แล้วทั้งสามจึงออกเดินไปตามทางวกวน ขรุขระ เดี๋ยวขึ้นเนิน เดี๋ยวลาดชันลงต่ำทำให้ต้องใช้สมาธิอย่างมาก จนกระทั่งพบถ้ำซึ่งพอจะเป็นที่บำเพ็ญฌานสมาธิได้ จึงตกลงใจเข้าพักปฏิบัติธรรมแม้ภาพของงูยักษ์อันน่าสยดสยองเมื่อกลางวันยังติดตา แต่ผู้มีธรรมย่อมไม่มีนิวรณ์มากล้ำกลาย ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางจึงนั่งสมาธิเจริญฌานได้อย่างสงบคงมีแต่ย่งเหลียนเท่านั้นที่ขณะนี้จิตใจฟุ้งซ่านร้อนรนเหมือนดั่งนั่งอยู่ในเตาไฟ ครั้นลืมตาขึ้นดูก็พบว่าหินและผนังถ้ำลุกโชนด้วยเปลวไฟร้อนระอุล้อมรอบและเผาร่างของสองภิกษุณี แต่ว่าทั้งสองมิได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร ย่งเหลียนจึงรู้ว่าตนเองควบคุมจิตใจไม่มั่นคงพอเหล่ามารเลยมาผจญ เธอจึงสลัดความคิดอย่างอื่นทิ้งไป และแน่วแน่ในทางภาวนาชั่วครู่จิตก็สงบ แต่ต่อมาย่งเหลียนกลับหนาวสะท้านเหมือนแช่อยู่ในทะเลน้ำแข็ง เมื่อลืมตาก็พบว่าทั้งสามจมอยู่ในน้ำสกปรกโสโครก คลื่นซัดสาดกระทบผนังหิน ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางยังคงสงบนิ่ง เธอจึงรำพันว่า"วันนี้มารจ้องผจญเราเสียจริง"แล้วจึงมุ่งจิตภาวนาอย่างแน่วแน่อีกครั้งในที่สุดภาพหลอนนั้นก็มลายหายไป ย่งเหลียนสงบจิตใจได้พักหนึ่ง พลันมีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ! ดังสนั่น เธอตกใจลืมตาขึ้นก็พบกับเทวดาสวมเกราะทองถือฆ้องทองเป็นอาวุธจ้องมองเธออย่างโกรธเกรี้ยว ถมึงทึง เทวดาองค์นั้นเหาะเข้ามาเงื้อมือฟาดฆ้อนทองลงมากลางศีรษะเธอ ย่งเหลียนควบคุมจิตไม่อยู่ร้องขึ้นเสียงดัง"โอ้ย !" ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางรู้สึกตัวหลุดจากภวังค์ ถามย่งเหลียนว่า "เป็นอะไรไปย่งเหลียน" ย่งเหลียนจึงเล่านิมิตทั้งหมดให้ฟังทำให้ไต้ซือเมี่ยวซ่านทราบว่าศิษย์นำเหตุการณ์เมื่อกลางวันมาคิดวิตกกังวลจึงกล่าวว่า"ทั้งหมดที่เจ้าเล่ามาเป็นนิมิตชั่วขณะ บัดนี้เจ้าได้ล่วงพ้นจากมารผจญแล้ว เพราะเทวดาเกราะทองมาช่วยเตือนสติ"แล้วจึงให้ย่งเหลียนบำเพ็ญธรรมเพิ่มมากขึ้น"เมื่อตะวันพ้นขอบฟ้า คณะของไต้ซือก็ลุกขึ้นเก็บสัมภาระออกเดินทางต่อ พบผลไม้ป่าที่สัตว์ป่ากินได้จึงเก็บกินประทังความหิว จนกระทั่งเที่ยงวันทั้งสามได้พบหมีขาวตัวใหญ่เดินงุ่นง่านหาอาหารอยู่เบื้องหน้า ไต้ซือรีบบอกให้ทุกคนนอนลงกับพื้น กลั้นลมหายใจหรือหายใจให้น้อยที่สุดเสมือนเป็นคนตาย เพื่อหลบภัยจากหมียักษ์ พร้อมกันนั้นเจ้าหมีเริ่มได้กลิ่นคนจึงตามกลิ่นมาถึงที่ทั้งสามแกล้งนอนตายอยู่ มันยืนดมซ้ายขวาพิจารณาร่างของทั้งสามเป็นเวลาเกือบชั่วยาม เมื่อเข้าใจว่าเหยื่อตายแล้วก็คำรามผิดหวังอยู่ในลำคอแล้วเดินตุบตับเข้าชายป่าไป ทั้งนี้เป็นเพราะธรรมชาติของหมีจะเกลียดซากศพคนตายที่สุด เมื่อพบแล้วจะไม่กินหรือเข้าใกล้เด็ดขาดหลังจากแก้วิกฤตหมีขาวแล้วทั้งหมดจึงพากันเดินทางต่อไปอีกหกสิบลี้ พบลำธารใสสะอาด จึงนั่งพักผ่อนดื่มน้ำแก้กระหาย ระหว่างนั้นได้หยิบก้อนหินเล็กๆขึ้นมาโยนลงน้ำเล่นกัน เห็นสายน้ำกระเซ็นเป็นฟองฝอยดูเพลิดเพลิน เมี่ยวซ่านไต้ซือเทศนาธรรมไปพร้อมกันนี้ว่า "ธรรมชาติของน้ำนั้นสงบนิ่งแต่เราโยนหินลงไปให้น้ำกระจายเป็นฝอย กระเพื่อมเป็นวงแล้วก็กลับสงบนิ่งเช่นเดิม นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลง จากเคลื่อนไหวสู่ความสงบและสงบสู่เคลื่อนไหวอันเป็นสัจธรรม"ย่งเหลียนยังไม่ค่อยเข้าใจ พลันก็มีหินก้อนหนึ่งลอยมาถูกศีรษะเธอ ธรรมะคราวนั้นจึงกระจ่างแจ้ง สงบสู่เคลื่อนไหว เคลื่อนแล้วก็สงบอีก พระน้านางเองก็พยักหน้าเข้าใจ ไต้ซือยิ้มพึงพอใจศิษย์ทั้งสองคนทันใดนั้นได้มีฝูงลิงกว่าห้าสิบตัวกระโดดเข้ามาหาเหล่านักบวช ชูไม้ชูมือล้อเลียน ขว้างหินลงน้ำแล้วปาหินใส่นักบวชทั้งสาม เมื่อถูกตัวคนก็กระโดดโลดเต้น กรีดร้องอย่างชอบใจ ย่งเหลียนรู้ทันทีว่าก้อนหินที่ลอยมาโดนศีรษะเธอนั้นเป็นฝีมื
อของเจ้าลิงพวกนี้ เธอและพระน้านางจะวิ่งหนีแต่ไต้ซือห้ามไว้พลางว่า "ลิงพวกนี้กระทำเลียนแบบพวกเราที่ปาหินลงน้ำ แต่กลับนำมาปาคนแทน ถ้าพวกเราวิ่งหนีพวกมันต้องวิ่งไล่ตามอย่างแน่นอน และเราคงไม่มีทางหนีพ้นความว่องไวของพวกมัน ดังนั้น ทุกคนจงพนมมือ เดินไปตามทาง ก้าวครบสามก้าวก็ก้มลงกราบหนึ่งครั้ง พวกลิงย่อมเลียนแบบเรา และไม่ทำอันตรายใดๆ" พระน้านางและย่งเหลียนจึงทำตามที่ไต้ซือกล่าว(หมายเหตุ: การเดินสามก้าวคุกเข่าลงไหว้ครั้งหนึ่งนี้เป็นกลอุบายที่จะหลบเลี่ยงพวกลิงที่ไต้ซือเมี่ยวส้านคิดขึ้น ต่อมาภายหลังคนที่นับถือพุทธศาสนาก็ยึดเอาเป็นแนวทางที่ต้องทำ ไม่ว่จะขึ้นเขาลูกไหนก็จะเดินสามก้าวไหว้หนึ่งครั้งจนกว่าจะถึงยอดเขาตำนานเกิดจากตอนนี้เอง)เพราะความรักสนุกโดยสัญชาตญาณ อุบายครั้งนี้พวกลิงจึงหลงกลอย่างง่ายดาย ทั้งมนุษย์และฝูงลิงเดินสามก้าวก้มกราบทีหนึ่ง ขึ้นเขาอย่างไม่ย่อท้อมาหลายลี้จนถึงบนเขา ฝูงลิงก็ยังติดตามกลุ่มนักบวชไม่ลดละเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทำอันตรายผู้ใดอีก พลันก็มีลมพัดกรรโชกวูบใหญ่พาดผ่าน เงาดำทมึนของสัตว์ปีกทาบลงมาจากท้องฟ้า เมื่อมองขึ้นไปทุกคนก็ได้พบกับอินทรีย์ยักษ์ สยายปีกบินร่อนอยู่เหนือเหยื่ออันโอชะอย่างจดจ่อ ฝูงลิงรู้ได้ทันทีถึงชะตากรรมระหว่างเหยื่อกับผู้ล่าแต่ฝูงลิงก็ไม่หลบหนี แยกเขี้ยวข่มขู่นกยักษ์เสียงก้องป่า นกอินทรีย์ยักษ์หาได้เกรงกลัวไม่ กลับบินโฉบลิงได้ตัวหนึ่ง แรงจิกและพลังของกรงเล็บทำให้ลิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงชั่วขณะก็สิ้นใจตายคากรงเล็บแหลมคม จากนั้นเจ้านกยักษ์ปล่อยลิงให้ตกลงกระแทกพื้นแล้วลงมาจิกกินมันสมองของลิงโชคร้ายนั้นอย่างเมามัน ลิงป่าตัวอื่นเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมฝูงแล้วก็หวาดกลัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก กลับเข้าแนวป่าไป คณะของไต้ซือเห็นพวกลิงแล้วก็ได้แต่เวทนากลับมาเดินตามปกติ พร้อมกับสวดแผ่เมตตาให้ลิงเคราะห์ร้ายแทนยิ่งเดินทางขึ้นเขาสูงทัศนียภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป หิมะจับตัวหนาบนทางเดิน ผลไม้ก็ไม่มีกิน พืชชนิดเดียวในขณะนี้คือต้นสนที่มีหิมะ
เกาะพราว ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบเหลือทน ใบหน้าตึงร้าวคล้ายถูกใบมีดกรีดเป็นริ้ว ๆ ย่งเหลียนและพระน้านางแสนทุกข์ทรมานจากพิษความหนาว คงมีแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือเท่านั้นที่มุ่งมั่นอยู่กับการเดินทาง แม้สองเท้าจะเปลือยเปล่าท่านก็ไม่ปริปากบ่น ตกค่ำจึงพบผลไม้ที่กินได้ ย่งเหลียนเก็บมาถวายไต้ซือและพระน้านางได้ฉันจนอิ่มจึงหาถ้ำเข้าอาศัยพักแรม อากาศยามค่ำยิ่งหนาวจนปวดกระดูก ย่งเหลียนคิดจะหาฟืนมาก่อไฟไล่ความหนาว แต่ไต้ซือรีบห้ามไว้เพราะเกรงว่าความอบอุ่นจะพาสัตว์ป่าเข้ามาหาและอาจเกิดอันตรายได้ไต้ซือแสดงธรรมว่า "จงอย่าลืมว่าขณะนี้พวกเรากำลังแสวงหาธรรมอันวิเศษ จำเป็นต้องมีจิตใจซื่อตรง แน่วแน่ด้วยสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์ แม้ร่างกายต้อนทนทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย ความร้อน หรือความหนาวเหน็บ อันถือเป็นความทุกข์เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความลำบากที่เราผ่านมาแล้วไม่น้อย พึงระลึกไว้ว่าความลำบากนั้นๆจะหล่อหลอมจิตให้แข็งแกร่งรวมเป็นหนึ่งโดยไม่แตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการบรรลุธรรมอันวิเศษก็จะอยู่แค่เอื้อม และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อน" พระน้านางและย่งเหลียนฟังธรรมข้อนี้แล้วต่างรู้สึกเกิดปัญญาสว่างไสวขึ้นในใจ ความหนาวเย็นใดๆจึงไม่อาจต้านทานความมุ่งมั่นแห่งฌานสมาธิของไต้ซือและศิษย์ทั้งสองได้อีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น