"...ทางที่ถูกต้องสำหรับเท

วะในชั้นฟ้านี้คือ ปีนป่ายสู่ภูมิที่เหนือขึ้นไปอีกแม้หนทางจะอันตรายยิ่งนัก ทั้งต้องฝ่าฟันป่าแห่งความหลง บึงแห่งความโลภ ผาสูงแห่งความโกรธพยาบาท จนกว่าจะถึงแดนนิรวาณซึ่งเป็นที่สถิตแห่งพระโพธิสัตว์อันรอการจุติยังพิภพโลกเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์ ฉายแสงแห่งความรักความเมตตาบริสุทธิ์ไปทั่วพิภพจักรวาล" ทวยเทพบนสวรรค์ได้ฟังเทศนาธรรมของพระกวนอิมแล้วต่างรู้สึกเหมือนมีกระจกส่องปัญญาแผ่ซ่านไปทั่วและได้เปล่งแสงเรืองๆ ไร้จริตราคะมาครอบงำดังแต่ก่อนกลายเป็นดวงดาวพวยพุ่งสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปทุกองค์ คณะเดินทางมาปรากฎร่างในอีกดินแดนหนึ่งซึ่งสาดแสงสว่างจ้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้นทั้งหมดต่างรับรู้ทางจิตว่าภพแห่งนี้คือ พรหมโลก มีองค์ท้าวมหาพรหมและพรหมเทพรายล้อม ทุกองค์มีแสงเรืองอยู่ในตัว มีความงามอันหาเปรียบไม่ได้ในโลกเมืองมนุษย์ ทัศนียภาพโดยรอบงดงามอย่างน่าพิศวงพระเจ้าเมี่ยวจวงรำพึงว่า"เราสำนึกผิดในความโหดร้ายทารุณอันอาบด้วยโลหิตของผู้บริสุทธิ์ที่เราเคยก่อกรรมทำบาปเอาไว้แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจนัก ทำอย่างไรจึงจะได้เข้าสู่เขตแดนอันรุ่งเรืองและบริสุทธิ์นี้ได้หรือ"พระกวนอิมกล่าวว่า"เมื่อได้เสวยผลบุญในดินแดนสวรรค์ที่ผ่านมาและรู้แจ้งในความหลงอันลวงตาประกอบกิจโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จะได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ นำสรรพสัตว์ผู้รับทุกข์ไปสู่แดนแห่งนิรวาณ มั่นคงในความเที่ยงธรรมดุจเขาพระสุเมรุ มีบุญอันประกอบด้วยเมตตากรุณา ปราศจากอริใดๆ พวกท่านก็จักได้เข้าสู่อาณาจักรสูงสุดแห่งจักรวาลเช่นนี้" ทันใดนั้นทุกคนก็ได้เห็นแสงสว่างแพรวพราวนำทุกคนลอยลิ่วขึ้นสู่หอมณีเพชรัตน์สูงขึ้นไปหลายอึดใจเผยให้เห็นหมู่เมฆดอกไม้สวรรค์แผ่ไพศาลสุดสายตา เบื้องหน้าได้ปรากฏแสงสว่างเรืองรองพร้อมพระวรกายขององค์อมิตตาพุทธเจ้าประทับบนแท่นปัทมอาสน์ สูงจนเหลือคณานับ พร้อมพระโพธิสัตว์บริวารรายล้อมลดหลั่นลงไปตามผลบุญพระอมิตตาทรงเปล่งสุรเสียงแสดงธรรมกะหึ่มฟ้าว่า"เราจักแสดงธรรมเพื่อนำทางให้สรรพสัตว์ชนะมูลเหตุแห่งความพินาศทั้งปวง การกระทำและดิ้นรนในกรรมต่างๆ ฉันใด เป็นเหตุย่อมเกิดผลตามมาในสัตว์ทุกผู้ทุกนาม ทว่าพระธรรมนี้เปรียบเสมือนมณีรัตน์ซึ่งฝังอยู่กลางโลกไม่มีผู้ใดเห็นด้วยตาเนื้อจนกว่าจะเพียรแสวงหา และนำตนไปสู่โพธิญาณ หลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่แดนนิรวาณบรมสุขอันหาที่สุดมิได้"
ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็บังเกิดความรู้แจ้งพ้นจากกิเลสและความหลง ตั้งจิตเป็นสมาธิเผาราคี

ที่ติดตัวมาจากโลกมนุษย์จนหมดสิ้น ปรากฏรูปใหม่เป็นกายอันเรืองรองบรรลุแล้วซึ่งความสุขพระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ละมุนละไมตรัสว่า"นับจากนี้ให้เมี่ยวซ่านผู้ประกอบด้วยมหาการุณย์ ดับทุกข์แก่ชาวโลกให้มีฉายาว่า”พระอวโลกิเตศวร” หมายถึง ผู้ได้ยินเสียงร้องปริเวทนาแห่งสัตว์โลก เป็นเทวีศักดิ์สิทธิ์แห่งเกาะทะเลใต้ เมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนพระพี่นางของเจ้าได้ชำระด้วยไฟแห่งสมาธิเข้าสู่ทางอันสมบูรณ์ให้มีฉายาว่า พระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์งามพร้อมและพระโพธิสัตว์ผู้รุ่งเรืองปราศจากมลทินส่วนจักรพรรดิเมี่ยวจวงได้สละความหยิ่งทะนงฝ่าฟันอันตรายด้วยตบะ อดทน และสำนึกบาปที่ทำไว้ขอให้เป็นโพธิสัตว์ผู้ทรงชนะแล้ว ทำหน้าที่สำรวจหมู่ชนตามลักษณะความหาญกล้าของท่าน และพระนางเป้าเต๋อมารดาของพระกวนอิม จงได้รับแต่งตั้งเป็น พระโพธิสัตว์ทรงความดี ทำหน้าที่สำรวจสตรีที่ลือชื่อด้วยเกียรติแห่งความภักดีเช่นเดียวกับตัวท่านเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์"ทั้งหมดได้เสวยสุขในแดนนิรวาณนานชั่วกัลป์ ยกเว้นพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้ทรงการุณย์เพราะทรงไม่ยอมเข้าสู่แดนนิรวาณเช่นคนอื่นยังคงประทับอยู่ ณ เกาะศักดิ์สิทธิ์ คอยสดับเสียงร่ำร้องของสัตว์โลกแม้อยู่แสนไกลเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ทนปรากฏพระเมตตาธิคุณแผ่ไพศาล โปรยปรายความสุขสบายแก่สากลจักรวาลด้วยความรักและความเมตตา ประหนึ่งทรงโปรยสายน้ำค้างจากกิ่งหลิวในแจกันทิพย์สู่ผืนดินที่แห้งผากให้จิตใจอันหยาบช้าด้วยไฟราคะของมนุษย์ชุ่มชื้นขึ้นด้วยแสงแห่งธรรม เรืองรองสู่หนทางอันประเสริฐตราบนิรันดร์
ประวัติพระโพธิสัตว์พระพุทธบรรพจารย์ทะเลใต้ก็จบเพียงเท่านี้ เรื่องใหม่ติดตามชม ธรรมะในครัวเรือนจร้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น