ซ่านไฉ่ผสมตัวยาเข้าด้วยกันแล้วกลั่นเป็นน้ำมันสำหรับทาพระวรกาย หลังจากนั้นพระเจ้าเมี่ยงจวงก็ทรงหายวันหายคืน พยุงตัวขึ้นนั่งและเริ่มเดินได้คล่องบ้าง แต่บาดแผลนั้นได้หายเฉพาะแค่ร่างกายซีกซ้ายเท่านั้นเมื่อถามซ่านไฉ่ด้วยความสงสัย จึงได้คำตอบว่า"ข้าพระองค์ผสมตัวยาเฉพาะตาซ้ายและแขนซ้ายเท่านั้นพระวรกายของพระองค์จึงหายแค่ซีกเดียว เมื่อหม่อมฉันทำน้ำมันจากมือขวาและตาขวา ร่างกายซีกขวาของพระองค์จึงจะหายได้ดี เป็นเพราะบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละอวัยวะให้ได้มีความสัมพันธ์กับวรกายของพระองค์โดยแท้"ซ่านไฉ่นำน้ำมันอีกขวดมอบให้หมอหลวงทาพระวรกายซีกขวา ก็ปรากฏว่าบาดแผลค่อยๆจางหายไปเป็นปลิดทิ้ง พระเจ้าเมี่ยวจวงยินดีเป็นที่สุด มีรับสั่งให้เรียกประชุมขุนนางทันที พระเจ้าเมี่ยวจวงเล่าความดีความชอบของภิกษุซ่านไฉ่ให้เหล่าเสนาฟังต่างสรรเสริญพระซ่านไฉ่ทั้งสิ้น แต่ซ่านไฉ่กล่าวว่า "ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพราะพระผู้เมตตาทางเกาะทะเลใต้ อาตมามิอาจรับคำยกย่องใดๆได้" พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงว่า"เอาเถอะๆ อย่างไรเสียท่านก็เป็นผู้รักษาเราจนหายเราจะแต่งตั้งท่านเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรซิงหลิง" ซ่านไฉ่ทำความเคารพอยางสงบนิ่งแล้วกล่าวว่า"อาตมาไม่อาจรับข้อเสนอนี้ได้ ธรรมดาวิสัยของกระเรียนป่าย่อมไม่บินต่ำเหมือนเต่าว่ายในปลักโคลนเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นสาวกแห่งพุทธศาสนาย่อมต้องการความสุขสงบตลอดกาลมากกว่าสิ่งอื่นใด" ซ่านไฉ่กล่าวว่า "สิ่งที่อาตมาต้องการมีเพียงขอให้พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้าราษฎรอย่างเที่ยงธรรม มีเมตตากรุณาและรักษาคุณธรรมเหล่านี้ไว้ตลอดไป" พระเจ้าเมี่ยวจวงแปลกพระทัยมากตรัสว่า "เราอยากรู้เหลือเกินว่าเกาะทางทะเลใต้ที่ท่านจากมานั้นเป็นที่สถิตของบุคคลเช่นไร ท่านจึงได้ยึดมั่นในความเมตตาและเสียสละถึงเพียงนี้ หากเรามีประสงค์จะเดินทางไปที่นั่นเพื่อส่งท่านให้ถึงที่หมาย และนมัสการผู้มอบดวงตาและแขนซ้ายขวาให้แก่เรา ท่านจะขัดศรัทธาหรือไม่" ภิกษุซ่านไฉ่คารวะดั่งน้อมรับบัญชา พระองค์จึงกล่าวต่อว่า "ท่านทั้งหลาย เราขอขอบใจที่พวกท่านทำงานให้แก่อาณาจักรด้วยความจงรักภักดี เราขอสละราชสมบัติลาไปยังเกาะลึกลับทางทะเลใต้ เพื่อชัยชนะที่แท้จริงแห่งชีวิต"เหล่าขุนนางก้มศีรษะรับบัญชาอย่างเศร้าโศก ผู้ที่จงรักภักดีหลายคนขอตามเสด็จไปด้วยพระองค์ก็ไม่ขัดข้อง หลังจากวันนั้น พระองค์มักจะสนทนาธรรมกับภิกษุซ่านไฉ่ เปลี่ยนพระทัยที่ลุ่มหลงในการสงความเป็นความรักความเมตตา ทรงคืนอิสรภาพให้แก่ทาสเชลยศึก ทรงนำทรัพย์สมบัติมาบริจาคให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนคนทั้งเมืองกล่าวขานกันว่า เสือร้ายกลายเป็นหงส์ เพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิผู้สังหารชีวิตนับไม่ถ้วนในสงคราม สั่งประหารแม้แต่คนในครอบครัวของตนเอง จะหันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีกินดีเช่นนี้วันหนึ่งพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ประกาศสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ มอบให้คณะอำมาตย์คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมต่อไป ส่วนพระองค์ได้พาสองพระธิดาผู้พ้นโทษและขุนนางผู้ภักดีอีกจำนวนหนึ่งติดตามภิกษุซ่านไฉ่ออกเรือสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ช่วงแรกของระหว่างการเดินทาง ซึ่งมีแต่น้ำกับฟ้าเป็นทิวทัศน์อันไร้จุดสิ้นสุด ทำให้ทุกคนรู้สึกเบื่อหน่าย ซ่านไฉ่จึงได้เทศนาธรรมให้คณะเดินทางหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทางโลก ปราศจากคำสรรเสริญเยินยอ ละจากโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง ทุกคนจึงตั้งมั่นในพุทธธรรม ปฏิบัติวิปัสสนาอยู่เป็นนิจเมื่อไกลห่างจากอาณาจักรซิงหลิง อกุศลกรรมที่พระเจ้าเมี่ยวจวงเคยก่อก็ส่งผลทันตาเห็น เมื่อท้องฟ้าอันสงบกลับดำมืดก่อกลุ่มเป็นพายุขึ้นที่ขอบฟ้า พัดพุ่งเข้าหาเรือสำเภาของคณะเดินทาง ท้องทะเลปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดลมก็พัดเรือมาติดยังเกาะร้างแห่งหนึ่งชาววังซึ่งเคยออกทะเลเป็นครั้งแรก หวาดกลัวเป็นอย่างมากพากันลงจากเรือมาหลบภัยจากทะเลยังเกาะร้าง แต่ทว่าความวิปริตแปรปรวนของเกาะนี้ก็สร้างความตื่นตะลึงให้ไม่แพ้กันเมื่อเกาะนี้เป็นจุดบรรจบของความร้อนจัดและหนาวเย็นยะเยือกมาประสานกัน กลางเกาะมีภูเขาไฟที่ปกคลุมด้วยหิมะแต่ภายในมีความร้อนระอุพร้อมจะระเบิดอยู่ทุกเมื่อ ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่เลย ภิกษุซ่านไฉ่เดินนำด้วยกิริยาอันสงบ พาทุกคนเข้าพักในถ้ำกว้างแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นภูเขาไฟกลางเกาะก็ระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น กองหินมหึมาถล่มลงมาปิดปากถ้ำพอดี ทุกคนกลัวจนตัวสั่น ภิกษุซ่านไฉ่ปลอบใจและเดินนำหาทางออกในถ้ำมีแสงสว่างเพียงอย่างเดียวคือคบเพลิงในมือต้นหนเรือ ตามมาด้วยภิกษุซ่าน
ไฉ่ พระเจ้าเมี่ยวจวง พระธิดา และผู้จงรักภักดี ลึกเข้าไปในถ้ำความร้อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น รอบด้านเต็มไปด้วยบ่อหินหลอมเหลวร้อนระอุ บางบ่อมีควันพิษพุ่งขึ้นมา ทุกคนเริ่มหายใจติดขัด ต่างคิดว่านี้เป็นหนทางสู่ความตายโดยแท้ พระเจ้าเมี่ยวจวงรำพึงถึงความสุขสบายสมัยอยู่ในราชวังจนเกือบเปลี่ยนใจไม่เชื่อถือในพุทธธรรม เพราะขณะนี้ทรมานไม่ต่างจากขุมนรก ซ่านไฉ่จึงกล่าวว่า"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผลกรรมที่พระองค์เคยกระทำมายามเสวยสุขบนความทุกข์ของราษฎร พระองค์จงตั้งมั่นถึงพระพุทธคุณด้วยจิตอันภักดีเถิด ความทุกข์จะกลายเป็นสวรรค์ แม้ปีศาจแวดล้อมอยู่ก็มิอาจทำอะไรพระองค์ได้"พระเจ้าเมี่ยวจวงได้รับการชี้แนะก็ทรงรู้สึกเหมือนมองเห็นทางสว่าง ตั้งจิตมั่นถึงพระพุทธองค์ว่า "ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจเคารพ โปรดช่วยคุ้มครองให้ความทุกข์ดั่งอยู่ในอเวจีของข้าพเจ้าทั้งหลายจงหายไป เพื่อจะได้เดินทางไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จด้วยเทอญ" สิ้นรับสั่ง ผนังถ้ำด้านหนึ่งก็แยกออกเผยให้เห็นเทพนักรบกวัดแกว่งง้าวเหล็กผ่าผนังถ้ำออกอย่างง่ายดาย ทำให้เหล่านักเดินทางหลุดออกมาจากถ้ำมรณะแห่งนั้นได้ แต่ทว่าได้มีมังกรตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากปากถ้ำโดยพร้อมกัน มังกรยักษ์ตัวนั้นลอยอยู่ในอากาศอ้าปากคำรามก้อง เมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนหลุดออกไปเพราะฝีมือแห่งเทพมังกรยักษ์ทะยานเข้าต่อสู้กับเทพถือง้าว แต่เพียงชั่วพริบตาร่างของมังกรก็ถูกฟันขาดเป็นแนวยาว ตกลงพื้นเสียงดังสนั่น เกิดเพลิงลุกไหม้ทั่วร่างเป็นต้นกำเนิดฝูงปีศาจจำนวนมหาศาลผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ปีศาจน่าขยะแขยงกระโดดมารายล้อมกลุ่มมนุษย์อย่างกระหายเลือด ทุกคนต่างหวาดกลัวยิ่งนัก ยกเว้นภิกษุซ่านไฉ่ที่ยังคงสงบนิ่งพนมมือ ภาวนาอย่างมีสมาธิทุกคนจึงทำตาม ต่างระลึกถึงพระพุทธคุณ วิงวอนให้ตนรอดพ้นจากภยันตราย ทันใดนั้น บนท้องฟ้าได้ปรากฏกองทัพเทพทรงเครื่องรบพร้อมอาวุธ เปล่งแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด ปีศาจทั้งหลายเหาะขึ้นไปต่อสู้เกิดเป็นสงครามกลางท้องฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวในที่สุดเหล่าปีศาจก็สิ้นชีพด้วยฤทธิ์แห่งทวยเทพ ท้องฟ้าและท้องทะเลอันวิปริตแปรปรวนได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ซ่านไฉ่และคณะเดินทางกราบคารวะผองเทพผู้ปราบมารอย่างนบน้อม เหล่าเทวะก็เหาะคืนสู่ชั้นฟ้าดังเดิม คงเหลือแต่เทพผู้ถือง้าวได้เนรมิตเรือแก้วเจ็ดประการอันแข็งแกร่งให้แก่คณะเดินทาง สร้างความยินดีให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก เมื่อขึ้นเรือหมดทุกคนแล้ว เทพถือง้าวกล่าวขึ้นว่า"นาวาลำนี้สร้างขึ้นเพื่อให้สัตว์โลกอาศัยข้ามความเกิดและความตาย ทุกคนจงมีจิตศรัทธาละทิ้งความกลัวเสีย นาวานี้จะนำพวกเจ้าออกจากเกาะแห่งทุกข์ระทมที่พลัดหลงเข้ามาเพราะบ่วงกรรม พระเมตตาแห่งพระโพธิสัตว์จะเป็นเครื่องป้องกันอันตรายมิให้อับปางด้วยพายุเด็ดขาด จงไปเถิด"นาวานั้นนำทางทุกคนมาสู่ท้องทะเลอันสงบ เมฆขาวลอยฟ่องดังปุยนุ่นบนท้องฟ้า แสงอาทิตย์มิได้แผดกล้าร้อนแรง แต่กลับเป็นแสงทองอันอบอุ่นส่องนำทาง ฝูงนกโบยบินอย่างมีชีวิตชีวา กลิ่นหอมของมวลบุปผาจากแดนไกลลอยมาอย่างประหลาด เป็นสัญญญาณให้รู้ว่าใกล้ถึงเ
กาะศักดิ์สิทธิ์แล้วในที่สุดทุกคนก็ถึงที่หมายในเวลาเที่ยงตรงของวันหนึ่ง ซ่านไฉ่นำทุกคนเดินเท้าผ่านทิวทัศน์อันสวยงาม แปลกตา ปลอดโปร่ง และสุขสบายอย่างหาสัมผัสได้ยากบนแดนที่ตนจากมา จนกระทั่งเข้าสู่ป่าไผ่สีม่วง ก็พบปราสาทกลางบึงบัวอันวิจิตรงดงาม ทุกคนต่างก้าวเดินอย่างลืมเหน็ดเหนื่อย เพราะมีความปรารถนาจะพบพระผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มหัวใจครั้นแล้วทุกคนก็ได้พบกับพระโพธิสัตว์กวนอิมประทับอยู่กลางบัลลังก์บัวอย่างสง่างาม แต่พระองค์กลับไม่มีพระเนตรและพระกรเหลืออยู่เลย ทุกคนได้แต่มองอย่างตกตะลึงและซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์ พระเจ้าเมี่ยวจวงและพระธิดาทั้งสองเพียงแรกเห็นก็จดจำได้ว่านี่คือพระธิดาเมี่ยวซ่านอย่างแน่นอน เพราะแผลเป็นจางๆ กลางหน้าผากบ่งบอกได้เด่นชัด พระเจ้าเมี่ยวจวงและสองพระธิดาคร่ำครวญถึงการสูญเสียอย่างไม่อาจหวนคืน พระธิดาสามต้องเป็นผู้พิการไร้มือและดวงตามืดบอดตลอดกาลเป็นเพราะช่วยบิดาแท้ๆแต่พระโพธิสัตว์กวนอิมตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดาและพระพี่นางที่รัก การสละอินทรีย์เพื่อช่วยผู้ทนทุกข์นับเป็นความยินดียิ่งแห่งเราอย่าได้เสียใจไปเลย" พระเจ้าเมี่ยวจวงยังคงเสียพระทัยที่พระธิดารักต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงว่า "หากพระบิดาโศกเศร้าอยู่ในห้วงทุกข์ เพราะเราไร้ดวงตาและแขนซ้ายขวา เราก็ขอตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ร่างกายเรากลับบริบูรณ์ดังเดิมเทอญ" สิ้นคำตรัส แขนซ้ายขวาสีทองนับพันได้ปรากฏขึ้นบนร่างของพระองค์พร้อมดวงตางามกว่านางอัปสรบนชั้นฟ้า ทุกคนในที่นั้นต่างปีติยินดียิ่งร่ำไห้สวมกอดกันอย่างไม่คิดจะเลิกราพระโพธิสัตว์กวนอิมชี้ทางสว่างด้วยการเทศนาธรรมแก่ทุกคน ทรงแสดงภาพนิมิตถึงภพภูมิแห่ง เปรตอเวจี ให้เห็นว่าผู้ก่อกรรมทำบาป ทุจริตของสาธารณะมาเป็นประโยชน์ส่วนตน จิตใจคับแคบ ห่วงกังวลในสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบ ก็จะกลายเป็นเปรต หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นไปได้คือ ได้รับแสงแห่งพระโพธิสัตว์บรรเทาความทุกข์ให้มลายหายไป ทรงเทศนาพระอริยสัจสี่ประการอันเป็นวิถีแห่งบุญ ฝูงเปรตที่ฟังแล้วเกิดปัญญาก็ได้เกิดใหม่ในภพที่รุ่งเรืองกว่าในเทวโลก เปรตตนใดที่ยังหลงมัวเมา
ก็คงอยู่ต่อไปในเปรตภูมิต่อมาพระองค์ได้พาทุกคนไปยัง นรกภูมิ เห็นภาพแม่น้ำเดือดพล่าน ต้นไม้ลุกเป็นไฟ มีใบเป็นดาบคมกริบ มีแขนขาลอยฟ่องอยู่ในแม่น้ำ น่าสยดสยองพระเจ้าเมี่ยวจวงถามว่า "คนบาปชนิดใดจึงตกอยู่ในภพนี้" พระกวนอิมตอบว่า"มนุษย์ผู้กระทำชั่วมหันต์ จำพวกฆ่าชีวิต ข่มขี่คนจน ลักลอบเป็นชู้ หยาบกระด้างด้วยโทสะ โมหะ เผาผลาญจนที่แห่งนี้ลุกเป็นไฟตลอดกาล ต่ำลงไปเป็นขุมนรกแห่งผู้ก่อศึกสงคราม จะต้องรบราฆ่าฟันกันเองนานชั่วกัลป์ ส่วนผู้กระทำความโลภ เลือดเย็นอำมหิต วางยาพิษ คนพวกนี้ต้องอยู่ในความมืดมีน้ำแข็งห่อหุ้มทรมานและพวกวางอุบายใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ใส่ตน ะไปเกิดแต่ลำพังคนเดียวในโลกมืดบอดไร้ทางออก"พระเจ้าเมี่ยวจวงถามถึงหนทางหลุดพ้นของสัตว์นรกเหล่านี้ พระกวนอิมจึงว่า "ภาพเหล่านี้สร้างขึ้นจากมโนญาณ เมื่อจะออกไปได้ต้องละจากบาป ไฟทรมานจึงจะดับลง และกรรมดีจะพาไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่านี้" ทุกคนต่างอยากเห็นภพที่ดีดังกล่าวจึงขอให้พระโพธิสัตว์กวนอิมทรงพาไป ครั้นแล้วปราสาททิพยวิมานอันวิจิตรตระการตาก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน เทียบกันแล้วพระราชวังของพระเจ้าเมี่ยวจวงกลายเป็นเพียงกระท่อมหญ้าทันที ส่วนความงามของสองพระธิดาก็ต้องมัวหมองลงเมื่อเปรียบกับความงามของนางอัปสรบนแดนนี้ และ ณ ที่แห่งนี้เองทุกคนก็ได้พบกับพระนางเป้าเต๋อ พระมเหสีและพระมารดาผู้เป็นที่รักของทุกคน พระนางเป้าเต๋อจึงติดตามคณะท่องแดนสวรรค์ เสด็จเคียงข้างพระเจ้าเมี่ยวจวง สร้างความยินดีให้กับทุกคนพระกวนอิมตรัสว่า "หากต้องการขึ้นมาอยู่ในเทวภูมินี้ ต้องบำเพ็ญบารมีด้วยการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เคารพผู้แก่ชรา สุภาพอ่อนหวานทั้งกาย วาจา ใจ ปราศจากความเห็นแก่ตัว หมั่นบริจาคทาน กล่าวแต่คำสัตย์ และอดกลั้นความโกรธ" คณะท่องดินแดนนรกและสวรรค์เห็นตรงกันว่า ต้องการเสวยสุขในดินแดนแห่งนี้ พระโพธิสัตว์กวนอิมแย้มสรวลอ่อนละมุนแล้วตรัสว่า "แท้จริงแล้ว ชาวสวรรค์เหล่านี้รับความบันเทิงในผลบุญจากปางก่อน แต่ยังมัวเมาหลงงมงามในความสนุกแห่งรูปไม่นานจิตก็จะเสื่อมด้วยอำนาจแห่งความหลง สวรรค์ก็จะมลายหายไป เทวดาเหล่านี้ก็จะตกสู่บาปภพเพื่อชดใช้กรรม ไม่ต่างจากคนบาปเมื่อครู่..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น