ตอนที่ ๑๒ การอำลาเพื่อมุ่งสู่ทางธรรมออกบวช


เพียงชั่วข้ามคืนข่าวเรื่องพระเจ้าเมี่ยวจวงยอมให้พระธิดาสามออกบวช และมีพระราชโองการให้ซ่อมแซมวัดจินกวงหมิงได้เลื่องลือไปทั่วสารทิศ เหล่าข้าราชการขุนนางในราชสำนักรวมถึงชาวเมืองต่างๆทุกคนยินดีปรีดาโดยถ้วนหน้ากัน เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพระธิดาแห่งแคว้นแล้วย่อมมียศศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ และเสวยสุขจนชั่วชีวิต แต่ว่าพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นกลับเลือกที่จะออกบวชเป็นผู้ทรงศีล มีฐานะเยี่ยงสามัญชน ไพร่ฟ้าราษฎรจึงเคารพเทิดทูนอย่างจริงใจ โดยร่วมกันบริจาคเงินทอง เพชรนิลจินดาอันมีค่า พระพุทธรูปหินสลัก ภาพวาดพุทธประวัติไว้เป็นทาน ดังนั้นเมื่อรวมกับกลุ่มบูรณะชุดแรกแล้วก็ได้กลายเป็นกองทุนมหาศาล วัสดุก่อสร้างซ่อมแซม และแรงงานอันมาจากความศรัทธาอย่างล้นหลามพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นยังไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในพระทัยของพระเจ้าเมี่ยวใจเกนเตีย ดอกบัวจวง จนกระทั่งนางกำนัลย่งเหลียนเดินทางมาแจ้งข่าวแก่พระธิดาอย่างยินดี"พระธิดาเพคะ บัดนี้องค์เหนือหัวมิได้ทรงกีดกันความต้องการของพระองค์อีกแล้ว เพราะทรงอนุญาตให้พระธิดาออกบวชได้ และมีพระราชโองการให้บูรณะวัดนี้ให้เป็นที่ประทับแล้วเพคะ เมื่อวัดนี้ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วพระองค์ก็จะได้บวชสมดังพระทัย โอ ! สวรรค์มีตาจริงๆ พระธิดาทรงยินดีหรือไม่เพคะ"พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นแสนยินดียิ่ง"ในที่สุดเสด็จพ่อก็ทรงเมตตาต่อลูกแล้วยังเป็นธุระบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ผลบุญจะต้องตอบสนองในไม่ช้านี้"ย่งเหลียนปลาบปลื้มกับข่าวมงคลนี้จึงกระโดดโลดเต้นพลางร้องอย่างยินดีรอบๆกายพระธิดาเมี่ยวซ่านย่งเหลียนทูลพระธิดาว่า "เรื่องราวคลี่คลายถึงเพียงนี้แล้ว หม่อมฉันขอสละทางโลกติดตามพระธิดาออกบวชด้วยเพคะ" พระธิดาเมี่ยวซ่านตรัสอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าชื่นชมในความตั้งใจจริงของเจ้า แต่การออกบวชบำเพ็ญพรตนั้นมิใช่เรื่องง่ายๆ เจ้าต้องมีสติตั้งมั่น มีศรัทธาแน่วแน่ไม่วอกแวกลังเล เพราะหากไม่มั่นคงเพียงเล็กน้อยเจ้าก็จักไม่บรรลุผล สิ่งที่สร้างมาก็จะสูญเปล่า" ย่งเหลียนตอบว่า "โปรดเชื่อในจิตใจของหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสาบานต่อเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ และพระแม่ธรณีบนพื้นปฐพีว่า จะออกบวชโดยจิตใจไม่โลเล หากคิดบวชเพียงครึ่งๆ กลางๆ ขอให้ไฟเผาร่างข้าเสีย" แล้วเธอจึงก้มลงเอาหัวโขกพื้นสามครั้ง แสดงความหนักแน่น พระธิดาเมี่ยวซ่านเห็นความศรัทธาของนางกำนัลคู่ใจแล้วจึงยินดีที่มีเพื่อนปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นการซ่อมแซมวัดจินกวงหมิง ดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๐ เดือน ๒ จนถึงวันที่ ๑๐ เดือน ๕ ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ตลอดระยะเวลานั้นปรากฏว่าดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งไม่มีอุปสรรคใดๆ ช่างฝีมือจึงทำงานได้อย่างรวดเร็ว แปรสภาพจากวัดร้างทรุดโทรมให้กลายเป็นมหาวิหารที่งดงามยากเกินจะพรรณนา กระเบื้องที่เคยชำรุดบนกำแพงถูกซ่อมแซมจนเงาวับสวยงาม หลังคามุงกระเบื้องส่งประกายสีทองยามต้องแสงแดด ภายในอารามมีพระพุทธรูปสลักมากมายไว้ให้บูชา อัญมณีจากแรงศรัทธาได้ถูกนำไปประดับประดาบนพญามังกร รอบตัววัดมีกำแพงสีแดงฉานล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ด้านหน้ามีบันไดหินที่ทอดยาวดุจดั่งทางขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าช่างผู้บูรณะเฝ้ามองผลงานของพวกตนด้วยความภาคภูมิใจครั้นพอถึงวันที่ ๑๗ เดือน ๙ ขบวนเสด็จมารับพระธิดาไปยังสุสานบรรพชน เพื่อทำพิธีบูชาบูรพกษัตริย์ พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จในกระบวนพิธีอย่างสมพระเกียรติ ภายในสุสานหลวงนั้นพระธิดาได้กล่าวต่อหน้าดวงวิญญาณของบรรพชนว่า "ข้าผู้น้อยเมี่ยวซ่าน ขอกล่าวอำลาต่อดวงวิญญาณของเหล่าบรรพชน ข้าผู้น้อยจำเป็นต้องสละหน้าที่ของบุตรอันพึงกระทำต่อบิดา น้องพึงกระทำต่rose arry บัวสวยๆอพี่ และสละฐานันดรศักดิ์ เจ้าหญิงแห่งแคว้นเพื่อลาสู่ร่มเงาแห่งพุทธวิถี ด้วยความตั้งมั่นในการปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นห้วงทุกขเวทนาขอให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษทรงประทานอนุญาตและให้อภัยในความอกตัญญูต่อบิดาของข้าผู้น้อยด้วยเทอญ"วันต่อมาเป็นพระราชพิธีอำลาสำนักพระราชวัง พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จขึ้นสู่ปะรำพิธีในประตูวังชั้นกลาง ทรงกระทำความเคารพต่อข้าราชสำนัก เสียงสรรเสริญจากข้าราชบริพารตอบรับกึกก้องอย่างยินดี พระธิดาตรัสต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงและเหล่าขุนนางว่า"ข้าผู้น้อยอกตัญญู มิอาจอยู่สนองเบื้องบาทพระบิดาได้เพราะมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธองค์ จึงต้องละทิ้งหน้าที่ของบุตรออกบวชมุ่งสู่พระพุทธศาสนา แต่การบวชนี้มีขึ้นเพื่อแผ่บารมีธรรม กุศลทั้งหมดย่อมตกแก่พระบิดาให้มีพระชนม์ยืนยาว ข้าผู้น้อยขอกราบถวายพระพรขอให้ทรงอายุยืนหมื่นปี ลูกขอกราบลา" กษัตริย์เมี่ยวจวงนั้นฟังคำอันนุ่มนวลของพระธิดารัก ถึงกับกลั้นน้ำพระเนตรไม่อยู่ ทุกคนในท้องพระโรงจึงพลอยเศร้าโศกไปตามๆกัน บ่ายวันนั้นเมื่อหมดภารกิจในพระราชพิธี พระธิดาเมี่ยวซ่านได้เสด็จลงมายังโรงครัวเพื่อเยี่ยมเยียนสหายยามต้องโทษเมื่อหลายปีก่อน เมื่อทุกคนเห็นองค์หญิงผู้เมตตาเสด็จมาหาถึงโรงครัวอันไม่น่าพิศมัย ความรู้สึกตื้นตันทั้งหลายได้ประดังเข้ามา ภาพความหลังครั้งพระองค์ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างขะมักเขม้น มิเคยเห็นพวกตนต่ำต้อยกว่าหลั่งไหลอยู่ภายในจิตสำนึก ต่างปลาบปลื้มชื่นชมยินดีเต็มไปด้วยไมตรีจิตต่อพระธิดาอย่างล้นพ้น พระธิดาจึงกล่าวให้กำลังใจและให้ทุกคนมุ่งสร้างแต่ความดี เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย จนกระทั่งย่ำสนธยาจึงเสด็จกลับตำหนักส่วนพระองค์ครั้นตกค่ำสองพระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยน ได้เสด็จมาเยี่ยมพระธิดาเมี่ยวซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน "น้องทราบจากย่งเหลียนว่าพระพี่นางทั้งสองได้ช่วยพูดกับเสด็จพ่อให้น้องออกบวชได้ น้องไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านอย่างไรดี"พระพี่นางจึงว่า "น้องสามเจ้าก็รู้ว่าพวกพี่ทำผิดบาปไว้มาก เคยกลั่นแกล้งเจ้าไว้ก็ไม่ใช่น้อย มาบัดนี้เราต่างเติบโตทั้งร่างกายและความคิด เมื่อเจ้าซึ่งเป็นน้องของพี่ต้องการแสวงหาทางธรรม พวกเราย่อมต้องการสนับสนุนและพูดให้เสด็จพ่อคล้อยตามโดยง่าย" พระธิดาเมี่ยวซ่านยินดีนักที่พระพี่นางเข้าใจตน ทั้งสามจึงอยู่สนทนากันจนดึกสงัด พระพี่นางจึงลากลับขณะที่พระธิดากำลังจะเข้าพักผ่อน ปรากฏว่ามีผู้มาเยือนยามวิกาลอีกองค์หนึ่ง นั่นคือพระน้านางของพระองค์นั่นเอง เพียงเมื่อได้พบทั้งสองพระองค์ก็สวมกอดกันอย่างรักใคร่ โดยเฉพาะพระน้านางซึ่งประทับอยู่ภายในเขตพระราชฐานมิทราบข่าวคราวของพระธิดาสามมานานแสนนาน "น้าไม่เคยได้ยินข่าวเจ้าเลยนับตั้งแต่ออกนอกวังไป มารู้อีกทีก็ได้ยินว่าเจ้าถูกเสือคาบเข้าป่าไปแล้ว น้าแสนเป็นห่วงไม่รู้ว่าหลานเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั่งรู้ว่าเจ้าปลอดภัยและพระบิดายังประทานอนุญาตให้บวชสมใจ น้าดีใจกับเจ้าจริงๆ เมี่ยวซ่านเอ๋ย ต่อไปนี้น้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากน้าไปที่ใดอีกแล้ว น้าจะออกบวชพร้อมกับเจ้า เพื่อศึกษาธรรมะและเผยแผ่พระพุทธคุณให้ไพศาลดังที่ตั้งใจไว้มาแสนนาน" พระธิดาแสนยินดีที่พระน้านางจะออกบวชพร้อมตนเช้าวันรุ่งขึ้นอันเป็น วันที่ ๑๙ เดือน ๙ พระธิดาเมี่ยวซ่านพร้อมด้วยพระน้านางและนางกำนัลย่งเหลียนได้เข้ามาสู่พระราชฐานเพื่ออำลาพระเจาเมี่ยวจวง แต่พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนกล่าวว่า พระบิดาให้คารวะเพียงด้านนอก พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงก้มคำนับเก้าครั้ง และหันมาคารวะพระพี่นางด้วยบรรยากาศโศกเศร้า เพราะครั้งนี้นับเป็นการแยกจากกันสู่โลกแห่งธรรมเสมือนทางคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันจากนั้นขบวนพระธิดาเมี่ยวซ่านจึงได้ออกเดินทางสู่วัดจินกวงหมิงอันห่างไกล ท่ามกลางเสียงฆ้อง กลองมโหรี และเสียงแซ่ซ้องสาธยายมนต์ของเหล่าชาวเมืองที่คอยส่งเสด็จทั้งสองข้างทางขบวนเสด็จครั้งนี้มีขุนพลเจียเยี้ยเป็นผู้นำทางพร้อมเหล่าทหารราชองครักษ์สามร้อยนายคอยคุ้มกัน ฝูงชนที่มารอส่งเสด็จนั้นนำดอกไม้นานาพันธุ์มาถวายพระธิดา บ้างก็ไชโยโห่ร้องกระโดดโลดเต้น โปรยข้าวตอกดอกไม้สู่หนทางที่ราชรถเคลื่อนผ่าน บรรยากาศโดยรอบจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้ดอกกำจายทั่วทุกอณู ต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเหี่ยวเฉาก็กลับยืนต้นงามสะพรั่งอย่างน่าประหลาด หมู่นกและแมลงบินว่อนเบิกบาน แสงทองสาดส่องเป็นประกาย เป็นนิมิตหมายอันดีเกินพรรณนาและแล้วก็ถึงเชิงเขาเยี้ยม้อซาน ซึ่งบัดนี้บันไดหินที่ทอดขึ้นไปยังประตูวัดสีทองอร่ามเสมือนสะพานมังกรทอดคดเคี้ยวสู่ประตูสวรรค์กระนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านและสองผู้ติดตามขึ้นสู่pink of siam ดอกบัวกวนอิมบนไดจนถึงพระอุโบสถ สถานที่ประกอบพิธีอันเป็นลานหินอ่อนสีขาวนวล มีบรรดาภิกษุณีผู้ศรัทธาพระธิดาเมี่ยวซ่านขออุทิศตนมาอยู่ที่วัดแห่งนี้กว่าสามสิบรูป ยืนเรียงแถวรอเป็นสักขีพยานการบวชของพระธิดา
โดยรอบยังมีฝูงชนที่แห่แหนมาเฝ้าดูพิธีด้วยความเคารพ ศรัทธา และเลื่อมใสยิ่งเมื่อเห็นพระสิริโฉมงดงามอ่อนหวานดั่งหยกชั้นเลิศทุกคนก็ยิ่งเบียดเสียดเข้ามาหวังชมบารมีอย่างใกล้ชิดแต่แล้วฝูงชนก็ต้องแยกออกจากกันดั่งระลอกคลื่น เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงเสด็จเข้ามาในพิธีพร้อมเหล่าขุนนางในราชสำนัก เจ้าพนักงานพิธีประกาศว่าถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว พระองค์ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและเทวดาฟ้าดิน จากนั้นให้พระธิดาเมี่ยวซ่านก้มถวายบังคมพระบิดา พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ลูกเอ๋ย อีกชั่วครู่เราก็จะอยู่กันคนละเส้นทาง ซึ่งทางของลูกนั้นเป็นหนทางที่พ่อเองไม่รู้จักและไม่เข้าใจ พ่อขอให้เจ้าสำเร็จผลในการปฏิบัติธรรมเป็นที่เคารพกราบไหว้ของชาวโลก ประกาศธรรมะให้แผ่ไพศาล พ่อจะทำหน้าที่ของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนั่นคือ ปลงผมให้แก่เจ้า ณ บัดนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านและผู้ร่วมในพิธีต่างฟังพระดำรัสด้วยความปลื่มปีติพระธิดาเมี่ยวซ่านคุกเข่าลงให้พระเจ้าเมี่ยวจวงปลงพระเกศา ซึ่งพระองค์ทรงกระทำด้วยความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียลูกสุดที่รักไป น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์อย่างสุดกลั้น พระภิกษุณีที่อยู่ใกล้จึงรีบถวายพานมารับพระขรรค์ทองก่อนที่จะหลุดจากพระหัตถ์ของกษัตริย์ชราจากนั้นพระภิกษุณีอาวุโสจึงมาทำหน้าที่ปลงพระเกศาต่อ ชั่วครู่พระธิดาผู้มีพระเกศาดำมันขลับยาวสลวย ก็กลายเป็นภิกษุณีที่ศีรษะปราศจากเส้นพระเกศาพระเจ้าเมี่ยวจวงถวายผ้ากาสาวพัสตร์ หมวก และรองเท้าให้ด้วยพระองค์เอง พระธิดากราบคารวะพระบิดาและภิกษุณีอาวุโสแล้ว เป็นอันเสร็จพิธี บัดนี้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ละจากทางโลกก้าวเข้าสู่หนทางแห่งพุทธธรรมอย่างเต็มองค์ ในพระนาม”เมี่ยวซ่านไต้ซือ”ครั้นเสร็จสิ้นพิธีการ พระเจ้าเมี่ยวจวงก็เสด็จกลับ ฝูงชนทั้งน้อยใหญ่ต่างทยอยกลับบ้าง ภายในวัดจึงกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้ง ในการนี้มีภิกษุณีบวชใหม่อีกสองรูป คือ ภิกษุณีพระน้านางและภิกษุณีย่งเหลียน สองนางผู้เลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาและความเด็ดเดี่ยวของเมี่ยวซ่านไต้ซือ จึงขอปวารณาตนรับใช้เสมือนยามอยู่ในวัง  

ไม่มีความคิดเห็น: