ท่านหลิวหัวหน้าหมู่บ้านจัดแจงต้อนรับคณะนักบวชเป็นอย่างดี ชาวบ้านต่างพากันซักไซ้ว่า ขณะเดินทางผ่านฝูงอีกาเจ้าแห่งขุนเขามาได้อย่างไร เมี่ยวซ่านไต้ซือเล่าความให้ฟังทั้งหมดจึงพากันตื่นเต้นประหลาดใจ ท่านหลิวบอกว่า "พวกท่านคงเป็นผู้วิเศษ มีบารมีน่าเลื่อมใส อีกาซึ่งเป็นสัตว์ยังเกรงกลัวไม่สามารถทำอันตรายแก่พวกท่านได้... มาเถิดโปรดมาฉันอาหารเจที่พวกข้าน้อยทำถวายแล้วจึงพักผ่อนที่บ้านข้าน้อย ท่านจงอย่างได้รังเกียจชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นพวกเราเลย" เมี่ยวซ่านไต้ซือและศิษย์ทำความเคารพขอบคุณในความอารีของชาวบ้าน เมื่อฉันอาหารแล้วจึงเข้าที่พักปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐานก่อนพักผ่อนอย่างสงบเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คณะของไต้ซือฉันอาหารเจเสร็จแล้วก็เก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทางต่อ ท่านหลิวกำชับบอกทางไปเขาซีมี่ซานว่า"พวกท่านขึ้นตรงไปทางเหนือสามสิบลี้ จะพบภูเขาจินหลุนซาน จงเดินเลี่ยงไปข้าง ๆ อย่าส่งเสียงดังและไปให้เร็วที่สุดเมื่อผ่านไปได้ราวสิบแปดลี้จะพบป้อมไซซือ อันใช้เป็นที่พักแรมได้" คณะไต้ซือฟังจนเข้าใจแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านออกเดินทางต่อไป เส้นทางขณะนี้มีเพียงพื้นทรายอันร้อนระอุ ม่มีร่มเงาของพันธุ์ไม้ใดๆ หรือแม้แต่น้ำสักหยดยังยากจะพบ แต่ว่าสามนักบวชยังคงย่ำเท้าต่อไปอย่างไม่หวั่นเกรง จนกระทั่งถึงเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพงดงาม เขียวขจี ทั้งสามจึงเดินเข้าไปดั่งต้องมนต์สะกดจนลืมคำเตือนของท่านหลิวหมดสิ้นเมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวอุทานออกมาว่า"ดีจริงๆ ตั้งแต่เดินทางมายังไม่เคยเจอที่ใดงดงามเท่านี้เลยเหมือนเป็นฝีมือของทวยเทพเช่นนี้" ย่งเหลียนได้ฟังจึงฉุกคิดได้กล่าวว่า"ไต้ซือ ! ท่านกำลังถูกครอบงำหลงใหลสถานที่แห่งนี้ เหมือนท่านลืมที่ท่านหลิวสั่งไว้แล้วหรือว่าระหว่างใช้เส้นทางนี้ห้ามหยุดชมและส่งเสียงดัง เราควรจะเดินทางต่อไปโดยเร็วนะเจ้าข้า"เมี่ยวซ่านไต้ซือจึงระลึกได้รีบเดินทางต่อไปทันที แต่ทว่าสายไปเสียแล้วเมื่อบัดนี้มีเสียงกลุ่มคนพูดกันดังมาจากชายป่าและตามมาด้วยเสียงลากของหนักๆ คล้ายขื่อคานสำหรับลงโทษนักโทษประหาร คณะของไต้ซือหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อพบว่าด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยขบวนฝูงอมนุษย์อันน่าสะพรึงกลัวนาทีนั้นควรอย่างยิ่งที่จะวิ่งหนีแต่เท้าของทั้งสามต่างก็ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ขบวนของอสูรร้ายใกล้เข้ามาทุกที ย่งเหลียนได้สติก่อนเพื่อน ฉุดมือไต้ซือและพระน้านางออกวิ่งหนีสุดชีวิต เมี่ยวซ่านไต้ซือวิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็สะดุดล้ม อสูรตนหนึ่งวิ่งตามมาตะครุบตัวไต้ซือไว้ได้ย่งเหลียนวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะทำประการใดต่อไป เมื่อมาไกลพอควรแล้วจึงหยุดพักก็พบว่าพระน้านางก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน"นี่เราจะทำอย่างไรดี พวกผีป่าจับตัวไต้ซือได้พระน้านางก็ไม่รู้พลัดหลงไปที่ไหน" พลันได้มีเสียงร้องเรียกมาจากด้านหลัง"ย่งเหลียนรอฉันก่อน" ย่งเหลียนเหลียวกลับไปด้วยความยินดี "พระน้านางท่านรอดพ้นภัยมาได้อย่างไรกัน"พระน้านางจึงว่า"เมื่อผีป่าพวกนั้นจับตัวไต้ซือได้แล้วก็พากันดีใจไม่ตามล่าฉันอีก...ย่งเหลียนเราต้องช่วยกันคิดหาวิธีช่วยเหลือไต้ซือจากเจ้าผีป่าพวกนั้นนะ"ทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากป้อมไซซือ คิดแล้วจึงพากันเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่ป้อมไซซือเมื่อเข้าสู่ป้อมได้แล้วได้มีเหล่าคนงานซึ่งกำลังหาบน้ำและดินโคลนสร้างกำแพงป้อมอยู่ต่างเข้ามาสอบถามความเป็นมาของเหล่านักบวชแปลกถิ่น เมื่อฟังว่าเพิ่งรอดจากเหตุการณ์ที่ถูกมนุษย์ขนจับตัวมาได้ ยิ่งชื่นชมบาร
มีของสองภิกษุณีกันขนานใหญ่ หัวหน้าป้อมนาม ซุนเต๋อ ได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมา"พวกเจ้าส่งเสียเอะอะในขณะที่มีงานล้นมือได้อย่างไร" คนงานจึงเล่าเรื่องสองนักบวชให้นายป้อมซุนเต๋อฟังโดยเนื้อแท้แล้วซุนเต๋อผู้นี้เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว จึงยินดีที่จะช่วยเหลือสองนักบวช รีบเชิญให้ไปพักผ่อนที่บ้านตนเองทันที ครั้นได้ฟังความเป็นมาของภิกษุณีผู้จาริกสู่เขาซีมี่ซาน แต่ว่าบัดนี้เหลือกันอยู่เพียงสองคน ส่วนเมี่ยวซ่านไต้ซือมิรู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรซุนเต๋อกล่าวว่า"เราอยากช่วยเหลือพวกท่านก็จริงแต่ทว่าภัยจากอมนุษย์เหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดเคยรอดจากเงื้อมมือของพวกมันได้เลย" แล้วซุนเต๋อจึงเล่าเรื่องพวกอมนุษย์ประหลาดให้ฟังว่า"..ผีป่าเหล่านี้ ความจริงแล้วก็คือคนจำพวก มนุษย์ขน ที่อาศัยอยู่บนเขาจินหลุน ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ กินทั้งขนและเนื้อเป็นอาหาร ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่รู้จักการทำเกษตรกรรม ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ใครคิดจะเดินผ่านเขาลูกนี้แล้วห้ามส่งเสียง เพราะหากพวกมันได้ยินจะถูกจับไปเป็นอาหาร..."สองภิกษุณีฟังแล้วก็เสียใจยิ่งนัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาแทนความระทดใจ ย่งเหลียนตัดพ้อว่ามารมาดลใจให้อาจารย์หลงในทิวทัศน์สวยงามแท้ๆ จึงเกิดภัยร้ายแรงตามมาพระน้านางยังพอมีสติอยู่บ้างจึงเตือนให้ย่งเหลียนหยุดคร่ำครวญและกล่าวว่า"อาจารย์ถูกชิงตัวไปก็จริง แต่อาจจะมีชีวิตรอดเพราะพุทธบารมีคุ้มครองก็เป็นได้ เราทั้งสามเดินทางฝ่าอันตรายน้อยใหญ่มาด้วยกันเมื่อไต้ซือถูกจับเราก็ไม่ควรจะทอดทิ้งท่าน ไปกันเถิดย่งเหลียนเมื่อเรารวมจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้วเมื่อจะตายก็ควรตามด้วยกัน" พระน้านางกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำย่งเหลียนไปยังประตูทางออก หัวหน้าป้อมซุนเต๋อต้องรีบมาห้ามปราม"ช้าก่อน ! ไต้ซือถูกจับไปคนหนึ่งแล้วพวกท่านจะเดินเข้าไปให้มันกินได้อย่างไร โปรดอยู่อย่างสงบที่นี่เถิด"แต่แล้วด้านหน้าป้อมก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอย่างประหลาด คนงานผู้หนึ่งเข้ามารายงานซุนเต๋อ "ท่านหัวหน้าซุนขณะนี้มีภิกษุณีประทับอยู่บนช้างเผือกกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่ทราบว่าใช่ไต้ซือที่ถูกชิงตัวไปหรือ
ไม่ พวกท่านรีบออกไปดูเร็ว"ย่งเหลียนและพระน้านางมองหน้ากันอย่างงงงันเอ่ยว่า "ไม่ใช่นะ ไต้ซือของเราเดินทางด้วยสองเท้าเท่านั้นคงเป็นภิกษุณีจากแดนอื่นเป็นแน่"ซุนเต๋อขบขัน"ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน พวกเรารีบไปดูให้ประจักษ์เถิด" ทั้งสามตามคนงานออกมาดูที่ทางเข้าป้อม ห่างออกไปครึ่งลี้ ได้มีช้างเผือกและนักบวชผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลัง สองภิกษุณีได้แต่ใจระทึกภาวนาให้เป็นไต้ซือของตนเมื่อช้างเผือกเชือกนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ย่งเหลียนกับพระน้านางต่างอุทานด้วยความยินดี "อมิตตาพุทธ นั่นคือไต้ซือของเราจริง ๆ"สองภิกษุณีวิ่งไปรับเมี่ยวซ่านไต้ซือขณะที่ช้างเผือกคุกเข่าให้ไต้ซือลงอย่างง่ายดาย ฝูงชนแห่เข้ามาชมบารมีเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย นายป้อมซุนเต๋อคารวะแล้วเชิญให้เมี่ยวซ่านไต้ซือเข้ามาในป้อมและขอให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทรงรอดชีวิตมาได้ "ขอนมัสการไต้ซือผู้เจริญในวันนี้ไต้ซือได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงพุทธานุภาพอันไพศาลโปรดเล่าเรื่องที่ทรงรอดชีวิตจากมนุษย์ขนมาได้ ให้พวกเราฟังเป็นบทเรียนด้วยเถิด" เมี่ยวซ่านไต้ซือแย้มสรวลอย่างมีพระเมตตาขอบคุณในไมตรีของทุกคนที่ห่วงใยแล้วจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า"...ขณะที่เราถูกจับไปนั้นสองมือสองเท้าถูกมัดด้วยเถาวัลย์แต่แรกพวกมนุษย์ขนนั้นหามเราไป พอเหนื่อยก็ลากเราไปกับพื้นดิน จนถึงถ้ำที่อยู่ของพวกมัน ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นโดยรอบ หนาทึบ ไร้ทางหนี พวกมันวางเราไว้กลางลานแล้วเป่าปากทำสัญญาณเรียกฝูง ครู่เดียวพวกมันทั้งหญิงชายเกือบสองร้อยก็กรูกันออกมาจากป่า คนเหล่านี้มีขนรุงรังทั่วตัวเหมือนมนุษย์วานร มีหนังสัตว์นุ่งห่มน้อยชิ้น เพศชายจะใส่ห่วงเหล็กที่จมูก เพศหญิงจะใส่ที่หู พวกมันมองมาที่เราแล้วก็กระโดดโลดเต้นโห่ร้องราวกับบ้าคลั่งเป็นเวลานาน เรารู้ดีว่าคงหมดหนทางรอดในคราวนี้จึงนั่งสมาธิแผ่เมตตารอความตายเมื่อพวกมันหยุดเต้นรำแล้วก็ปรึกษาเสียงฮึมฮัมคล้ายกับว่าจะแบ่งเนื้อเราอย่างไรดี แล้วก็มีมนุษย์ตนหนึ่งเห็นรองเท้าฟางที่เราสวมใส่ จะเข้ามาคว้าไป เราจึงรีบถอดรองเท้าออกทั้งสองข้างแล้วผลักไปให้ไกล ๆ ตัว พวกมันแย่งชิงกัน แล้วตัวหัวหน้าก็ใช้กำลังแย่งไปสวมดู เมื่อลองเดินและกระโดดขึ้นลงมันก็ชอบใจส่งเสียงคำรามยินดี พวกที่เหลือต่างชี้นิ้วอยากได้บ้าง พอดีในย่ามของเรามีรองเท้าฟางเช่นนี้หลายคู่ จึงหยิบรองเท้าออกมาวางทีละคู่ๆพวกมันมองตามตาเป็นประกายส่งเสียงดีใจโกลาหล ทันใดนั้น พวกที่อยู่ใกล้ก็พากันคว้ารองเท้าไป คนอื่นๆยิ่งดึงยื้อกันใหญ่ รองเท้าฟางเป็นของประดิษฐ์เมื่อถูกยื้อยุดก็ขาดกระจุย มนุษย์ขนต่างฉุนเฉียวที่ถูกทำลายของจึงต่อสู้กันเองอย่างบ้าเลือด เราฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมาทั้งเท้าเปล่า แม้จะถูกหินตำหรือหนามเกี่ยวบ้างก็ถือว่าเล็กน้อย เพราะรองเท้าฟางช่วยรักษาชีวิตเราไว้ได้ เดินทางฝ่าป่าดงมาจนถึงทางแยกจึงลังเลไม่รู้จะไปทางใด พอดีมีช้างเผือกเชือกหนึ่งค่อยๆย่างกรายเข้ามาหา ขณะนั้นเราคิดว่าคงไม่อาจรอดชีวิตได้ในคราวนี้แล้ว จึงยืนนิ่งไม่ไหวติง ช้างเผือกนั้นมาหยุดตรงหน้าชูงวงขึ้น ก้มหัวลงต่ำ ย่อตัวลงประหนึ่งทำความเคารพ เราจึงแน่ใจว่าช้างนี้ไม่ใช่ศัตรูเป็นแน่จึงกล่าวกับช้างว่า"เจ้าช้างเอ๋ย... หากเจ้าประสงค์จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากอสูรร้ายก็จงชูงวงขึ้นสามครั้ง"ดังช้างจะรู้ภาษาดีจึงชูงวงตามที่เราบอก "ดีจริง เจ้าช่วยเราในคราวนี้หากเราบรรลุผลสำเร็จแล้วจะมาช่วยเจ้าให้เข้
าสู่พุทธจักรสิ้นเวรจากการเป็นเดรัจฉาน..."ทันใดนั้น ฝูงมนุษย์ขนก็ส่งเสียงโห่ร้องดังมาจากแนวป่า ไต้ซือระงับความตระหนกกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ช้างเผือกเอ๋ย... เหล่าอสูรตามมาแล้วช่วยเราที"ช้างเผือกฟังแล้วก็ใช้งวงม้วนจับตรงเอวของเราชูไว้แล้วเริ่มออกเดิน จากเดินเป็นวิ่งรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ แต่เรารู้สึกนุ่มนวลเหมือนนั่งบนก้อนเมฆ เจ้าช้างวิ่งมาตลอดสามสิบลี้ จึงค่อยๆเดินอีกพักหนึ่ง เมื่อพ้นเขตเขาจินหลุนแล้วจึงวางเราลงกับพื้น เมื่อปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกหมดแล้วเราจึงกล่าวขอบคุณเจ้าช้างและสัญญาว่าจะมาโปรดให้พ้นทุกข์อย่างแน่นอน แต่เจ้าช้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้าป่า กลับหมอบคู้อยู่ข้างๆเราแม้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ช้างก็ติดตามเราไปทุกทิศเมื่อเราถามว่า ถ้าต้องการไปยังเขาซีมี่ซานด้วยจงผงกหัวสามครั้ง ช้างก็ผงกหัวครบสามครั้งจริง ๆ ทั้งยังชูงวงรัดเราขึ้นไปนั่งบนหลังและออกเดินทางมายังป้อมไซซือดังที่พวกท่านเห็นอยู่ขณะนี้..."
ทุกคนเมื่อได้ฟังแล้วต่างพึมพำถึงพุทธบารมีของเมี่ยวซ่านไต้ซือกันไม่ขาดปาก ซุนเต๋อกล่าวว่า "ความลำบากที่พวกท่านผ่านมาได้อย่างไม่ย่อท้อ ข้าน้อยเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสำเร็จมรรคผลเป็นแน่ แต่จากนี้ขอให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่สัก ๒ - ๓ วันก่อนข้าน้อยจะได้เตรียมการให้ผู้คนสานรองเท้าฟางให้ทันการเมี่ยวซ่านไต้ซือขอบคุณและกล่าวว่า"ประสกซุนอย่าลำบากเลย เพียงให้อาหารและที่พักก็เพียงพอแล้ว พุทธบัญญัติกำหนดไว้ว่าภิกษุผู้เดินทางจะยอมรับเพียงเรื่องกิน ดื่ม และที่อาศัยเท่านั้นนอกจากนี้รองเท้าฟางที่เราสานตั้งแต่ครั้งอยู่ในวังได้ช่วยชีวิตเราถือว่ามีบุญคุณจึงไม่ควรที่จะสวมเหมือนข่มเหงมันอีกขอประสกโปรดเข้าใจ" ท่านซุนเห็นความตั้งใจจริงไม่เหยียดหยามแม้แต่รองเท้าฟางไร้ชีวิต จึงทวีความนับถือไต้ซือยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น