การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่

 

                           เป็นการไม่ทำให้พ่อแม่ช้ำใจเสียใจหรือถึงกับน้ำตาตกเพราะเรา การที่เราเป็นลูกประพฤติตนตามคำแนะนำตักเตือนของท่าน เป็นคนอ่อนน้อมไม่หัวดื้อถือรั้น มีสัมมาคาราวะ รักเคารพท่าน ทั้งต่อหล้าและลับหลัง ไม่ถือโทษโกรธเคืองหรือแสดงความไม่พอใจออกให้ท่านเห็นให้ท่านน้อยใจ โดยถือว่าท่านเป็นพระจริงๆ การพูดจาหรือการแสดงกิริยาอื่นๆออกมาด้วยความยำเกรง มีความยกย่องนับถืออยู่ในที่การประพฤติปฏิบัติตนของเราอย่างนี้ ย่อมจะนำความแช่มชื่นเบิกบานใจและความพอใจมาสู่ท่านได้ เพราะพ่อแม่นั้นพอเห็นลูกเชื่อถ้อยฟังคำของท่านนั้นก็เป็นอันหมดห่วงได้เปลาะหนึ่ง ความกังวลว่าลูกจะไม่ดีดังใจนึก ความกลัวว่าลูกจะลำบากลำบนในวันหน้าจะหมดไป เมื่อท่านหมดห่วงใยเรา ท่านก็กินได้นอนหลับ จิตใจก็พลอยสบายไปด้วย เป็นการต่ออายุท่านได้อีกด้วย จริงอยู่บางทีเราอาจจะอยู่ห่างพ่อแม่ เพราะไปมีครอบครัวอยู่ที่อื่นไปอยู่ที่ทำงานไกลๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเลี้ยงร่างกายท่าน นานๆจึงจะได้กลับมาหาท่านที นานๆจึงจะได้ส่งของมาให้ท่านครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้วิตกกังวลว่าจะไม่ได้แทนคุณท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน แต่การเลี้ยงจิตใจท่านนี่แหละก็ทดแทนได้เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ประพฤติตัวให้ดีที่นั่น อยู่ที่ไหนทำชื่อเสียงไว้ที่นั่น อยู่ที่ไหนวางตัวให้เหมาะสม ทำตัวให้เขารักให้เขานับถือในที่นั้น โดยหมั่นนึกคิดและทำตามคำแนะนำของพ่อแม่เสมอๆ เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว ที่ว่าดีในที่นี้คือ ดีสำหรับตัวเองด้วยและดีสำรับพ่อแม่ด้วย แม้พ่อแม่จะอยู่ห่างลูก แต่ความดีที่ลูกทำไว้จะขจรขจายไปถึงหูท่านเอง เพราะขึ้นชื่อว่ากลิ่นของความดีนี่สามารถฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม ดีกว่ากลิ่นอื่นๆในโลก เมื่อท่านได้ยินเข้าก็ปลื้มใจ สบายใจหายห่วงว่าลูกอยู่ดีมีสุขแล้ว พร้อมกันก็อาจจะอวยชัยให้พรเราให้เจิญยิ่งๆขึ้นไป เราอยู่ที่ไหนก็เท่ากับเราเอาพ่อแม่ติดตัวไปด้วย แม้จะเป็นเพียงคำเตือนคำสอนของท่านก็ยังดี หรืออยู่ไกลไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้ นานๆก็มาหาท่านบ้าง มาเยี่ยมเยียนถามไถ่สุขทุกข์ท่านบ้างตามโอกาส ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาดูแลรักษาท่าน หรือทำอะไรอื่นๆที่จะทำให้เกิดความสบายใจ การทำเช่นนี้เป็นการเลี้ยงจิตใจท่านทั้งนั้น และยังเป็นการสนองความหวังของท่านเพราะพ่อแม่นั้นอุตส่าห์เลี้ยงดูเรามาเพื่อยามมีกิจหวังให้เรามารับใช้ ยามเจ็บป่วยหวังให้เรามาดูแลรักษาและเมื่อถึงคราวเสียชีวิตก็หวังให้เรามาปิดตาเวลาตาย การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือการทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ท่านเกิดความเบิกบานใจ ไม่ทุกข์กังวลเดือดร้อนหรือไม่สบายใจเพราะการกระทำของเราเพราะว่าเราเป็นต้นเหตุ การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่สำคัญกว่าการเลี้ยงร่างกายนัก เพราะพ่อแม่นั้นแม้จะกินอิ่มนอนอุ่นเพียงไร หากเกิดความไม่สบายใจต้องแอบร้องไห้เพราะลูก ลูกไม่เคยเอาตาดู เอาหูใส่ ไม่เคยคำนึงถึงท่าน แทบจะลืมว่ามีท่านอยู่ในโลกนี้ด้วย หรือชอบทำตัวเหลวไหล ไม่เชื่อฟังคำเตือน ชอบก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านกระเทือนจิตใจไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเป็นเช่นนี้เลี้ยงร่างกายจะได้ประโยชน์อะไร หากใจไม่เป็นสุข แม้กินก็กินไม่ได้ นอนก็นอนไม่หลับ แล้วร่างกายจะทนไหวหรือ เลี้ยงจิตใจพ่อแม่ยากอย่างนี้แต่ก็สมควรแล้วที่เราผู้เป็นลูกพึงเลี้ยงมิใช่หรือ???  แต่ผู้ที่จะเลี้ยงพ่อแม่ได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้จักธรรมดาของคนแก่ด้วย หากไม่รู้กันเสียก่อนก็อาจเลี้ยงไม่ได้ หรือเลี้ยงได้แต่ไม่นานนัก จะเกิดความเบื่อหน่ายชิงชังขึ้นมาก่อน แล้วจะบ่นว่าคนแก่เอาใจยากและเลี้ยงยาก ตอนที่เราเป็นเด็กเราดื้อก็เท่านั้น โกงก็เท่านั้น เอาใจยากสารพัด พ่อแม่ยังอดทนตามใจเราเลี้ยงน้ำใจเราจนเติบใหญ่มาได้ ทีเราจะเลี้ยงเอาใจท่านบ้างมิได้เชียวหรือ  โบราณว่าเลี้ยงคนแก่ได้ดีต้องพก พระปิดทวาร จึงจะเลี้ยงได้ โบราณเปรียบว่าต้องทำตัวเหมือนกับพระปิดทวาร ซึ่งต้องปิดอวัยวะรับรู้อารมณ์ทั้งหลายให้หมด ปิดไว้ให้มิด ปิดตา ปิดหู และปิดปากไว้ไม่ให้เห็น ไม่ให้หูได้ยิน ไม่ให้ปากพูด คนเรานั้น บางครั้งแม้ตาจะไม่บอดแต่ต้องทำเป็นบอดเสียบ้าง หูไม่หนวกก็ต้องทำเป็นหนวกบ้าง ไม่ได้เป็นใบ้ก็ต้องทำเป็นใบ้บ้าง เพื่อปิดกั้นอารมณ์ภายนอกไม้ให้เข้ากระทบใจได้ การเลี้ยงคนแก่ต้องทำใจให้หนักแน่นและบางครั้งก็ต้องปิดหูปิดตาปิดปากอย่างนี้จึงจะเลี้ยงท่านได้ เมื่อทำได้นอกจากจะเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้ว ยังนั่งนอนสบาย ไม่รำคาญใจเมื่อได้เห็น เมื่อได้ยินท่านบ่นหรือทำไม่ถูกใจ เพราะหลงๆลืมๆด้วย โดยมาคิดว่านี่เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของคนแก่ ท่านจู้จี้นักก็ทนฟังไปสักครู่ ท่านเหนื่อย ท่านก็หยุดเอง ท่านจะมานั่งบ่นเราได้ทั้งวันทั้งคืนเสียเมื่อไร ท่านจะเอาแรงที่ไหนมา สำคัญอยู่ที่ว่า อย่าให้พระปิดทวารหลุด หล่นหายไปจะเป็นการดี เพราะถ้าหายไปจะเกิดตาเปิดหูเปิดขึ้นมาก็เป้นเรื่อง หากแต่เปิดปากขึ้นมาบ้างคราวนี้แหละ นรกถามหาแน่แท้เชียว ^-^

ไม่มีความคิดเห็น: