คณะของเมี่ยวซ่านไต้ซือได้เดินทางมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นป่าโปร่งเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกับเสือร้าย การเดินทางเป็นไปอย่างรีบเร่งและลำบากเพื่อให้พ้นจากเขตชายป่าก่อนที่ตะวันตกดินเมื่อเดินทางมาได้ประมาณสิบลี้ก็ถึงสะพานหินงอกซึ่งเป็นรูปกากบาทรอบด้านเป็นป่าไม้เบญจพรรณที่รกทึบนายพรานผู้นำทางจึงกล่าวขึ้นว่า"ทุกคนจงเตรียมอาวุธให้พร้อมอย่าประมาทเด็ดขาด"ทันใดนั้นที่ปลายสะพานด้านหนึ่งได้มีเสือกระหายเลือดตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่ ภิกษุณีทั้งสามตกใจผวาจึงพลัดตกจากหลังช้างลงมากองรวมกันที่พื้น กลุ่มชายฉกรรจ์ป้องกันแข็งขันมิให้เสือนั้นเข้ามาในวงล้อมได้แต่ว่าอีกฟากหนึ่งของสะพานได้มีเสือตัวที่สองกระโจนมาหมายจะคว้าเมี่ยวซ่านไต้ซือเป็นอาหาร นาทีแห่งความตายนั้นเอง เจ้าช้างเผือกเข้ามายืนคร่อมปกป้องภิกษุณีทั้งสาม ใช้งวงคว้าร่างเจ้าเสือแล้วเหวี่ยงไปด้วยกำลังมหาศาล ร่างเจ้าเสือลอยลิ่วไปปะทะกับโขดหินเสียงกระดูกหลังหักดังกร๊อบและนอนดิ้นอยู่พักหนึ่งก็สงบลง กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นแล้วก็ฮึกเหิม ระดมอาวุธใส่เสือตัวแรกจนร้องคำรามก้องป่านกกาบินแตกตื่นขึ้นฟ้า เป็นนาทีเดียวกับที่เสือชะตาขาดนั้นหมดลมเสียงร้องคำรามของเสือปลุกให้สองพยัคฆ์อีกด้านหนึ่งของป่าตื่นขึ้นและรู้โดยสัญชาตญาณว่าเพื่อนร่วมฝูงของมันกำลังได้รับเคราะห์ มันจึงวิ่งทะยานออกจากถ้ำมุ่งไปยังทิศทางต้นเสียงโดยเร็ว ชั่วครู่กลิ่นสาบเสือได้โชยมาปะทะจมูกของนายพรานผู้ชำนาญการ"ระวังให้ดีพวกมันกำลังตรงมาทางนี้มีมากกว่าหนึ่งตัวเสียด้วย"ทุกคนจึงกระชับอาวุธในมือนั้นและรอนาทีตัดสินชะตาระหว่างมนุษย์และพยัคฆ์ร้าย ทันใดนั้นเสือตัวที่สามกระโจนมาทางเหล่าภิกษุณีอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกับงวงอันทรงพลังก็ได้คว้าร่างของสัตว์ร้ายฟาดลงกับโขดหินจบชีวิตเจ้าแห่งขุนเขาเทียนหม่าเผิงไปอีกตัวเสือตัวที่สี่นั้นเห็นเพื่อนของมันนอนนิ่งไปถึงสามตัวก็คำรามก้อง พุ่งเข้าตะปบที่ขาหลังของเจ้าช้างเผือกจนเซ กลุ่มชายฉกรรจ์กรูกันเข้ามาช่วยช้างรับมือกับเสือบ้าคลั่ง ต่างถูกลูกหลงจากเขี้ยวเล็บบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่ในที่สุดมันก็ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกับพยัคฆ์กระหายเลือดสามตัวก่อน ช้างเผือกชูงวงพาร่างไต้ซือและผู้ติดตามขึ้นหลังอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อไป ส่วนผู้คุ้มครองบางคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นขอแยกกลับไปรักษาตัวที่หมู่บ้าน เหลือแต่นายพรานและชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งอาสาไปส่งไต้ซือจนพ้นแดนพยัคฆ์ร้ายที่คงเหลือแต่ชื่อจนกระทั่งสุดเขตแดน บัดนี้เหลือแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือและสองภิกษุณีบนหลังช้าง เดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านป่าเขาที่มีทิวทัศน์แปลกตา ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และเมืองใหญ่ๆซึ่งมีผู้คนต้อนรับคณะไต้ซือเป็นอย่างดีด้วยอาหารเจและที่พำนักสะอาดเงียบสงบ หากวัดจากจุดเริ่มต้นผนวกกับนับระยะการเดินทางของไต้ซือรวมทั้งหมดแล้วถือว่ามากกว่าพันลี้เลยทีเดียว และบัดนี้ยอดเขาละลานตาแห่งเทือกเขาซีมี่ซานก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าของผู้แสวงหาทั้งสามแล้วกำลังใจ ความเข้มแข็งและความหวังที่ใกล้ริบหรี่ก็ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้งนักบวชทุกคนได้พากันเดิน เดิน และเดิน จนถึงจุดหมายยังตีนเขาซีมี่ซานอันตระหง่านเสียดฟ้าดังยากจะไขว่คว้า แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายความบากบั่นในจิตใจของสามนักบวชลงได้ทั้งสามหารือกันว่าดอกบัวหิมะต้องอยู่บนยอดใดยอดหนึ่งในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดสิบสองลูกนี้ และต้องสุ่มเฉพาะยอดเขาที่สูงๆเท่านั้น แม้จะต้องค้นจนทั่วทุกเขาก็ต้องทำ ขณะค้นหาก็ต้องสวดภาวนาขออำนาจบารมีแห่งพระธรรมบันดาลให้บัวหิมะปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งสามเริ่มต้นที่ภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขาซีมี่ซาน พิจารณาดูแล้วนับว่าเขาลูกนี้มีขนาดสูงจนมองไม่เห็นยอด ทางขึ้นก็ราบเรียบดูไร้ซึ่งอุปสรรค ทั้งสามจึงขึ้นสู่เขาเบื้องหน้าทันทีแต่ทว่าช้างเผือกพาหนะคู่ใจเกิดหยุดปีนเสียดื้อๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรเจ้าช้างก็ไม่ยอมก้าวขาแม้เพียงน้อย ซึ่งเป็นอาการที่น่าประหลาดยิ่งเพราะก่อนหน้านี้ช้างเผือกไม่เคยดื้อดึงฝ่าฝืนคำสั่งของไต้ซือเลย แม้ย่งเหลียนและพระน้านางจะให้อาหารหรือปลอบโยนอย่างไรเจ้าช้างก็ยังไม่ขยับนานเกือบชั่วยาม อาการที่บ่งบอกมีเพียงเสียงถอนใจและครางในลำคอดังจะบอกอะไรบางอย่างแต่บุคคลจากรั้ววังทั้งสามไม่อาจรู้ได้เลยว่า อาการเหล่านั้นบังเกิดเฉพาะในสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้นที่รู้ถึงภัยจากสัตว์ป่าด้วยกันเอง กลิ่นสาบสางที่โชยมาแตะจมูกเจ้าช้างเตือ
นว่าภัยครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าครั้งใดที่ได้พบมาไต้ซือเมี่ยวซ่านค่อยๆปลอบประโลมอย่างอ่อนหวาน อธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำกำลังจะสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้วจะมาพังทลายเสียอย่างนี้ย่อมน่าเสียดาย ชี้แจงเช่นนี้หลายครั้ง เจ้าช้างก็ส่ายหัวซึ่งคล้ายกับจะบอกว่ามันไม่ได้เกียจคร้านหรืออยากฝ่าฝืนคำสั่งแต่มันพูดออกมาไม่ได้เท่านั้นในที่สุดความพยายามของไต้ซือก็เป็นผล ช้างเผือกยอมก้าวเดินต่อไปแม้จะเชื่องช้าเต็มทีห้าสิบลี้ผ่านไปภิกษุณีทั้งสามก็ได้กลิ่นสาบสางฉุนกึกเข้าจมูกย่งเหลียนทนไม่ไหวต้องบ่นออกมา ไต้ซือเมี่ยวซ่านกล่าวให้วางเฉยในทวารทั้ง ๖ เพราะนักบวชผู้สละโลกจักต้องสงบ สำรวม ทันใดนั้น กลิ่นสาบก็รุนแรงขึ้นสะกดช้างเผือกให้หยุดจังงังดังต้องมนต์ภิกษุณีทั้งสามลงจากหลังช้างอย่างแปลกใจ พร้อมกันนั้นป่าไม้รอบด้านก็สะเทือนด้วยแรงมหาศาลของสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวอยู่ในแนวป่า ลมพัดกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจและฝุ่งผงคลุ้งจนแทบลืมตาไม่ได้ แล้วเงาของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาก็พาดผ่าน แสดงความใหญ่โตโอฬารของมันให้คณะเดินทางของไต้ซือได้เห็นเต็มตาและตกใจสุดขีด ภาพที่เห็นนั้นคือพญางูยักษ์ อสูรแห่งป่าลึกดวงตาของมันจ้องเขม็งยังเจ้าช้างเผือก อ้าปากขู่อวดเขี้ยวพิษขาววับทั้งคู่ ขนาดของปากมันไม่ผิดอะไรกับปากถ้ำแห่งมรณะ ลิ้นสองแฉกยาวใหญ่เท่าดาบเพชฌฆาต เกล็ดเป็นลายเล็กๆทั่วตัวน่าขยะแขยงยิ่งนัก ขนาดลำตัวใหญ่เกือบเท่าต้นไม้อายุร้อยปี ส่วนความยาวนั้นไม่รู้ว่าเท่าไหร่เพราะมันโผล่มาเฉพาะช่วงบนถึงกลางลำตัว ส่วนปลายของมันซ่อนอยู่หลังแนวป่าไต้ซือรวบรวมสติร้องเตือนให้ทุกคนวิ่งหนี ทั้งสามต่างพากันวิ่งหนีเข้าไปในชายป่าด้านข้าง ส่วนเจ้าช้างนั้นเกร็งจนก้าวขาไม่ออกยืนโงนเงนและล้มลงพญางูยักษ์จึงอ้าปากฝังเขี้ยวลงบนร่างเจ้าช้างผู้น่าสงสารจนถึงแก่ความตายแล้วจึงอ้าปากกางขากรรไกรขยอกร่างเจ้าช้างกลืนลงท้อง ก่อนพาร่างมโหฬารเลื้อยหายไปหลังมื้ออาหารอันโอชะไต้ซือพระน้านางและย่งเหลียนสัมผัสมรณกรรมของเจ้าช้างเต็มสองตาต่างนิ่งงันพูดอะไรไม่ออกด้วยรู้สึกว่าสูญเสียมิตรแท้ในยามยากไปโดยไร้หนทางช่วยเหลือทั้งหมดจึงร่วมกันสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้แก่ช้างเผือกผู้ซื่อสัตย์ขอให้เจ้าช้างไปสู่สุคติด้วยความโศกเศร้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น