มีคนคิดว่าการเรียนพุทธธรรมต้องออกบวชจึงสามารถสำเร็จได้มีคำกล่าวว่า “วางมีดลง สำเร็จพุทธะ”บอกให้รู้ว่าเป็นฆารวาสเรียนพุทธธรรมก็สามารถสำเร็จได้เช่นเดียวกันฆราวาสสำเร็จพุทธะมิใช่มีเพียงคนเดียวแต่มาเปรียบเทียบกันแล้ว
ผู้ออกบวชจะมีอุปสรรคน้อยกว่ามากฆราวาสผู้บำเพ็ญต้องวุ่นวายอยู่กับงานทางโลกทำให้ใจที่มีอุดมคติได้รับการกระทบแต่ถ้าสามารถทำใจนิ่งเฉยก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันกับผู้ออกบวช จากตัวอย่างเช่นท่านอาจารย์มหาพั้งท่านได้โปรดคนเลวให้ได้ดีจำนวนมาก ท่านมหาพั้งมีชื่อว่า อุ่ง ธรรมฉายาว่าเต้าเฮี้ยนเป็นลูกเศรษฐี ครอบครัวรับราชการบิดาเป็นเจ้าเมืองมีทรัพย์สมบัติมาก เป็นเพราะอยากเป็นพุทธะ จึงบริจาคทรัพย์สมบัติไปมากเหลือเพียงเล็กน้อย อยู่เป็นฆราวาสบำเพ็ญทั้งสองสามีภรรยาที่สุดสำเร็จมหาธรรม สุดท้ายสำเร็จเป็นพุทธะ เมื่อสำเร็จมรรคผลแล้วก็ยังมีคติพจน์จำนวนมากเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง ตอนนี้ก็จะเขียนส่วนที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นฝึกเรียนพุทธธรรมนำไปใช้ได้ 1.ใจเฉยก็คือสมาธิ สภาวะเฉยก็คือฌาน นิ่งเฉยไม่หวั่นไหวมหาไม่ใช่ตรงกลางหรือข้างๆ หากใจสามารถไปถึงได้ก็อย่างที่เรียกว่าบัวกลางไฟ (อธิบาย: เฉยก็คือไม่ไหว ไม่ครุ่นคิดไปกับสภาวะ) นิ่งเฉยเหมือนมั่นคง จึงพูดว่าใจเฉย ขอเพียงใจเฉยนั่นคือเข้าสู่สมาธิสภาวะเฉยคืออยู่ในสภาวะอะไรก็อยู่ในสภาวะอย่างนั้นคืออยู่ในสภาวะอันนี้ไม่คิดออกไปจากสภาวะ 2.ไม่โลภดีกว่าให้ทาน ไม่หลงดีกว่าทำสมาธิ ไม่โกรธดีกว่าถือศีลไม่คิดคำนึงดีกว่าแสวงหาโอกาส ก็พ้นไปจากปุถุชนกลางคืนก็นอนหลับดี หน้าหนาวก็นั่งผิงไฟ ไฟจริงไม่มีควันไม่ถือความมืด ไม่แสวงหาบุญกุศลเดินเหินตามสะดวกล้วนเป็นปัญญาญาณ หากสามารถฝึกแบบนี้ได้บุญกุศลไร้ขอบเขต (อธิบาย: ผู้ที่สามารถให้ทานย่อมไม่โลภ การนั่งสมาธิก็เพื่อรวบใจไว้หากไม่คิดฟุ้งซ่านก็เปล่าประโยชน์ที่จะนั่งสมาธิ ถึงแม้จะถือศีลได้ครบบริบูรณ์) แต่พอโกรธก็เหมือนจุดไฟเผาศีล สุดท้ายกลายเป็นความขุ่นข้องหมองมัวไม่ครุ่นคิดใจก็ใสเหมือนธารน้ำ ไฉนจึงต้องไปแสวงหาโอกาสปุถุชนทางโลกก็คือทุกข์กังวลไม่สิ้นสุด หากเข้าใจกฎแห่งกรรม
ก็จะเป็นสุขและยอมรับความทุกข์โดยไม่กล่าวโทษ มีความสงบสุขก็หลับได้สบายก็จะไม่ใจแบ่งแยกบาปบุญดีชั่ว แม้จะเป็นหญิงโสเภณีทำไมจึงต้องถือสาตั้งใจบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ไม่ต้องมีใจไปแสวงหาบุญกุศล ไม่แสวงหาบุญวาสนาให้เป็นไปตามแต่ดวงชะตา นั่นคือความเป็นมหาปัญญา 3.ไม่ครุ่นคิดเป็นวัดใสเย็น ขันธ์ว่างคือ ห้าวิหารแท้ ต่อสภาวะใจไม่แปดเปื้อนมีกามารมณ์ตายด้าย หลักธรรมล้ำลึกก็จะปรากฎชัด เมฆทมึนก็จะเปิดกว้างจักได้ตาทิพย์ ละรูปเห็นตถาคต หากฝึกได้ตามที่เรียนไม่เคลื่อนไหวก็พ้นจากสามเคราะห์ (อธิบาย: ใจไม่ครุ่นคิดย่อมจะใสเย็นแน่ เมื่อขันธ์ทั้งห้าว่างเปล่าก็เหมือนได้ขึ้นสู่วิหารห้า ไม่ติดอยู่กับสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นบาปบุญสวยงามหรืออัปลักษณ์ ก็ไม่เกิดสภาวะ คือใจไม่สกปรก) เมื่อเกิดกามารมณ์ขึ้นใจก็เหมือนตายด้าน ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ทั้งเจ็ดอย่างนี้จะมีเรื่องอะไรนอกเหนือกายอีก ขอเพียงมีใจสงบสัจธรรมล้ำลึกก็เกิดขึ้นจากใจ วิถีธรรมทั้งหลายก็อยู่เฉพาะหน้าก็เหมือนกับก้อนเมฆเป็นก้อนๆ บนท้องฟ้ากว้าง เมฆเกิดจากท้องฟ้าสรรพธรรมไร้ขอบเขตก็กระจายอยู่เต็มจักรวาล ไม่แน่เสมอไปว่าต้องได้อภิญญามีตาทิพย์จึงจะสำเร็จเป็นพุทธะ รูปต่าง ๆ ไม่ทำให้ยึดติดหากสามารถพ้นจากรูปต่างๆ ได้ ไม่เกิดความคิดขึ้น ก็จะพบตถาคตโดยไม่ต้องขยับเคลื่อนไหวก็จะสามารถพ้นจากเคราะห์ทั้งสามเคราะห์ทั้งสามคือทางสามแพร่ง 4.ตะวันหมุนสั้นลง กาลเวลาจากไปรวดเร็ว ร่างกายเหมือนกับฟองในน้ำชีวิตเหมือนเทียนต้องลม ควรระมัดระวังงูทั้งสี่เสมอ ใส่ใจขจัดพิษทั้งสาม อธิบาย: ชีวิตคนมีกี่มากน้อย ชะตาชีวิตแค่สั้นๆ เพียงหมุนกะพริบก็อนิจจังเสียแล้วควรที่จะว่างจากอาตมาลักษณ์ บุคลาลักษณ์ สัตวาลักษณ์และชีวลักษณ์
ถ้าลักษณะทั้งสี่ยังมีอยู่ จิตเดิมก็เผยปรากฎออกมาได้ยากดังนั้นลักษณะทั้งสี่ก็คืองูทั้งสี่ เพราะมันมีพิษ กีดขวางโพธิและความวิริยะขณะเดียวกันก็ต้องยอมเจ็บปวดบำเพ็ญขจัดดับโลภโกรธหลงอันเป็นพิษร้ายทั้งสามให้หมดสิ้น ปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไป ก็จะสามารถสำเร็จเป็นพุทธะทันทีโศลกอันแรกที่กล่าวมาจะต้องนิ่งเฉยไม่หวั่นไหวใจสงบหยุดครุ่นคิดโศลกอันที่สอง อธิบายถึงการฝึกพุทธะอยู่กับบ้านถึงแม้ยังไม่ได้ถือศีล ทำฌาน สมาธิ หากสามารถปฏิบัติได้เองโดยสะดวกก็จะเหมือนกับผู้ออกผนวชถือศีลสามารถสำเร็จพุทธะได้โศลกอันที่สามก็ต้องบำเพ็ญบารมี เริ่มจากการหยุดครุ่นคิดทั้งรูปและความว่าง ล้วนไม่เกิดความคิดขึ้น พั้งไท้ซือสามารถเข้าถึงการหยุดความคิดและละรูปได้ ย่อมเข้าถึงที่แยบยลส่วนโศลกอันที่สี่นั้นก็คือการว่างจากลักษณะทั้งสี่ใจคนย่อมติดอยู่จึงยากต่อการทำให้ว่างจากลักษณะทั้งสี่ได้ เมื่อยึดติดในรูปลักษณะแล้วถึงแม้จะสำเร็จทั้งหมดได้ก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะที่สิ้นสุดได้สรุป โศลกทั้งหมดของอาจารย์พั้งไท้ซือ ล้วนเป็นการเปิดธัมจักษุอีกทางหนึ่งโดยใช้หลักการวัชระ และแนวปฏิบัติของสัก ธรรมปุณฑริกสูตรมีใจสงบหยุดความคิด การรวบใจมีศิลป์ดังนั้น จึงสามารถบำเพ็ญอย่างฆราวาสจนสำเร็จมรรคผลได้ด้วยวิถีธรรมแบบง่ายๆ นี้ ก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เช่นนี้แล้วไฉนจึงต้องเที่ยวไปจุดธูปไหว้พระไปแทบทุกแห่งหนฌานสมาธิ ฌานสมาธิ หลื่อโจ้ว ท่ามกลางชีวิตปัจจุบันที่วุ่นวาย ทุกคนควรมี “ฌานสมาธิ” ไว้บ้างจึงจะสามารถยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น การยกคุณสมบัติของชีวิตให้สูงขึ้น
ก็คือการสำแดงประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นรักษาชีวิตให้มีความสมดุลและกายใจให้มีพลานามัยเพราะว่า “ฌาน” คือศิลปะของชีวิตยิ่งเป็นการปรุงวิญญาณของชีวิตให้กลับกลายสวยงามอย่างแท้จริงสามารถทำให้ใจมีอิสระอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ ๆ ต้องตบแต่งและไม่มีที่ค้างอยู่เข้าถึงสภาวะสูงสุดของยาน ถ้าได้บำเพ็ญฌานสมาธิแล้วเบื้องแรกสุดก็สามารถทำให้ชีวิตสุขสบาย ไม่เกิดอารมณ์โกรธง่ายไม่ถูกความอยากภายนอกหลอกลวงจนทำให้วิถีชีวิตวุ่นวายก่อให้เกิดภัยเคราะห์ขึ้นได้ ขณะเดียวกันการอบรมคุณธรรมของตนก็จะค่อย ๆ เจริญพัฒนาขึ้น ก็จะถูกชาวโลกกำหนดให้สร้างสรรค์ตนจนกลายเป็นบุญกุศลอันประมาณมิได้ไม่มีสายธรรมไหนที่จะไม่บำเพ็ญ “ฌานสมาธิ” เน้นเป้าหมายแรกในการฝึกโดยเฉพาะทางเซ็นจะให้ความสำคัญโดยกำหนดเป็นงานที่ต้องทำมีเพียงสมาธิเท่านั้นที่ทำให้จิตวิญญาณเดิมของตนได้รับอิสระอย่างแท้จริงเพราะฉะนั้นพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ได้กำหนดไว้เป็นแนวทาง 4 ข้อให้ศิษย์ฝึกฝนทำความสะอาดจิตตน ฟื้นฟูจิตวิญญาณ ผ่านเวลาการฝึกปรือและชำระล้างจนกว่าจะพ้นอวิชชา ให้ปัญญาเจริญออกมา จะได้ดำเนินชีวิตที่หรรษา สดใหม่
ตอนนี้ก็ขอนำแนวทาง 4 ข้อมาให้พิจารณาศึกษาดู 1. ยอมรับชะตากรรม ชีวิตคนไม่สมหวังมีมากถึง 8-9 อย่างใน 10 อย่าง
บนเส้นทางชีวิตแต่ละคนหลีกไม่พ้นจากอุปสรรค์สิ่งกีดขวางจึงจำเป็นต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นคุณค่าของชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ถือสัจธรรมของชีวิต ถึงแม้ความไม่สมหวังจะมีอยู่แต่ก็ต้องรับมันเอาไว้ไปเผชิญหน้ามัน จึงจะสามารถสยบมันได้ จากนั้นก็ลอยพ้นมัน หลุดพ้นมันมนุษย์ถึงแม้จะไม่อาจดีพร้อมได้ หรือเป็นด้วยศักยภาพของตนหรือเป็นด้วยชีวิตแวดล้อม หรือเป็นด้วยการงานที่ฝืดเคืองแต่ละคนก็จะพบกับอุปสรรค์และกรรมกีดขวางที่ไม่เหมือนกันแต่การจัดการสุดท้ายควรจะเป็นอย่างเดียวกันคือไปยอมรับมันไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้ จะต้องไปเผชิญหน้าโดยไม่ต้องกล่าวโทษอารมณ์ที่เศร้าสร้อยให้มลายหายไป ภายหลังจึงสามารถเอาใจที่สงบไปเพิ่มพลังใจให้เหนียวแน่น ไปหาวิธีแก้ไขมันอารมณ์ที่โกรธแค้นจะรบกวนรากฐานของสภาพใจ เมื่อสภาพใจว้าวุ่นก็ยิ่งกระพือให้อารมณ์รุนแรงยิ่งมากขึ้น ทำลายความใสกระจ่างของใจ
ที่ไม่อาจชดเชยได้ ให้กล้าหาญไปแบกรับ กลับกันอาจทำให้ตนเองถูกกระตุ้นขึ้นมาชาวเซ็นกล่าวว่า “หากสามารถมองทะลุสิ่งทั้งหลายสภาวะมีกับไม่มี คือวัชระปัญญา”แล้วสามารถทำลายสภาวะผูกมัดทั้งหลายได้ จึงจะสามารถทำลายความกังวลทั้งหลายได้ ทำให้ตนเองมีชีวิตที่งามสมบูรณ์ 2. ปฏิบัติตามเหตุปัจจัย แต่ละคนดำเนินชีวิตตามเหตุปัจจัย ใจก็พัฒนาไปตามเหตุปัจจัยด้วย ตลอดจนความสำเร็จของชีวิตก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเองมนุษย์ก็ควรขยันดำเนินชีวิตแบบพุทธะ ยึดถือจิตเดิมของตนเองสำแดงปัญญาประสบการณ์ที่ตนมีอยู่แล้วให้เผยปรากฏออกมาตามความเป็นจริงไม่เปรียบเทียบ ไม่ริษยา ไม่ให้อารมณ์สับสน ไม่แสวงหาชื่อเสียงผลประโยชน์ไม่แสวงความรุ่งโรจน์ เผยศักยภาพที่ซ่อนเร้นให้ปรากฏอย่างมั่นคงทำให้ตนเองได้รับการกำหนดด้วยตนเอง นี่ก็คือการปฏิบัติตามเหตุปัจจัยภายหลังก็จะปีติยินดีต่อความสำเร็จของชีวิต 3. ยกย่องธรรมเดินโพธิสัตว์มรรค มนุษย์ควรปฏิบัติตามธรรมเพื่อดำเนินชีวิตตนเองให้ชีวิตตนเองปรากฏขึ้น แล้วอาศัยพลังศักยภาพที่ตระเตรียม ไปกำหนดแน่นอนไปดำเนินตามเป้าหมายคือโพธิสัตว์มรรค ขณะที่เรายังเป็น ๆ อยู่ให้ฝึกหัดฌานสมาธิโดยอิงวิธีที่ถูกต้อง เมื่อผ่านขั้นตอนการฝึกฌานสมาธิแล้วต้องรู้สึกใจนั้นเป็นสุข และได้หลักธรรม ที่เป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมระดับสูงของการกำหนดจิตกับความเชื่อถือ“ภายนอกพ้นจากรูปเป็นฌาน ภายในไม่สับสนเป็นสมาธิ”หากพบว่าสภาวะจิตไม่สับสนแล้วเป็นสมาธิแท้จะไม่เกิดความเห็นอะไรหรือเห็นเพี้ยนมาเป็นอุปาทานไม่ถูกความอยากในวัตถุข่มเหงปิดบัง ไม่ถูกรูปคุกคามครอบงำเช่นนี้จึงจะนับว่าได้ก้าวหน้ารู้ตื่น ต่อไปก็จะสมบูรณ์ในโพธิสัตว์มรรค 4. ไม่แสวงหาอะไรเดินพุทธมรรค ชีวิตต้องสามารถรู้จักพอไม่แสวงหาอะไรจึงจะใส จึงจะสะอาดเริ่มต้นต้องสามารถอิสระไปแสดงให้เห็นถึงความปีติยินดีต่อความสมบูรณ์กับความสว่างไสวแท้จริงของชีวิตไม่แสวงหาอะไรคือ “ความว่าง” ก็คือความสามารถปล่อยวางความมายาสูญเปล่าเผยปรากฏจิตพุทธะดังเดิมของตนออกมา จนเข้าถึงสภาวะที่มีอยู่อย่างอัศจรรย์ของความว่างแท้ สำเร็จด้วยตนเอง “ความว่างคือมีอยู่ ความมีอยู่คือความว่าง”ท่ามกลางความว่างไปพิจารณาองคาพยพตามความเป็นจริงอาศัยความว่างไม่ยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยไม่หยุดติดต่อกันไปจนกว่าจะเข้าสู่มหามรรคแห่งพุทธะ ทั้ง 4 มรรคดังกล่าวสามารถเข้าถึงทางกลมสมบูรณ์ของชีวิตเป็นทางโคจรจิตแท้ของคนให้สูงขึ้นเพื่อให้ชีวิตอันจำกัดได้สำแดงความสว่างถึงจุดสุดเป็นหนทางที่สว่างสวยงามจริงของชีวิตมนุษย์มีคุณค่าที่ชาวโลกจะหวงแหนพิจารณาตรึกตรองดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น