เหล่าทหารกรูกันเข้ามาล้อมรอบตัวพระธิดานำพาไปยังลานประหารทันที ซึ่งพระธิดาก็มิได้มีอาการหวั่นไหวหรือสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใดเลย กลับเสด็จด้วยใจที่แน่วแน่มั่นคงและเหมือนฟ้าเบื้องบนจะรับรู้ถึงความวิปโยคอันเหตุที่จะเกิดต่อพระธิดาผู้เมตตา อากาศรอบๆกายจึงอบอ้าวและเมฆทมึนปกคลุมทั่วท้องฟ้าแสงดาวส่องแสงเป็นประกายริบหรี่ พระอาทิตย์แดงฉานดั่งลูกไฟ แต่ทว่ารอบกายของพระธิดาเมี่ยวซ่านกลับมีแสงรัศมีแห่งความสงบแผ่โดยรอบ พระธิดาดำเนินไปพร้อมด้วยจิตที่มุ่งอธิษฐานถึงพระพุทธองค์
ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าสามารถแผ่ความเมตตาไปทั่วทุกทิศในสากลโลก แปรความชังเป็นความการุณ แม้ข้าพเจ้าจักตายก็ไม่ปรารถนาความสุขสบายบนสวรรค์ แต่ขอให้ข้าพเจ้านำแสงสว่างไปสู่ผู้คนแม้ในขุมนรกด้วยเทอญเมื่อมาถึงแดนประหาร เพชฌฆาตผู้คอยจ้องจะคร่าชีวิตก็มิได้มีความปรานีต่อพระธิดาแม้แต่น้อย และทันใดนั้นเองเพชรฌฆาตก็เงื้อดาบเล่มยักษ์ฟันเข้าก

ลางลำตัวของพระธิดาทันที แต่ทว่าดาบอันคมกริบกลับไม่สามารถทำให้พระธิดาบาดเจ็บได้เลยแม้แต่น้อย เหตุเป็นเพราะอารักษ์แห่งขุนเขาได้เนรมิตเกราะทองอันแข็งแกร่งคุ้มกันรอบองค์โดยไม่มีผู้ใดได้เห็น เพชฌฆาตมีความประหลาดใจยิ่งนัก จึงคว้าหอกเข้าแทงซ้ำ ด้ามหอกก็หักสะบั้นลงและดาบปลายหอกแตกเป็นเสี่ยงๆ เพชฌฆาตตกใจมากรีบถอยกราดออกมาทันใด แม่ทัพฮูบีหลีและเหล่าทหารต่างตะลึงงัน แต่ว่าพระราชโองการนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจขัดขืนได้ ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้เพชฌฆาตใช้เชือกประหารแทนเพชฌฆาตจึงรีบนำผ้าแพรพันรอบพระศอของพระธิดาแล้วผูกโยงขึ้นไปกับกิ่งไม้ใหญ่ ชั่วครู่พระธิดาเมี่ยวซ่านก็สิ้นลมหายใจ ทันใดนั้นมีสายลมหนาวเย็นยะเยือกพัดอบอวลมาสู่แดนประหาร โลกทั้งโลกมืดมิดลงไปกับตาสายฟ้าแลบแปลบปลาบทั่วท้องฟ้า พื้นแผ่นดินไหวสะเทือนดุจดั่งอาณาจักรจะพังพินาศไปพร้อมกับการมรณกรรมของพระธิดา ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงกรีดร้องของผู้คนได้ปรากฎแสงเรืองรองดั่งเปลวไฟบนยอดเขาใกล้แดนประหารทะยานลงมาสู่ร่างพระธิดา เปลวไฟนั้นแลมองคล้ายเสือโคร่งร่างใหญ่ ได้รับเอาร่างของพระธิดาขึ้นหลังแล้วทะยานจากไปความจริงแล้วเสือโคร่งตัวนั้นเป็นร่างนิมิตของเทพารักษ์แห่งขุนเขาในบริเวณนั้นได้ แปลงกายมาเพื่อพาพระธิดาไปสู่เขา
เยี้ยม้อซานให้ห่างไกลอันตรายจากพระเจ้าเมี่ยวจวง ณ เชิงเขาแห่งนั้นได้มี
วัดจินกวงหมิงตั้งอยู่วัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีเสือโคร่งออกอาละวาดและกัดกินพระภิกษุซึ่งป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณเชิงเขา ทำให้ชาวบ้านไม่กล้ามาทำบุญพระเหล่านั้นจึงย้ายไปจำพรรษาที่อื่น และเมื่อไม่มีเหยื่อแล้วก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นเสือโคร่งตัวนั้นอีกเลย จนกระทั่งปัจจุบันเทพารักษ์ในร่างเสือโคร่งได้นำร่างของพระธิดาเมี่ยวซ่านมาไว้ภายในอาราม นำยาเม็ดอมตะใส่ปากพระธิดาเพื่อป้องกันร่างเน่าเปื่อย รอให้ดวงวิญญาณมา กลับคืนร่างเดิม แล้วเทวดาในร่างเสือโคร่งก็จากไป ครั้นในยามรุ่งสางพระธิดาจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้น แล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งนักเมื่อพบว่าตนเองยังมีชิวิตอยู่มิได้สิ้นลมหายใจไปแต่อย่างใด เมื่อเหลียวมองรอบกายก็พบว่าทรงอยู่ในอารามร้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีพระพุทธรูปของพระอมิตตาอันทรุดโทรม ซึ่งทอดพระเนตรมายังพระธิดาเมี่ยวซ่านด้วยแววตาเปี่ยมความการุณย์ พระธิดาก้มลงกราบองค์พระพุทธรูปแล้วตรัสว่า "พระอมิตตา โปรดอภัยในความผิดเพราะความไม่รู้ของพระบิดาของลูกด้วย บัดนี้ลูกไร้ที่พึ่งอื่นใดนอกจากขออาศัยในอารามแห่งนี้เพื่อปฏิบัติพุทธกิจอย่างเต็มที่ ขอทรงอนุญาตด้วยเทอญ" พระธิดาก้มกราบกระทำคารวะสูงสุด พร้อมกันนั้นได้มีสายลมเย็นซาบซ่าพัดแผ่วพลิ้วผ่านองค์ของพระธิดาเสมือนเบื้องบนได้รับรู้แล้วกระนั้นจากวันนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านได้ทำความสะอาดวัดจินกวงหมิงด้วยสองพระหัตถ์อย่างไม่ย่อท้อ ทำให้อารามและบริเวณรอบๆวัดสะอาดเอี่ยม แม้บางส่วนจะผุพังจนยากจะซ่อมแซม เวลาที่เหลือพระองค์ก็ใช้ในการปฏิบัติธรรมท่องพระสูตรเรื่อยมา บรรดาชาวบ้านแถวนั้นเมื่อได้ยินเสียงท่องพุทธมนต์ ต่างพากันแปลกใจเพราะวัดนี้ไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลย จึงคิดว่าอาจเป็นเสียงของพระธุดงค์ที่ผ่านมาแล้วแวะจำวัด แต่นานวันเข้าเสียงท่องพระสูตรนั้นก็มิได้หายไปเลย ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันเพื่อมาเตือนพระธุดงค์ให้ย้ายวัดไปเสียเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากเสือร้ายแต่ทว่าเมื่อขึ้นเขามาถึงอารามกลับพบว่ามีสตรีโฉมงามวิลาศดั่งนางสวรรค์ท่องพระสูตรอยู่ตามลำพัง ชาวบ้านต่างแปลกใจยิ่งนัก ชายคนหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นใครมาจากที่แห่งใดและเหตุใดจึงมาอยู่ในวัดกลางเขาแห่งนี้ได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าวัดนี้เคยเป็นวัดร้าง เพราะพระที่เคยอยู่ต่างเกรงกลัวภัยจากเสือโคร่งกันทั้งนั้น" พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ฟังจึงตอบว่า "เราชื่อเมี่ยวซ่านมาจากเมืองหลวงแห่งอาณาจักรซิงหลิงแต่มีเหตุให้มาอยู่ในอารามแห่งนี้ คงเป็นเพราะเคยเกี่ยวพันต่อกันแต่ปางก่อน ส่วนเรื่องเสือนั้นเรามิได้กลัวเลยเพราะเสือย่อมไม่ทำร้ายผู้มีสติ รักษาศีลแน่วแน่ต่อพระพุทธเป็นสรณะแน่นอน"เหล่าชาวบ้านต่างอธิบายว่าเสือนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่เข้าใจเรื่องศาสนาเคยกินพระสงฆ์ที่วัดนี้ไปหลายรูปแล้วและเหตุอันใดจึงว่าเสือมิอาจกินผู้ทรงศีลได้ พระธิดาทรงอธิบายว่า "ผู้ที่กินมังสวิรัติเป็นประจำ ท่องสาธยายพระสูตรทุกวันนับว่าเป็นคนมีศีลปฏิบัติธรรมก็จริงอยู่แต่ถ้ามิได้กระทำด้วยความสุจริต ไม่ซื่อตรงต่อศีลธรรม ย่อมไม่ใช่พระที่บริบูรณ์ นัยน์ตาเสือจึงเห็นคนเหล่านั้นเป็นเพียงเหยื่อซึ่งมันต้องตะปบฉีกกินเป็นอาหารตามเวรกรรมที่มีต่อกันมาในชาติปางก่อน ในทางตรงกันข้ามหากผู้นับถือพระพุทธองค์เป็นสรณะแล้ว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เสือย่อมเห็นว่า
คนเป็นคน มิกล้ากัดกินอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องเสือร้ายนี้ย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อเราในการปฏิบัติธรรม พวกท่านจงอย่าได้กังวลไปเลย" ทุกคนฟังคำกล่าวของพระธิดาแล้วต่างเข้าใจแจ่มแจ้งจึงบังเกิดจิตศรัทธาต่อพระธิดาเมี่ยวซ่านโดยทั่วกันข่าวการถือศีลปฏิบัติธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่านได้แพร่สะพัดไปทั่วสารทิศ ผู้คนต่างช่วยกันวางแผนบูรณะซ่อมแซมวัดจินกวงหมิงให้เป็นที่ประทับปฏิบัติธรรมอย่างสมบูรณ์ บรรดานายช่างผู้มีฝีมือพากันเดินทางมาโดยไม่เห็นแก่เงินค่าจ้าง เพราะพวกเขามีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำเพื่อพระธิดาผู้เมตตา ยิ่งคนเฒ่าคนแก่นำเรื่องพระสุบินของพระมเหสีเป้าเต๋อก่อนทรงครรภ์พระธิดา เรื่องของนักพรตเฒ่าผู้เทศน์พระธรรมไม่กี่บทก็ทำให้พระธิดาหยุดกรรแสงได้ และเรื่องโล้วนาปู้เจี้ยนชายลึกลับที่หายตัวไปจากห้องคุมขังและทิ้งโศลกสี่บรรทัดไว้ ต่างร้อยเข้าเป็นเรื่องราวความอัศจรรย์ของพระธิดาผู้มากด้วยบุญบารมี ทั้งช่างไม้ ช่างปูน และเศรษฐีต่างช่วยกันลงทุนลงแรงม

าช่วยกันบูรณะวัดจินกวงหมิงเป็นการใหญ่และแล้วข่าวครึกโครมเรื่องการบูรณะวัดจินกวงหมิงให้แก่พระธิดาเมี่ยวซ่านก็เข้าถึงพระกรรณพระเจ้าเมี่ยวจวงในวันหนึ่ง สร้างความแปลกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพราะทรงคิดว่าพระธิดาสามสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมื่อคราวถูกเสือคาบเข้าป่าไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่วัดร้างจินกวงหมิงอันห่างไกล เหตุครั้งนี้ทำให้ทรงคิดไม่ตกอยู่ในพระทัยว่าจะทำประการใดต่อไปดี "ทุกหนทางแห่งความทรมานเราก็ได้ทำกับเจ้าสามจนสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจในการเป็นนักบวชผู้ทรงศีลของเจ้าสามได้เลย" ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเอวี๋ยนได้เสด็จมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พร้อมกับกล่าวว่า "ลูกทั้งสองมาขอร้องให้เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้น้องสามได้ออกบวชด้วยเถิดเพคะ"พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงตกพระทัยยิ่งนัก จึงตรัสว่า "พวกเจ้าพูดอะไรออกมา เสียสติไปแล้วหรือ" พระธิดาเมี่ยวอิมจึงว่า "โปรดฟังลูกก่อนเสด็จพ่อ แต่เดิมลูกทั้งสองก็ไม่เห็นชอบด้วยกับการกระทำของน้องสาม ทว่าเมื่อเห็นน้องทนทรมานจากการเป็นคนสวน คนรับใช้ หรือแม้แต่ได้รับภัยจากเพลิงกาฬก็มิได้ทำให้ความตั้งใจของน้องสามแปรเปลี่ยน ดังนั้นหากท่านพ่อยอมให้เธอปลงผมออกบวชสู่พุทธจักร น้องสามย่อมบรรลุหนทางที่ปรารถนา เช่นนี้แล้วเสด็จพ่อเองและเสด็จแม่บนสวรรค์ย่อมได้รับผลบุญอย่างแรงกล้านะเพคะ" พระธิดาเมี่ยวเวี๋ยนก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงคล้อยตามและหวังผลกุศลจะไปถึงพระนางเป้าเต๋อผู้ล่วงลับ "ตกลงพ่อจะจัดการให้เมี่ยวซ่านได้บวชสมใจ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น