก เหมือนที่เคยแกล้งผู้ใหญ่คนอื่นๆ สำเร็จมาแล้วคิดแล้วเซิ่นอิงก็แทรกมายืนตรงหน้าไต้ซือพอดี ร้องตะโกนใส่หน้าเสียงดังแล้วกระโดดขึ้นขี่คอ คว้าไม้เคาะสวดมนต์ฟาดลงไปกลางศีรษะไต้ซือดังเปรี้ยง ! คนรอบข้างต่างตกใจหน้าซีด แต่ไม่อาจมีใครขัดขวางเหตุการณ์อันรวดเร็วนี้ได้ เสียงอุทานร้องตกใจดังขึ้นพร้อมๆ กัน ฉับพลันได้มีสายสีแดงคล้ายเลือดพุ่งขึ้นจากศีรษะของไต้ซือ ทุกคนคิดว่าไต้ซือหัวแตกเสียแล้ว ทว่าแสงสีแดงนั้นเปล่งรัศมีลอยสูงขึ้นๆ และรวมตัวเป็นรูปธรรมของไต้ซือเหนือร่างกายเนื้อเบื้องล่าง ไต้ซือเมี่ยวซ่านนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ เท้าเปลือยเปล่า มือถือแจกันที่มีกิ่งหลิวโผล่มา ทุกคนต่างเปล่งเสียงสาธุในความอัศจรรย์ครั้งนี้ทั้งนี้เป็นเพราะความซุกซนของเซิ่นอิงเป็นเหตุแท้ๆ เนื่องด้วยจิตวิญญาณของไต้ซือบรรลุธรรมนานแล้ว แต่ไม่สามารถละสังขารเดิมได้ เพราะควันธูปและฝูงชนปะปนมากมาย กระทั่งมีสิ่งภายนอกมากระทบ นั่นคือไม้ของเซิ่นอิงทำให้ทวารเปิดออกในทันที จิตจึงละสังขารได้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นความบังเอิญแต่ก็มีเหตุผลในตัวของมัน เนื่องมาจากเซิ่นอิงนั้นจริงๆ แล้วเป็นประทีปแห่งกุศลทางทิศใต้ มาจุติเป็นผู้มีบุญและเชาวน์ปัญญาดีเลิศ และครั้งนั้นเซิ่นอิงก็รู้สึกสว่างไสวในธรรมภายในเวลาอันสั้น สำนึกตนและเคร่งอยู่ในศีลธรรมมากกว่าใครในบัดดล
แล้วทั้งสามจึงออกเดินไปตามทางวกวน ขรุขระ เดี๋ยวขึ้นเนิน เดี๋ยวลาดชันลงต่ำทำให้ต้องใช้สมาธิอย่างมาก จนกระทั่งพบถ้ำซึ่งพอจะเป็นที่บำเพ็ญฌานสมาธิได้ จึงตกลงใจเข้าพักปฏิบัติธรรมแม้ภาพของงูยักษ์อันน่าสยดสยองเมื่อกลางวันยังติดตา แต่ผู้มีธรรมย่อมไม่มีนิวรณ์มากล้ำกลาย ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางจึงนั่งสมาธิเจริญฌานได้อย่างสงบคงมีแต่ย่งเหลียนเท่านั้นที่ขณะนี้จิตใจฟุ้งซ่านร้อนรนเหมือนดั่งนั่งอยู่ในเตาไฟ ครั้นลืมตาขึ้นดูก็พบว่าหินและผนังถ้ำลุกโชนด้วยเปลวไฟร้อนระอุล้อมรอบและเผาร่างของสองภิกษุณี แต่ว่าทั้งสองมิได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร ย่งเหลียนจึงรู้ว่าตนเองควบคุมจิตใจไม่มั่นคงพอเหล่ามารเลยมาผจญ เธอจึงสลัดความคิดอย่างอื่นทิ้งไป และแน่วแน่ในทางภาวนาชั่วครู่จิตก็สงบ แต่ต่อมาย่งเหลียนกลับหนาวสะท้านเหมือนแช่อยู่ในทะเลน้ำแข็ง เมื่อลืมตาก็พบว่าทั้งสามจมอยู่ในน้ำสกปรกโสโครก คลื่นซัดสาดกระทบผนังหิน ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางยังคงสงบนิ่ง เธอจึงรำพันว่า"วันนี้มารจ้องผจญเราเสียจริง"แล้วจึงมุ่งจิตภาวนาอย่างแน่วแน่อีกครั้งในที่สุดภาพหลอนนั้นก็มลายหายไป ย่งเหลียนสงบจิตใจได้พักหนึ่ง พลันมีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ! ดังสนั่น เธอตกใจลืมตาขึ้นก็พบกับเทวดาสวมเกราะทองถือฆ้องทองเป็นอาวุธจ้องมองเธออย่างโกรธเกรี้ยว ถมึงทึง เทวดาองค์นั้นเหาะเข้ามาเงื้อมือฟาดฆ้อนทองลงมากลางศีรษะเธอ ย่งเหลียนควบคุมจิตไม่อยู่ร้องขึ้นเสียงดัง"โอ้ย !" ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางรู้สึกตัวหลุดจากภวังค์ ถามย่งเหลียนว่า "เป็นอะไรไปย่งเหลียน" ย่งเหลียนจึงเล่านิมิตทั้งหมดให้ฟังทำให้ไต้ซือเมี่ยวซ่านทราบว่าศิษย์นำเหตุการณ์เมื่อกลางวันมาคิดวิตกกังวลจึงกล่าวว่า"ทั้งหมดที่เจ้าเล่ามาเป็นนิมิตชั่วขณะ บัดนี้เจ้าได้ล่วงพ้นจากมารผจญแล้ว เพราะเทวดาเกราะทองมาช่วยเตือนสติ"แล้วจึงให้ย่งเหลียนบำเพ็ญธรรมเพิ่มมากขึ้น"เมื่อตะวันพ้นขอบฟ้า คณะของไต้ซือก็ลุกขึ้นเก็บสัมภาระออกเดินทางต่อ พบผลไม้ป่าที่สัตว์ป่ากินได้จึงเก็บกินประทังความหิว จนกระทั่งเที่ยงวันทั้งสามได้พบหมีขาวตัวใหญ่เดินงุ่นง่านหาอาหารอยู่เบื้องหน้า ไต้ซือรีบบอกให้ทุกคนนอนลงกับพื้น กลั้นลมหายใจหรือหายใจให้น้อยที่สุดเสมือนเป็นคนตาย เพื่อหลบภัยจากหมียักษ์ พร้อมกันนั้นเจ้าหมีเริ่มได้กลิ่นคนจึงตามกลิ่นมาถึงที่ทั้งสามแกล้งนอนตายอยู่ มันยืนดมซ้ายขวาพิจารณาร่างของทั้งสามเป็นเวลาเกือบชั่วยาม เมื่อเข้าใจว่าเหยื่อตายแล้วก็คำรามผิดหวังอยู่ในลำคอแล้วเดินตุบตับเข้าชายป่าไป ทั้งนี้เป็นเพราะธรรมชาติของหมีจะเกลียดซากศพคนตายที่สุด เมื่อพบแล้วจะไม่กินหรือเข้าใกล้เด็ดขาดหลังจากแก้วิกฤตหมีขาวแล้วทั้งหมดจึงพากันเดินทางต่อไปอีกหกสิบลี้ พบลำธารใสสะอาด จึงนั่งพักผ่อนดื่มน้ำแก้กระหาย ระหว่างนั้นได้หยิบก้อนหินเล็กๆขึ้นมาโยนลงน้ำเล่นกัน เห็นสายน้ำกระเซ็นเป็นฟองฝอยดูเพลิดเพลิน เมี่ยวซ่านไต้ซือเทศนาธรรมไปพร้อมกันนี้ว่า "ธรรมชาติของน้ำนั้นสงบนิ่งแต่เราโยนหินลงไปให้น้ำกระจายเป็นฝอย กระเพื่อมเป็นวงแล้วก็กลับสงบนิ่งเช่นเดิม นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลง จากเคลื่อนไหวสู่ความสงบและสงบสู่เคลื่อนไหวอันเป็นสัจธรรม"ย่งเหลียนยังไม่ค่อยเข้าใจ พลันก็มีหินก้อนหนึ่งลอยมาถูกศีรษะเธอ ธรรมะคราวนั้นจึงกระจ่างแจ้ง สงบสู่เคลื่อนไหว เคลื่อนแล้วก็สงบอีก พระน้านางเองก็พยักหน้าเข้าใจ ไต้ซือยิ้มพึงพอใจศิษย์ทั้งสองคนทันใดนั้นได้มีฝูงลิงกว่าห้าสิบตัวกระโดดเข้ามาหาเหล่านักบวช ชูไม้ชูมือล้อเลียน ขว้างหินลงน้ำแล้วปาหินใส่นักบวชทั้งสาม เมื่อถูกตัวคนก็กระโดดโลดเต้น กรีดร้องอย่างชอบใจ ย่งเหลียนรู้ทันทีว่าก้อนหินที่ลอยมาโดนศีรษะเธอนั้นเป็นฝีมื
อของเจ้าลิงพวกนี้ เธอและพระน้านางจะวิ่งหนีแต่ไต้ซือห้ามไว้พลางว่า "ลิงพวกนี้กระทำเลียนแบบพวกเราที่ปาหินลงน้ำ แต่กลับนำมาปาคนแทน ถ้าพวกเราวิ่งหนีพวกมันต้องวิ่งไล่ตามอย่างแน่นอน และเราคงไม่มีทางหนีพ้นความว่องไวของพวกมัน ดังนั้น ทุกคนจงพนมมือ เดินไปตามทาง ก้าวครบสามก้าวก็ก้มลงกราบหนึ่งครั้ง พวกลิงย่อมเลียนแบบเรา และไม่ทำอันตรายใดๆ" พระน้านางและย่งเหลียนจึงทำตามที่ไต้ซือกล่าว(หมายเหตุ: การเดินสามก้าวคุกเข่าลงไหว้ครั้งหนึ่งนี้เป็นกลอุบายที่จะหลบเลี่ยงพวกลิงที่ไต้ซือเมี่ยวส้านคิดขึ้น ต่อมาภายหลังคนที่นับถือพุทธศาสนาก็ยึดเอาเป็นแนวทางที่ต้องทำ ไม่ว่จะขึ้นเขาลูกไหนก็จะเดินสามก้าวไหว้หนึ่งครั้งจนกว่าจะถึงยอดเขาตำนานเกิดจากตอนนี้เอง)เพราะความรักสนุกโดยสัญชาตญาณ อุบายครั้งนี้พวกลิงจึงหลงกลอย่างง่ายดาย ทั้งมนุษย์และฝูงลิงเดินสามก้าวก้มกราบทีหนึ่ง ขึ้นเขาอย่างไม่ย่อท้อมาหลายลี้จนถึงบนเขา ฝูงลิงก็ยังติดตามกลุ่มนักบวชไม่ลดละเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทำอันตรายผู้ใดอีก พลันก็มีลมพัดกรรโชกวูบใหญ่พาดผ่าน เงาดำทมึนของสัตว์ปีกทาบลงมาจากท้องฟ้า เมื่อมองขึ้นไปทุกคนก็ได้พบกับอินทรีย์ยักษ์ สยายปีกบินร่อนอยู่เหนือเหยื่ออันโอชะอย่างจดจ่อ ฝูงลิงรู้ได้ทันทีถึงชะตากรรมระหว่างเหยื่อกับผู้ล่าแต่ฝูงลิงก็ไม่หลบหนี แยกเขี้ยวข่มขู่นกยักษ์เสียงก้องป่า นกอินทรีย์ยักษ์หาได้เกรงกลัวไม่ กลับบินโฉบลิงได้ตัวหนึ่ง แรงจิกและพลังของกรงเล็บทำให้ลิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงชั่วขณะก็สิ้นใจตายคากรงเล็บแหลมคม จากนั้นเจ้านกยักษ์ปล่อยลิงให้ตกลงกระแทกพื้นแล้วลงมาจิกกินมันสมองของลิงโชคร้ายนั้นอย่างเมามัน ลิงป่าตัวอื่นเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมฝูงแล้วก็หวาดกลัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก กลับเข้าแนวป่าไป คณะของไต้ซือเห็นพวกลิงแล้วก็ได้แต่เวทนากลับมาเดินตามปกติ พร้อมกับสวดแผ่เมตตาให้ลิงเคราะห์ร้ายแทนยิ่งเดินทางขึ้นเขาสูงทัศนียภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป หิมะจับตัวหนาบนทางเดิน ผลไม้ก็ไม่มีกิน พืชชนิดเดียวในขณะนี้คือต้นสนที่มีหิมะ
เกาะพราว ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบเหลือทน ใบหน้าตึงร้าวคล้ายถูกใบมีดกรีดเป็นริ้ว ๆ ย่งเหลียนและพระน้านางแสนทุกข์ทรมานจากพิษความหนาว คงมีแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือเท่านั้นที่มุ่งมั่นอยู่กับการเดินทาง แม้สองเท้าจะเปลือยเปล่าท่านก็ไม่ปริปากบ่น ตกค่ำจึงพบผลไม้ที่กินได้ ย่งเหลียนเก็บมาถวายไต้ซือและพระน้านางได้ฉันจนอิ่มจึงหาถ้ำเข้าอาศัยพักแรม อากาศยามค่ำยิ่งหนาวจนปวดกระดูก ย่งเหลียนคิดจะหาฟืนมาก่อไฟไล่ความหนาว แต่ไต้ซือรีบห้ามไว้เพราะเกรงว่าความอบอุ่นจะพาสัตว์ป่าเข้ามาหาและอาจเกิดอันตรายได้ไต้ซือแสดงธรรมว่า "จงอย่าลืมว่าขณะนี้พวกเรากำลังแสวงหาธรรมอันวิเศษ จำเป็นต้องมีจิตใจซื่อตรง แน่วแน่ด้วยสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์ แม้ร่างกายต้อนทนทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย ความร้อน หรือความหนาวเหน็บ อันถือเป็นความทุกข์เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความลำบากที่เราผ่านมาแล้วไม่น้อย พึงระลึกไว้ว่าความลำบากนั้นๆจะหล่อหลอมจิตให้แข็งแกร่งรวมเป็นหนึ่งโดยไม่แตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการบรรลุธรรมอันวิเศษก็จะอยู่แค่เอื้อม และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อน" พระน้านางและย่งเหลียนฟังธรรมข้อนี้แล้วต่างรู้สึกเกิดปัญญาสว่างไสวขึ้นในใจ ความหนาวเย็นใดๆจึงไม่อาจต้านทานความมุ่งมั่นแห่งฌานสมาธิของไต้ซือและศิษย์ทั้งสองได้อีกต่อไป
คณะของเมี่ยวซ่านไต้ซือได้เดินทางมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นป่าโปร่งเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกับเสือร้าย การเดินทางเป็นไปอย่างรีบเร่งและลำบากเพื่อให้พ้นจากเขตชายป่าก่อนที่ตะวันตกดินเมื่อเดินทางมาได้ประมาณสิบลี้ก็ถึงสะพานหินงอกซึ่งเป็นรูปกากบาทรอบด้านเป็นป่าไม้เบญจพรรณที่รกทึบนายพรานผู้นำทางจึงกล่าวขึ้นว่า"ทุกคนจงเตรียมอาวุธให้พร้อมอย่าประมาทเด็ดขาด"ทันใดนั้นที่ปลายสะพานด้านหนึ่งได้มีเสือกระหายเลือดตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่ ภิกษุณีทั้งสามตกใจผวาจึงพลัดตกจากหลังช้างลงมากองรวมกันที่พื้น กลุ่มชายฉกรรจ์ป้องกันแข็งขันมิให้เสือนั้นเข้ามาในวงล้อมได้แต่ว่าอีกฟากหนึ่งของสะพานได้มีเสือตัวที่สองกระโจนมาหมายจะคว้าเมี่ยวซ่านไต้ซือเป็นอาหาร นาทีแห่งความตายนั้นเอง เจ้าช้างเผือกเข้ามายืนคร่อมปกป้องภิกษุณีทั้งสาม ใช้งวงคว้าร่างเจ้าเสือแล้วเหวี่ยงไปด้วยกำลังมหาศาล ร่างเจ้าเสือลอยลิ่วไปปะทะกับโขดหินเสียงกระดูกหลังหักดังกร๊อบและนอนดิ้นอยู่พักหนึ่งก็สงบลง กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นแล้วก็ฮึกเหิม ระดมอาวุธใส่เสือตัวแรกจนร้องคำรามก้องป่านกกาบินแตกตื่นขึ้นฟ้า เป็นนาทีเดียวกับที่เสือชะตาขาดนั้นหมดลมเสียงร้องคำรามของเสือปลุกให้สองพยัคฆ์อีกด้านหนึ่งของป่าตื่นขึ้นและรู้โดยสัญชาตญาณว่าเพื่อนร่วมฝูงของมันกำลังได้รับเคราะห์ มันจึงวิ่งทะยานออกจากถ้ำมุ่งไปยังทิศทางต้นเสียงโดยเร็ว ชั่วครู่กลิ่นสาบเสือได้โชยมาปะทะจมูกของนายพรานผู้ชำนาญการ"ระวังให้ดีพวกมันกำลังตรงมาทางนี้มีมากกว่าหนึ่งตัวเสียด้วย"ทุกคนจึงกระชับอาวุธในมือนั้นและรอนาทีตัดสินชะตาระหว่างมนุษย์และพยัคฆ์ร้าย ทันใดนั้นเสือตัวที่สามกระโจนมาทางเหล่าภิกษุณีอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกับงวงอันทรงพลังก็ได้คว้าร่างของสัตว์ร้ายฟาดลงกับโขดหินจบชีวิตเจ้าแห่งขุนเขาเทียนหม่าเผิงไปอีกตัวเสือตัวที่สี่นั้นเห็นเพื่อนของมันนอนนิ่งไปถึงสามตัวก็คำรามก้อง พุ่งเข้าตะปบที่ขาหลังของเจ้าช้างเผือกจนเซ กลุ่มชายฉกรรจ์กรูกันเข้ามาช่วยช้างรับมือกับเสือบ้าคลั่ง ต่างถูกลูกหลงจากเขี้ยวเล็บบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่ในที่สุดมันก็ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกับพยัคฆ์กระหายเลือดสามตัวก่อน ช้างเผือกชูงวงพาร่างไต้ซือและผู้ติดตามขึ้นหลังอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อไป ส่วนผู้คุ้มครองบางคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นขอแยกกลับไปรักษาตัวที่หมู่บ้าน เหลือแต่นายพรานและชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งอาสาไปส่งไต้ซือจนพ้นแดนพยัคฆ์ร้ายที่คงเหลือแต่ชื่อจนกระทั่งสุดเขตแดน บัดนี้เหลือแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือและสองภิกษุณีบนหลังช้าง เดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านป่าเขาที่มีทิวทัศน์แปลกตา ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และเมืองใหญ่ๆซึ่งมีผู้คนต้อนรับคณะไต้ซือเป็นอย่างดีด้วยอาหารเจและที่พำนักสะอาดเงียบสงบ หากวัดจากจุดเริ่มต้นผนวกกับนับระยะการเดินทางของไต้ซือรวมทั้งหมดแล้วถือว่ามากกว่าพันลี้เลยทีเดียว และบัดนี้ยอดเขาละลานตาแห่งเทือกเขาซีมี่ซานก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าของผู้แสวงหาทั้งสามแล้วกำลังใจ ความเข้มแข็งและความหวังที่ใกล้ริบหรี่ก็ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งนักบวชทุกคนได้พากันเดิน เดิน และเดิน จนถึงจุดหมายยังตีนเขาซีมี่ซานอันตระหง่านเสียดฟ้าดังยากจะไขว่คว้า แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายความบากบั่นในจิตใจของสามนักบวชลงได้ทั้งสามหารือกันว่าดอกบัวหิมะต้องอยู่บนยอดใดยอดหนึ่งในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดสิบสองลูกนี้ และต้องสุ่มเฉพาะยอดเขาที่สูงๆเท่านั้น แม้จะต้องค้นจนทั่วทุกเขาก็ต้องทำ ขณะค้นหาก็ต้องสวดภาวนาขออำนาจบารมีแห่งพระธรรมบันดาลให้บัวหิมะปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งสามเริ่มต้นที่ภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขาซีมี่ซาน พิจารณาดูแล้วนับว่าเขาลูกนี้มีขนาดสูงจนมองไม่เห็นยอด ทางขึ้นก็ราบเรียบดูไร้ซึ่งอุปสรรค ทั้งสามจึงขึ้นสู่เขาเบื้องหน้าทันทีแต่ทว่าช้างเผือกพาหนะคู่ใจเกิดหยุดปีนเสียดื้อๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรเจ้าช้างก็ไม่ยอมก้าวขาแม้เพียงน้อย ซึ่งเป็นอาการที่น่าประหลาดยิ่งเพราะก่อนหน้านี้ช้างเผือกไม่เคยดื้อดึงฝ่าฝืนคำสั่งของไต้ซือเลย แม้ย่งเหลียนและพระน้านางจะให้อาหารหรือปลอบโยนอย่างไรเจ้าช้างก็ยังไม่ขยับนานเกือบชั่วยาม อาการที่บ่งบอกมีเพียงเสียงถอนใจและครางในลำคอดังจะบอกอะไรบางอย่างแต่บุคคลจากรั้ววังทั้งสามไม่อาจรู้ได้เลยว่า อาการเหล่านั้นบังเกิดเฉพาะในสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้นที่รู้ถึงภัยจากสัตว์ป่าด้วยกันเอง กลิ่นสาบสางที่โชยมาแตะจมูกเจ้าช้างเตือ
นว่าภัยครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าครั้งใดที่ได้พบมาไต้ซือเมี่ยวซ่านค่อยๆปลอบประโลมอย่างอ่อนหวาน อธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำกำลังจะสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้วจะมาพังทลายเสียอย่างนี้ย่อมน่าเสียดาย ชี้แจงเช่นนี้หลายครั้ง เจ้าช้างก็ส่ายหัวซึ่งคล้ายกับจะบอกว่ามันไม่ได้เกียจคร้านหรืออยากฝ่าฝืนคำสั่งแต่มันพูดออกมาไม่ได้เท่านั้นในที่สุดความพยายามของไต้ซือก็เป็นผล ช้างเผือกยอมก้าวเดินต่อไปแม้จะเชื่องช้าเต็มทีห้าสิบลี้ผ่านไปภิกษุณีทั้งสามก็ได้กลิ่นสาบสางฉุนกึกเข้าจมูกย่งเหลียนทนไม่ไหวต้องบ่นออกมา ไต้ซือเมี่ยวซ่านกล่าวให้วางเฉยในทวารทั้ง ๖ เพราะนักบวชผู้สละโลกจักต้องสงบ สำรวม ทันใดนั้น กลิ่นสาบก็รุนแรงขึ้นสะกดช้างเผือกให้หยุดจังงังดังต้องมนต์ภิกษุณีทั้งสามลงจากหลังช้างอย่างแปลกใจ พร้อมกันนั้นป่าไม้รอบด้านก็สะเทือนด้วยแรงมหาศาลของสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวอยู่ในแนวป่า ลมพัดกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจและฝุ่งผงคลุ้งจนแทบลืมตาไม่ได้ แล้วเงาของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาก็พาดผ่าน แสดงความใหญ่โตโอฬารของมันให้คณะเดินทางของไต้ซือได้เห็นเต็มตาและตกใจสุดขีด ภาพที่เห็นนั้นคือพญางูยักษ์ อสูรแห่งป่าลึกดวงตาของมันจ้องเขม็งยังเจ้าช้างเผือก อ้าปากขู่อวดเขี้ยวพิษขาววับทั้งคู่ ขนาดของปากมันไม่ผิดอะไรกับปากถ้ำแห่งมรณะ ลิ้นสองแฉกยาวใหญ่เท่าดาบเพชฌฆาต เกล็ดเป็นลายเล็กๆทั่วตัวน่าขยะแขยงยิ่งนัก ขนาดลำตัวใหญ่เกือบเท่าต้นไม้อายุร้อยปี ส่วนความยาวนั้นไม่รู้ว่าเท่าไหร่เพราะมันโผล่มาเฉพาะช่วงบนถึงกลางลำตัว ส่วนปลายของมันซ่อนอยู่หลังแนวป่าไต้ซือรวบรวมสติร้องเตือนให้ทุกคนวิ่งหนี ทั้งสามต่างพากันวิ่งหนีเข้าไปในชายป่าด้านข้าง ส่วนเจ้าช้างนั้นเกร็งจนก้าวขาไม่ออกยืนโงนเงนและล้มลงพญางูยักษ์จึงอ้าปากฝังเขี้ยวลงบนร่างเจ้าช้างผู้น่าสงสารจนถึงแก่ความตายแล้วจึงอ้าปากกางขากรรไกรขยอกร่างเจ้าช้างกลืนลงท้อง ก่อนพาร่างมโหฬารเลื้อยหายไปหลังมื้ออาหารอันโอชะไต้ซือพระน้านางและย่งเหลียนสัมผัสมรณกรรมของเจ้าช้างเต็มสองตาต่างนิ่งงันพูดอะไรไม่ออกด้วยรู้สึกว่าสูญเสียมิตรแท้ในยามยากไปโดยไร้หนทางช่วยเหลือทั้งหมดจึงร่วมกันสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้แก่ช้างเผือกผู้ซื่อสัตย์ขอให้เจ้าช้างไปสู่สุคติด้วยความโศกเศร้า
ท่านหลิวหัวหน้าหมู่บ้านจัดแจงต้อนรับคณะนักบวชเป็นอย่างดี ชาวบ้านต่างพากันซักไซ้ว่า ขณะเดินทางผ่านฝูงอีกาเจ้าแห่งขุนเขามาได้อย่างไร เมี่ยวซ่านไต้ซือเล่าความให้ฟังทั้งหมดจึงพากันตื่นเต้นประหลาดใจ ท่านหลิวบอกว่า "พวกท่านคงเป็นผู้วิเศษ มีบารมีน่าเลื่อมใส อีกาซึ่งเป็นสัตว์ยังเกรงกลัวไม่สามารถทำอันตรายแก่พวกท่านได้... มาเถิดโปรดมาฉันอาหารเจที่พวกข้าน้อยทำถวายแล้วจึงพักผ่อนที่บ้านข้าน้อย ท่านจงอย่างได้รังเกียจชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นพวกเราเลย" เมี่ยวซ่านไต้ซือและศิษย์ทำความเคารพขอบคุณในความอารีของชาวบ้าน เมื่อฉันอาหารแล้วจึงเข้าที่พักปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐานก่อนพักผ่อนอย่างสงบเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คณะของไต้ซือฉันอาหารเจเสร็จแล้วก็เก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทางต่อ ท่านหลิวกำชับบอกทางไปเขาซีมี่ซานว่า"พวกท่านขึ้นตรงไปทางเหนือสามสิบลี้ จะพบภูเขาจินหลุนซาน จงเดินเลี่ยงไปข้าง ๆ อย่าส่งเสียงดังและไปให้เร็วที่สุดเมื่อผ่านไปได้ราวสิบแปดลี้จะพบป้อมไซซือ อันใช้เป็นที่พักแรมได้" คณะไต้ซือฟังจนเข้าใจแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านออกเดินทางต่อไป เส้นทางขณะนี้มีเพียงพื้นทรายอันร้อนระอุ ม่มีร่มเงาของพันธุ์ไม้ใดๆ หรือแม้แต่น้ำสักหยดยังยากจะพบ แต่ว่าสามนักบวชยังคงย่ำเท้าต่อไปอย่างไม่หวั่นเกรง จนกระทั่งถึงเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพงดงาม เขียวขจี ทั้งสามจึงเดินเข้าไปดั่งต้องมนต์สะกดจนลืมคำเตือนของท่านหลิวหมดสิ้นเมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวอุทานออกมาว่า"ดีจริงๆ ตั้งแต่เดินทางมายังไม่เคยเจอที่ใดงดงามเท่านี้เลยเหมือนเป็นฝีมือของทวยเทพเช่นนี้" ย่งเหลียนได้ฟังจึงฉุกคิดได้กล่าวว่า"ไต้ซือ ! ท่านกำลังถูกครอบงำหลงใหลสถานที่แห่งนี้ เหมือนท่านลืมที่ท่านหลิวสั่งไว้แล้วหรือว่าระหว่างใช้เส้นทางนี้ห้ามหยุดชมและส่งเสียงดัง เราควรจะเดินทางต่อไปโดยเร็วนะเจ้าข้า"เมี่ยวซ่านไต้ซือจึงระลึกได้รีบเดินทางต่อไปทันที แต่ทว่าสายไปเสียแล้วเมื่อบัดนี้มีเสียงกลุ่มคนพูดกันดังมาจากชายป่าและตามมาด้วยเสียงลากของหนักๆ คล้ายขื่อคานสำหรับลงโทษนักโทษประหาร คณะของไต้ซือหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อพบว่าด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยขบวนฝูงอมนุษย์อันน่าสะพรึงกลัวนาทีนั้นควรอย่างยิ่งที่จะวิ่งหนีแต่เท้าของทั้งสามต่างก็ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ขบวนของอสูรร้ายใกล้เข้ามาทุกที ย่งเหลียนได้สติก่อนเพื่อน ฉุดมือไต้ซือและพระน้านางออกวิ่งหนีสุดชีวิต เมี่ยวซ่านไต้ซือวิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็สะดุดล้ม อสูรตนหนึ่งวิ่งตามมาตะครุบตัวไต้ซือไว้ได้ย่งเหลียนวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะทำประการใดต่อไป เมื่อมาไกลพอควรแล้วจึงหยุดพักก็พบว่าพระน้านางก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน"นี่เราจะทำอย่างไรดี พวกผีป่าจับตัวไต้ซือได้พระน้านางก็ไม่รู้พลัดหลงไปที่ไหน" พลันได้มีเสียงร้องเรียกมาจากด้านหลัง"ย่งเหลียนรอฉันก่อน" ย่งเหลียนเหลียวกลับไปด้วยความยินดี "พระน้านางท่านรอดพ้นภัยมาได้อย่างไรกัน"พระน้านางจึงว่า"เมื่อผีป่าพวกนั้นจับตัวไต้ซือได้แล้วก็พากันดีใจไม่ตามล่าฉันอีก...ย่งเหลียนเราต้องช่วยกันคิดหาวิธีช่วยเหลือไต้ซือจากเจ้าผีป่าพวกนั้นนะ"ทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากป้อมไซซือ คิดแล้วจึงพากันเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่ป้อมไซซือเมื่อเข้าสู่ป้อมได้แล้วได้มีเหล่าคนงานซึ่งกำลังหาบน้ำและดินโคลนสร้างกำแพงป้อมอยู่ต่างเข้ามาสอบถามความเป็นมาของเหล่านักบวชแปลกถิ่น เมื่อฟังว่าเพิ่งรอดจากเหตุการณ์ที่ถูกมนุษย์ขนจับตัวมาได้ ยิ่งชื่นชมบาร
มีของสองภิกษุณีกันขนานใหญ่ หัวหน้าป้อมนาม ซุนเต๋อ ได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมา"พวกเจ้าส่งเสียเอะอะในขณะที่มีงานล้นมือได้อย่างไร" คนงานจึงเล่าเรื่องสองนักบวชให้นายป้อมซุนเต๋อฟังโดยเนื้อแท้แล้วซุนเต๋อผู้นี้เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว จึงยินดีที่จะช่วยเหลือสองนักบวช รีบเชิญให้ไปพักผ่อนที่บ้านตนเองทันที ครั้นได้ฟังความเป็นมาของภิกษุณีผู้จาริกสู่เขาซีมี่ซาน แต่ว่าบัดนี้เหลือกันอยู่เพียงสองคน ส่วนเมี่ยวซ่านไต้ซือมิรู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรซุนเต๋อกล่าวว่า"เราอยากช่วยเหลือพวกท่านก็จริงแต่ทว่าภัยจากอมนุษย์เหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดเคยรอดจากเงื้อมมือของพวกมันได้เลย" แล้วซุนเต๋อจึงเล่าเรื่องพวกอมนุษย์ประหลาดให้ฟังว่า"..ผีป่าเหล่านี้ ความจริงแล้วก็คือคนจำพวก มนุษย์ขน ที่อาศัยอยู่บนเขาจินหลุน ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ กินทั้งขนและเนื้อเป็นอาหาร ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่รู้จักการทำเกษตรกรรม ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ใครคิดจะเดินผ่านเขาลูกนี้แล้วห้ามส่งเสียง เพราะหากพวกมันได้ยินจะถูกจับไปเป็นอาหาร..."สองภิกษุณีฟังแล้วก็เสียใจยิ่งนัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาแทนความระทดใจ ย่งเหลียนตัดพ้อว่ามารมาดลใจให้อาจารย์หลงในทิวทัศน์สวยงามแท้ๆ จึงเกิดภัยร้ายแรงตามมาพระน้านางยังพอมีสติอยู่บ้างจึงเตือนให้ย่งเหลียนหยุดคร่ำครวญและกล่าวว่า"อาจารย์ถูกชิงตัวไปก็จริง แต่อาจจะมีชีวิตรอดเพราะพุทธบารมีคุ้มครองก็เป็นได้ เราทั้งสามเดินทางฝ่าอันตรายน้อยใหญ่มาด้วยกันเมื่อไต้ซือถูกจับเราก็ไม่ควรจะทอดทิ้งท่าน ไปกันเถิดย่งเหลียนเมื่อเรารวมจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้วเมื่อจะตายก็ควรตามด้วยกัน" พระน้านางกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำย่งเหลียนไปยังประตูทางออก หัวหน้าป้อมซุนเต๋อต้องรีบมาห้ามปราม"ช้าก่อน ! ไต้ซือถูกจับไปคนหนึ่งแล้วพวกท่านจะเดินเข้าไปให้มันกินได้อย่างไร โปรดอยู่อย่างสงบที่นี่เถิด"แต่แล้วด้านหน้าป้อมก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอย่างประหลาด คนงานผู้หนึ่งเข้ามารายงานซุนเต๋อ "ท่านหัวหน้าซุนขณะนี้มีภิกษุณีประทับอยู่บนช้างเผือกกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่ทราบว่าใช่ไต้ซือที่ถูกชิงตัวไปหรือ
ไม่ พวกท่านรีบออกไปดูเร็ว"ย่งเหลียนและพระน้านางมองหน้ากันอย่างงงงันเอ่ยว่า "ไม่ใช่นะ ไต้ซือของเราเดินทางด้วยสองเท้าเท่านั้นคงเป็นภิกษุณีจากแดนอื่นเป็นแน่"ซุนเต๋อขบขัน"ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน พวกเรารีบไปดูให้ประจักษ์เถิด" ทั้งสามตามคนงานออกมาดูที่ทางเข้าป้อม ห่างออกไปครึ่งลี้ ได้มีช้างเผือกและนักบวชผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลัง สองภิกษุณีได้แต่ใจระทึกภาวนาให้เป็นไต้ซือของตนเมื่อช้างเผือกเชือกนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ย่งเหลียนกับพระน้านางต่างอุทานด้วยความยินดี "อมิตตาพุทธ นั่นคือไต้ซือของเราจริง ๆ"สองภิกษุณีวิ่งไปรับเมี่ยวซ่านไต้ซือขณะที่ช้างเผือกคุกเข่าให้ไต้ซือลงอย่างง่ายดาย ฝูงชนแห่เข้ามาชมบารมีเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย นายป้อมซุนเต๋อคารวะแล้วเชิญให้เมี่ยวซ่านไต้ซือเข้ามาในป้อมและขอให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทรงรอดชีวิตมาได้ "ขอนมัสการไต้ซือผู้เจริญในวันนี้ไต้ซือได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงพุทธานุภาพอันไพศาลโปรดเล่าเรื่องที่ทรงรอดชีวิตจากมนุษย์ขนมาได้ ให้พวกเราฟังเป็นบทเรียนด้วยเถิด" เมี่ยวซ่านไต้ซือแย้มสรวลอย่างมีพระเมตตาขอบคุณในไมตรีของทุกคนที่ห่วงใยแล้วจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า"...ขณะที่เราถูกจับไปนั้นสองมือสองเท้าถูกมัดด้วยเถาวัลย์แต่แรกพวกมนุษย์ขนนั้นหามเราไป พอเหนื่อยก็ลากเราไปกับพื้นดิน จนถึงถ้ำที่อยู่ของพวกมัน ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นโดยรอบ หนาทึบ ไร้ทางหนี พวกมันวางเราไว้กลางลานแล้วเป่าปากทำสัญญาณเรียกฝูง ครู่เดียวพวกมันทั้งหญิงชายเกือบสองร้อยก็กรูกันออกมาจากป่า คนเหล่านี้มีขนรุงรังทั่วตัวเหมือนมนุษย์วานร มีหนังสัตว์นุ่งห่มน้อยชิ้น เพศชายจะใส่ห่วงเหล็กที่จมูก เพศหญิงจะใส่ที่หู พวกมันมองมาที่เราแล้วก็กระโดดโลดเต้นโห่ร้องราวกับบ้าคลั่งเป็นเวลานาน เรารู้ดีว่าคงหมดหนทางรอดในคราวนี้จึงนั่งสมาธิแผ่เมตตารอความตายเมื่อพวกมันหยุดเต้นรำแล้วก็ปรึกษาเสียงฮึมฮัมคล้ายกับว่าจะแบ่งเนื้อเราอย่างไรดี แล้วก็มีมนุษย์ตนหนึ่งเห็นรองเท้าฟางที่เราสวมใส่ จะเข้ามาคว้าไป เราจึงรีบถอดรองเท้าออกทั้งสองข้างแล้วผลักไปให้ไกล ๆ ตัว พวกมันแย่งชิงกัน แล้วตัวหัวหน้าก็ใช้กำลังแย่งไปสวมดู เมื่อลองเดินและกระโดดขึ้นลงมันก็ชอบใจส่งเสียงคำรามยินดี พวกที่เหลือต่างชี้นิ้วอยากได้บ้าง พอดีในย่ามของเรามีรองเท้าฟางเช่นนี้หลายคู่ จึงหยิบรองเท้าออกมาวางทีละคู่ๆพวกมันมองตามตาเป็นประกายส่งเสียงดีใจโกลาหล ทันใดนั้น พวกที่อยู่ใกล้ก็พากันคว้ารองเท้าไป คนอื่นๆยิ่งดึงยื้อกันใหญ่ รองเท้าฟางเป็นของประดิษฐ์เมื่อถูกยื้อยุดก็ขาดกระจุย มนุษย์ขนต่างฉุนเฉียวที่ถูกทำลายของจึงต่อสู้กันเองอย่างบ้าเลือด เราฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมาทั้งเท้าเปล่า แม้จะถูกหินตำหรือหนามเกี่ยวบ้างก็ถือว่าเล็กน้อย เพราะรองเท้าฟางช่วยรักษาชีวิตเราไว้ได้ เดินทางฝ่าป่าดงมาจนถึงทางแยกจึงลังเลไม่รู้จะไปทางใด พอดีมีช้างเผือกเชือกหนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามาหา ขณะนั้นเราคิดว่าคงไม่อาจรอดชีวิตได้ในคราวนี้แล้ว จึงยืนนิ่งไม่ไหวติง ช้างเผือกนั้นมาหยุดตรงหน้าชูงวงขึ้น ก้มหัวลงต่ำ ย่อตัวลงประหนึ่งทำความเคารพ เราจึงแน่ใจว่าช้างนี้ไม่ใช่ศัตรูเป็นแน่จึงกล่าวกับช้างว่า"เจ้าช้างเอ๋ย... หากเจ้าประสงค์จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากอสูรร้ายก็จงชูงวงขึ้นสามครั้ง"ดังช้างจะรู้ภาษาดีจึงชูงวงตามที่เราบอก "ดีจริง เจ้าช่วยเราในคราวนี้หากเราบรรลุผลสำเร็จแล้วจะมาช่วยเจ้าให้เข้
าสู่พุทธจักรสิ้นเวรจากการเป็นเดรัจฉาน..."ทันใดนั้น ฝูงมนุษย์ขนก็ส่งเสียงโห่ร้องดังมาจากแนวป่า ไต้ซือระงับความตระหนกกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ช้างเผือกเอ๋ย... เหล่าอสูรตามมาแล้วช่วยเราที"ช้างเผือกฟังแล้วก็ใช้งวงม้วนจับตรงเอวของเราชูไว้แล้วเริ่มออกเดิน จากเดินเป็นวิ่งรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ แต่เรารู้สึกนุ่มนวลเหมือนนั่งบนก้อนเมฆ เจ้าช้างวิ่งมาตลอดสามสิบลี้ จึงค่อยๆเดินอีกพักหนึ่ง เมื่อพ้นเขตเขาจินหลุนแล้วจึงวางเราลงกับพื้น เมื่อปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกหมดแล้วเราจึงกล่าวขอบคุณเจ้าช้างและสัญญาว่าจะมาโปรดให้พ้นทุกข์อย่างแน่นอน แต่เจ้าช้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้าป่า กลับหมอบคู้อยู่ข้างๆเราแม้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ช้างก็ติดตามเราไปทุกทิศเมื่อเราถามว่า ถ้าต้องการไปยังเขาซีมี่ซานด้วยจงผงกหัวสามครั้ง ช้างก็ผงกหัวครบสามครั้งจริง ๆ ทั้งยังชูงวงรัดเราขึ้นไปนั่งบนหลังและออกเดินทางมายังป้อมไซซือดังที่พวกท่านเห็นอยู่ขณะนี้..."
ทุกคนเมื่อได้ฟังแล้วต่างพึมพำถึงพุทธบารมีของเมี่ยวซ่านไต้ซือกันไม่ขาดปาก ซุนเต๋อกล่าวว่า "ความลำบากที่พวกท่านผ่านมาได้อย่างไม่ย่อท้อ ข้าน้อยเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสำเร็จมรรคผลเป็นแน่ แต่จากนี้ขอให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่สัก ๒ - ๓ วันก่อนข้าน้อยจะได้เตรียมการให้ผู้คนสานรองเท้าฟางให้ทันการเมี่ยวซ่านไต้ซือขอบคุณและกล่าวว่า"ประสกซุนอย่าลำบากเลย เพียงให้อาหารและที่พักก็เพียงพอแล้ว พุทธบัญญัติกำหนดไว้ว่าภิกษุผู้เดินทางจะยอมรับเพียงเรื่องกิน ดื่ม และที่อาศัยเท่านั้นนอกจากนี้รองเท้าฟางที่เราสานตั้งแต่ครั้งอยู่ในวังได้ช่วยชีวิตเราถือว่ามีบุญคุณจึงไม่ควรที่จะสวมเหมือนข่มเหงมันอีกขอประสกโปรดเข้าใจ" ท่านซุนเห็นความตั้งใจจริงไม่เหยียดหยามแม้แต่รองเท้าฟางไร้ชีวิต จึงทวีความนับถือไต้ซือยิ่งขึ้นไปอีก
ทุกๆวันเหล่าพระภิกษุณีจะทำวัตรปฏิบัติธรรมท่องสาธยายพระสูตร เมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในตอนใดก็จะให้เมี่ยวซ่านไต้ซือชี้แนะทุกครั้ง เมื่อยามว่างจากกิจต่างๆเมี่ยวซ่านไต้ซือจะคอยนำสนทนาเรื่องพระธรรมให้กระจ่าง ความเย็นใจและไพเราะจากพระธรรมไต้ซือเมี่ยวซ่านไม่ได้โน้มน้าวเฉพาะคนในวัดเท่านั้นแต่มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดต่างเข้ามาฟังธรรมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นจนกระทั่ง ๓๖๙ วันผ่านไป ผู้คนที่หลั่งไหลมาฟังธรรมได้เพิ่มพูนจิตศรัทธาและมุ่งหวังแสงสว่างแห่งธรรมจากเมี่ยวซ่านไต้ซือ ที่กรุณาชี้แนะหนทางอันประเสริฐอานิสงส์แห่งการกินเจ ความไม่เอารัดเอาเปรียบทางการค้าและยังทรงจัดเตรียมข้าวต้มและอาหารเจไว้สำหรับคนยากจนที่เดินทางมาไกลเพื่อฟังธรรมด้วยความตั้งใจจริง กิตติศัพท์ความเมตตาและบารมีธรรมตั้งแต่การประสูติของไต้ซือเมี่ยวซ่าน ส่งผลให้ประชาชนทั้งยากดีมีจนต่างเดินทางมาเยือนวัดจินกวงหมิงกันอย่างคึกคัก เชิงเขาเยี้ยม้อซานจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและชื่นบานกับความเจริญที่แผ่มาถึงครั้นพอถึงฤดูหนาวอันทารุณ ลมจากทิศเหนือพัดพาความหนาวเหน็บจนปวดกระดูก ซึ่งเป็นที่น่าเวทนาสำหรับคนยากจนไร้เสื้อผ้าหนา ๆ มาป้องกันความหนาวเย็น ไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้นรับรู้ความทุกข์ทรมานข้อนี้ดี ทรงห่วงใย และสงสารชาวบ้านผู้ยากไร้เหล่านี้ จึงให้คนไปซื้อผ้าสำลีจำนวนมากและมาตัดแบ่งเป็นหลายขนาด แจกจ่ายให้ภิกษุณีรูปอื่นๆ ช่วยกันตัดเย็บ ทุกคนร่วมมือกันอย่างขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่กี่วันต่อมาก็ได้เสื้อหนาวผ้าสำลีจำนวนมากไว้แจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ เมื่อถึงคราวบรรยายธรรมไต้ซือเมี่ยวซ่านได้จัดหม้อข้าวต้มขนาดใหญ่ไว้แจกแก่ผู้เดินทางมาด้วยความหิวโหย แม้ข้าวต้มเปล่าๆ ไร้กับข้าวเคียงก็ยังอิ่มหนำนอกจากนี้ยังได้รับเสื้อผ้าสำลีอันอบอุ่นโดยถ้วนหน้ากันในที่สุดคนทั้งอาณาจักรต่างมุ่งหน้ามายังเยี้ยม้อซานเพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ไต้ซือเมี่ยวซ่านกันเป็นจำนวนมาก ไต้ซือเมี่ยวซ่านเองก็มิได้ปฏิเสธ จัดหาที่พักให้ทุกคน จนห้องว่างในบริเวณวัดมีผู้อาศัยอยู่เต็มไปหมด แต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาฝากตัวอยู่เสมอ ไต้ซือเมี่ยวซ่านคิดว่า"พื้นที่รอบวัดยังมีอยู่มหาศาล เราน่าจะมอบสิ่งที่พวกเขาจะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยไม่ห่างไกลพระธรรม" แล้วจึงทรงมอบไม้ไผ่ หญ้าคา และเงินทุนเล็กน้อยให้แก่ชาวบ้านเหล่านั้นเพื่อนำไปปลูกกระท่อมพักอาศัยในบริเวณเชิงเขา หาเลี้ยงชีพตามวิถีธรรม ไม่นานนักเชิงเขาเยี้ยม้อซานก็ได้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่สงบสุข ท่ามกลางความสุขใจของเมี่ยวซ่านไต้ซือ คืนวันเคลื่อนคล้อยไปย่างเข้าสู่ปีที่ ๓ ในอารามจินกวงหมิงยังคงสงบสุขด้วยบารมีธรรมของเมี่ยวซ่านไต้ซือ วันหนึ่งขณะที่ไต้ซือเมี่ยวซ่านนั่งสมาธิบำเพ็ญฌานเฉกเช่นทุกวัน ทันใดนั้น สองเสียงของชายซึ่งไม่คุ้นเคยก็ได้แทรกเข้ามาในจิตว่า จิตอันเป็นเอกได้ผลิดอกบัวแห่งการตรัสรู้แล้วหรือยัง อีกเสียงตอบว่า ผลิออกมาแล้ว ขาดก็แต่พระโพธิสัตว์ เมี่ยวซ่านไต้ซือคิดว่าเหล่ามารมาลองดีจึงสำรวมจิตให้สงบนิ่ง พลันได้เห็นจิตของตนแปรเป็นดอกบัวบริสุทธิ์มีพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ เมื่อเพ่งมองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปีติสุข เพราะพระโพธิสัตว์นั้นคือ ตัวพระองค์เอง !!ความดีใจทำให้จิตไม่สงบนิ่งพอ ภาพนิมิตนั้นจึงมลายหายไป ไต้ซือเมี่ยวซ่านลืมตาขึ้นความปีติแผ่ซ่าน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เห็นตามนิมิตนั้นจะบังเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านานวันต่อมา เมี่ยวซ่านไต้ซือได้กล่าวแก่สานุศิษย์ทั้งหลายว่า"หลายปีก่อน เราได้พบพระพุทธเจ้าในนิมิต พระองค์ตรัสว่า หากเราต้องการบรรลุมรรคผลจำเป็นต้องตามหาบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซาน และเมื่อคืนวาน เราก็บังเกิดนิมิตถึงบัวหิมะอีกครั้ง จึงคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางเพื่อแสวงหาบัวนั้นดังพุทธฎีกา พวกท่านที่อยู่ทางนี้จงตั้งใจปฏิบัติธรรมและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" จากนั้นเมี่ยวซ่านไต้ซือได้แต่งตั้งภิกษุณีอาวุโสเป็นผู้รักษาการแทน ส่วนพระน้านางและย่งเหลียนได้ขอติดตามเมี่ยวซ่านไต้ซือไปด้วยจนกว่าจะสัมฤทธิผลตามประสงค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือก็มิได้ขัดข้องแต่ประการใด ก่อนออกเดินทางทั้งสามได้จัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็นใส่ในถุงผ้า ประกอบด้วยเสื้อผ้า ข้าวเปลือกตากแห้ง รองเท้าฟางหลายคู่ ซึ่งมาจากฝีมือของไต้ซือเมื่อยามถูกลดศักดิ์ให้เป็นคนครัว รวมทั้งบาตรทองสัญลักษณ์ในการประกาศว่าบัดนี้จะทรงออกจาริกแสวงบุญนอกอารามแล้ว ครั้นวันรุ่งขึ้น ภิกษุณีทั้งสามต่างสวดขอพรในพระอุโบสถ แล้วจึงออกเดินทางท่ามกลางภิกษุณีและสานุศิษย์ที่ตามมาส่งอยู่เบื้องหลังด้วยความหวั
งว่า ไต้ซือเมี่ยวซ่านผู้เมตตาจะทรงกลับมาพร้อมความสำเร็จและหวนคืนสู่เขาเยี้ยม้อซานโดยเร็ว คณะของเมี่ยวซ่านไต้ซือเดินทางมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก จนกระทั่งวันที่ ๗ ก็พบอุปสรรคเป็นเขาสูงตระหง่านขวางกั้นทางอยู่ ทั้งสามจึงเลี่ยงไปใช้ทางเส้นเล็ก ๆ แทนโดยลืมคำนึไปว่าเขาซีมี่ซานนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ภิกษุณีทั้งสามกลับเดินทางลงใต้ไปเสียแล้ว !!เส้นทางต่อจากนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งหน้าผาสูงชัน ทางลาดดิ่งลงก้นเหว ยิ่งเดินก็ยิ่งต้องใช้พละกำลังมากเป็นพิเศษ ตกค่ำทั้งสามจึงเข้าพักใต้ชะง่อนหินเพื่อกำบังน้ำค้างและความหนาวเหน็บ เป็นเช่นนี้ทุกวันทุกคืน และก้าวพ้นจากเขตแดนแห่งหุบเขาเมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ ๕๗ ของการเดินทางโชคชะตายังพอเข้าข้างคณะของไต้ซืออยู่บ้างเมื่อได้พบกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีผู้คนต้อนรับขับสู้เหล่านักบวชเป็นอย่างดี ทั้งผู้เฒ่าหรือคนหนุ่มสาวต่างนำอาหารเจมาถวายจนอิ่มหนำ เมื่อไต้ซือถามถึงหนทางไปยังเขาซีมี่ซาน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจึงกล่าวด้วยความตกใจว่า"พวกท่านได้เดินมาผิดทางเสียแล้ว หมู่บ้านของเราอยู่ห่างจากเขาซีมี่ซานลงมาทางตอนใต้ถึงสามร้อยลี้ ต่อให้เดินมากแค่ไหนก็ไม่มีวันถึงจุดหมายได้เลย"ย่งเหลียวผู้อ่อนล้าจึงว่า"หมายความว่าเราต้องขึ้นไปทางเหนือตามเส้นทางเดิมใช่หรือไม่"ไต้ซือกล่าวว่า"อมิตตาพุทธ ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย"ชายชราจึงว่า"พรุ่งนี้พวกท่านจงเดินไปทางตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห้าสิบลี้ ก็จะพบภูเขาชื่อเสิ่นอาหลิ่งให้เดินไปตามสันเขาสามร้อยลี้แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกสู่เขาซีมี่ซาน... "แต่พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทางเส้นนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน เพราะเมื่อท่านไปถึงยอดเขาจะพบภัยจากฝูงอีกาที่ดุร้าย ปราดเปรียวกว่าสามพันตัว ชาวบ้านแถวเชิงเขาต้องเซ่นบวงสรวงด้วยเนื้อดิบๆให้มันอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นหากมันหิวมนุษย์ก็จะกลายเป็นเหยื่อของมัน แต่หากท่านผ่านทางใต้สันเขาท่านก็จะพบภัยจากเสือและฝูงหมาป่าที่โหดร้ายดังนั้น"หากเลือกไปขณะที่อีกากำลังจิกกินเนื้อสดของเซ่นบูชาอยู่ ข้าคิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า" เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวว่า "วิเศษจริง ๆ ที่ประสกชี้ทางหาไม่แล้วพวกเราคงไม่มีทางไปถึงเขาซีมี่ซานเป็นแน่" อยู่สนทนาธรรมอีกครู่หนึ่งผู้อาวุโสและชาวบ้านจึงลากลับเรือนของตนให้คณะเดินทางได้พักผ่อนตามสบายจวบจนรุ่งอรุณ ชาวบ้านและผู้อาวุโสได้นำอาหารเจมาถวายคณะของไต้ซือให้ฉันจนเรียบร้อย เมื่อเก็บสัมภาระแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านผู้อารีออกเดินทางต่อไป ทั้งสามเร่งฝีเท้าหนีภัยจากอีกามรณะอย่างรีบเร่ง เพื่อให้พ้นจากสันเขาแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด หนทางนั้นเป็นหน้าผาชันและป่าดงดิบหนาทึบ มีชะง่อนหินที่โผล่ยื่นมาขวางมิให้การเดินทางราบรื่น ขณะเดินทางไต่ขึ้นเขาพลางสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นกำลังใจตลอดเวลา จนกระทั่งพบทางลาดต่ำลงไปสู่หมู่บ้านกลางหุบเขา ทั้งสามจึงวางใจว่าปลอดภัยแล้ว พละกำลังที่มีก็ดูจะหมดไปเสียเฉยๆ จึงพากันหยุดพักคลายความเหนื่อยล้าตรงที่แห่งนั้นเองฉับพลัน เหนือศีรษะของเหล่านักบวชหญิง ได้มีอีกาฝูงใหญ่บินล้อมรอบอยู่ "กา ! กา " อีกาทั้งฝูงส่งเสียงร้องข่มขู่เหยื่ออันโอชะ บางส่วนกระโดดเ
ต้นหย็องแหย็งอยู่บนพื้นคล้ายกับขวางทางไม่ให้อาหารหลุดรอดไปได้ เมื่อไร้หนทางหนีเมี่ยวซ่านไต้ซือจึงลงนั่งกับพื้นและกล่าวขึ้นว่า"พวกเจ้าจงนั่งลงทำสมาธิขับไล่ความกลัวความฟุ้งซ่าน รำลึกไว้ว่าเราคือผู้มีธรรม" สองภิกษุณีจึงกระทำตามคำ สั่งของไต้ซือ ทั้งสามท่องพระสูตรเพื่อสร้างกำลังใจอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีกาตัวใดบินลงมาจิกกินเนื้อของเหล่านักบวชเลยเมี่ยวซ่านไต้ซือตั้งสมาธิหาทางออกจากฝูงกามฤตยูอย่างแน่วแน่ แต่ก็ไม่เป็นผล ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในมโนสำนึก พวกเจ้าโง่จริงๆ อีกาเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกินเนื้อเพียงอย่างเดียว ข้าวตากในถุงย่ามนั้นไม่ใช่ของโปรดของนกหรอกหรือ ไต้ซือใจเต้นด้วยความยินดี รีบลุกขึ้นแล้วล้วงเข้าไปในย่าม ขยุ้มข้าวตากออกมาหว่านบนพื้นที่โล่ง อีกาทั้งฝูงบินโฉบลงมาจิกกินข้าวตากอย่างเพลิดเพลิน ท้องฟ้ากลับมาสว่างโล่ง ไต้ซือส่งสัญญาณให้ศิษย์ออกเดินทางต่อไปด้วยความโล่งใจ ทั้งสามเดินลงเขาด้วยความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง กระทั่งถึงหมู่บ้านเชิงเขาชาวบ้านพากันออกมามุงดูนักบวชต่างถิ่นด้วยความพิศวง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ทุกวัน จนกระทั่งพระภิกษุณีหวั่นเกรงอำนาจแห่งสวรรค์เป็นอันมาก เพราะเสียงลึกลับดังกล่าวนั้นเป็นเสียงของเหล่าเทวดากระซิบกระซาบและเสียงย่างก้าวตามขั้นบันไดของผู้ไม่ปรากฏตัวตน เพื่อมาช่วยงานของพระธิดาเมี่ยวซ่านทั้งสิ้น ท่านเจ้าอาวาสจึงให้พระภิกษุณีลูกวัดนำความไปแจ้งแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงว่า บัดนี้วัดนกยูงขาวมิอาจทำตามพระบัญชาของพระองค์ที่ให้ทรมานพระธิดาเมี่ยวซ่านผู้มากบารมีได้อีกต่อไปพระภิกษุณีผู้แจ้งข่าวเข้าเฝ้าพระเจ้าเมี่ยวจวง ณ ตำหนักฤดูร้อนอันงดงามตระการตา โอบล้อมด้วยกองทัพอันเกรียงไกรสมพระเกียรติองค์จักรพรรดิแห่งซิงหลิง แต่เมื่อภิกษุณีกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระธิดาในยามนี้แล้ว พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ทรงพิโรธยิ่งนัก จึงตรัสแก่พระภิกษุณีว่า "จงกลับไปก่อนแล้วเราจะส่งสาส์นคำสั่งให้แก่เจ้าวาอาสโดยเร็ว" หลังจากนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ไม่สามารถทอดพระเนตรมหรสพตรงหน้าด้วยใจที่เบิกบานได้อีกต่อไป เพราะมีความกริ้วในพระธิดาสามเป็นกำลัง "ทหาร ! ไปตามแม่ทัพฮูบีหลี มาเดี๋ยวนี้" พระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งทหารองครักษ์ เมื่อทรงคิดแผนการบางอย่างได้ ชั่วครู่แม่ทัพฮูบีหลีก็มาเข้าเฝ้า พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงตรัสว่า "ท่านรับใช้เรามาในการสงครามมากว่าร้อยครั้ง ยังไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ในยามนี้เกิดสงครามขึ้นในครอบครัวของเราเอง นั่นคือลูกสามของเราหลงไปนับถือลัทธิของผู้อ่อนแอจากต่างแดน และลัทธินี้กำลังบันทอนบ่อนทำลายชาวเมืองของเรา ขอท่านจงนำกำลังไปล้อมวัดนกยูงขาวแล้วเผาผลาญให้สิ้นไป พระภิกษุณีทุกคนต้องตายไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของเรา" แม่ทัพฮูบีหลีรับบัญชาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม "เช้าตรู่พรุ่งนี้พระองค์จะได้ทอดพระเนตรเพลิงแดงฉานทางทิศตะวันตกเป็นแน่ หม่อมฉันขอให้สัญญา" คืนนั้นแม่ทัพฮูบีหลีนำกำลังทหารเดินทัพสู่วัดนกยูงขาวโดยมิหยุดพักเลย ครั้นใกล้รุ่งชะตากรรมของวัดแห่งนี้ก็ถูกล้อมไว้ด้วยทหารนับร้อยที่แกว่งคบเพลิงขึ้นเผาวัดนกยูงขาวทันที บรรดาพระภิกษุณีวิ่งหนีความร้อนจากเพลิงกันอลหม่าน โดยทั้งหมดวิ่งไปยังกุฏิของพระธิดาเมี่ยวซ่านร้องขอชีวิตกันละล่ำละลัก "พระธิดาช่วยพวกเราด้วย เพลิงนี้เกิดขึ้นเพราะพระองค์ พวกเราไม่ต้องการตายในกองเพลิง" พระธิดาเมี่ยวซ่านทรงตระหนักดีว่าทหารของพระเจ้าเมี่ยวจวงอำมหิตถึงขนาดเผาวัดฆ่าชีได้โดยไม่กลัวบาปกรรม จึงทำจิตให้สงบและรวบรวมสมาธิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวระลึกถึงพระพุทธคุณด้วยใจที่ตั้งมั่นขอได้ทรงโปรดช่วยพระภิกษุณีผู้ไม่
มีความผิดทั้งหลายให้รอดพ้นจากเพลิงกาฬทั้งปวงด้วยเถิดและขอทรงช่วยข้าพระองค์ได้บรรลุเจตนาในการสำเร็จสู่โพธิญาณเช่นเดียวกับพระองค์ในปางก่อน โปรดส่งธาราอันเยือกเย็นลงมาดับความร้อนนี้ด้วยเทอญ ทันใดนั้นได้มีเมฆฝนทมึนก่อตัวขึ้นเทสายฝนลงมาห่าใหญ่ ดับไฟที่กำลังแผดเผาวัดจนมอดหมดสิ้น ผู้คนที่ได้สัมผัสสายฝนนั้นต่างรู้สึกชุ่มฉ่ำสดชื่นขึ้นอย่างแปลกประหลาด จะมีก็แต่แม่ทัพฮูบีหลีเท่านั้นที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว "แม้แต่ลมฝนยังช่วยพระธิดาหรือนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก" ท่านแม่ทัพรีบสั่งให้นายทหารไปกราบทูลเหตุการณ์ดังกล่าวโดยด่วนฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงเมื่อได้ฟังก็พิโรธยิ่งนัก จึงสั่งการลงไป "ไปนำตัวเมี่ยวซ่านมาเดี๋ยวนี้ ! มันต้องตาย !" เมื่อพระบัญชาลงมาเยี่ยงนี้แล้วย่อมมิอาจขัดได้ นายทหารผู้นั้นนำความมาแจ้งแก่แม่ทัพฮูบีหลี และดำเนินการตามพระประสงค์โดยด่วน
พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงถูกควบคุมตัวจากอารามนกยูงขาว แม้เพิ่งพ้นเคราะห์กรรมจากเพลิงกาฬมาหมาดๆแต่เหล่าทหารยังคงนำพระธิดาไปสู่ทางแห่งความทุกข์และความตามอย่างไม่ปราณีพระเจ้าเมี่ยวจวงจัดสถานที่ในอุทยานอย่างงดงามตระการตา เต็มไปด้วยหมู่นางระบำรำฟ้อง นักร้อง นักดนตรี ขับกล่อมเพลงประสานเสียงอย่างไพเราะ หมู่นางกำนัลปรนนิบัติอำนวยความสะดวกสบาย พระธิดาเมี่ยวซ่านทอดพระเนตรสรรพสิ่งรอบกาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งไม่จีรังด้วยสายตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหวไปกับความบันเทิงใดๆ พระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นดังนั้นจึงพิโรธยิ่งกว่าทุกครั้ง จึงทรงบริภาษเสียงลั่นว่า "ข้าอุตส่าห์จัดสิ่งเริงรมย์ไว้ให้ดูเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก เผื่อเจ้าจะเปลี่ยนใจกลับมาใช้ชีวิตปกติเยี่ยงกษัตริย์ แต่ดูสิว่าไอ้ลัทธิที่มันนับถือได้ทำลายชีวิตลูกสาวข้าจนไม่เหลือดี "จึงหันไปตรัสกับทหารว่า “ทหาร ! นำนางเมี่ยวซ่านไปประหารเสียในป่า อย่าให้เลือดมันตกต้องตำหนักนี้"