ตอนที่ ๑๘ การเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา & พระเจ้าเมี่ยวจวงประชวรและแผนชั่วของสองราชบุตรเขย

 

ฝูงชนและภิกษุณีในวัดก้มลงกราบรูปธรรมของไต้ซืออย่างเลื่อมใสศรัทธาและกายละเอียดของไต้ซือก็ลอยขึ้นหายลับไปในหมู่เมฆขาวส่วนสังขารเดิมของไต้ซือนั้นเย็นดุจน้ำแข็งภิกษุณีจึงสวดสังวัธยายพุทธมนต์อย่างพร้อมเพรียงกันย่งเหลียนและพระน้านางเตรียมเข้าวังกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวง พอดีกับมีม้าเร็วได้ถือพระราชโองการมาว่า พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบการปลงสังขารของไต้ซือเมี่ยวซ่านแล้ว เพราะไต้ซือได้เสด็จไปอำลาพระบิดาถึงในตำหนักเมื่อครู่ที่ผ่านมาพระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรวิวธรรมชาติงมีพระราชโองการว่าให้ลงรักปิดทองสังขารกายเนื้อของไต้ซือและจุดกำยานอบตลอดเวลา เก็บรักษาไว้ในห้องวิปัสสนาและเปลี่ยนชื่อจากห้องหลิงหลงเป็นห้องกวนอิมเมตตา วัดจินกวงหมิงจึงมีงานใหญ่อีกครั้งคือการบูรณะวัด จัดการตกแต่งห้องวิปัสสนาตามพระราชโองการของพระเจ้าเมี่ยงจวง มีโคมประทีปแขวนประดับประดางดงาม ส่วนร่างเดิมของไต้ซือได้ให้ช่างลงรักชนิดพิเศษฉาบทาพระศพปิดทองทั่วองค์ มีการจุดธูปกำยานหอมอบอวลอยู่ตลอดเวลา และแล้วในที่สุดป้ายชื่อห้องกวนอิมเมตตา ก็ได้รับการติดตั้งสมบูรณ์ฝ่ายไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้น เมื่ออำลาพระบิดาแล้วก็เหาะลอยไปยังทะเลใต้สู่เขาโปตละโลกา ไม่นานจึงถึงจุดหมาย เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งเขาพระสุเมรุ มีพันธุ์ไม้แปลกไปจากโลกมนุษย์ปกคลุมทั่วสารทิศ สัตว์ต่างๆมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่ซึ่งพระองค์จากมา ถัดไปคือป่าไผ่สีม่วงสูงชะลูดเทียมเมฆ กลางดงไผ่นั้นมีวังดอกบัวขาวตระการตาส่องแสงฉัพพรรณรังสีทั่วทิศทาง กลางบึงมีดอกบัวชมพูบานดั่งบัลลังก์รอคอยการมาเยือนของพระองค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือลอยเหนือบัลลังก์บัวลงประทับเป็นครั้งแรก ๙ ปีต่อมาคืนหนึ่งหลังจากทรงบำเพ็ญภาวนาติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวันพระองค์ก็สัมผัสได้ถึงหนทางสีขาวบริสุทธิ์สุขสงบ ครั้นแล้วดวงจิตก็สามารถเพ่งมองทะลุไปทุกแดนทั่วพิภพ นับเป็นหนทางสู่นิพพานอันเป็นสุข แต่ทว่าพระองค์ทรงสดับเสียงคร่ำครวญปริเวทนาการของสัตว์โลกที่รับความทุกข์ทรมานอยู่ในทุกๆ แห่งจึงทรงตั้งปณิธานมุ่งมั่นว่า”เราจะไม่เข้าสู่ภูมิอันสันติโดยลำพังเป็นอันขาดเราจะอยู่เพื่อช่วยสรรพสัตว์ในโลกให้พ้นทุกข์ภัยแม้จะใช้เวลานานนับโกฏิล้านปี”ดังสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของพระองค์ดอกไม้แห่งสวรรค์พลันโปรยปราย เสียงทิพยดนตรี พิณสังคีตบรรเลงขับขาน แสงทองสาดส่องร่วมเป็นสักขีพยาน บรรดาพระอรหันต์ ได้ยินสังคีตดนตรีต่างเปล่าวาจาว่า”ดีจริงเมี่ยวซ่านได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแล้ว “ จารึกไว้ในวันที่ ๑๙ เดือน ๖ ตามตำนานในพระสูตรในการนี้ได้มีการเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา ซึ่งย่งเหลียนผู้ติดตามมาถึงแดนทะเลใต้ได้รับเลือกเป็นคนแรก ต่อมาภิกษุหนุ่มนาม ซ่านไฉ่ หรือเจ้าเด็กผีจอมซน เซิ่นอิง เมื่อ ๙ ปีก่อนได้อาสารับใช้พระโพธิสัตว์โดยกราบทูลว่า "เดิมทีข้าพระองค์มัวเมาในความสนุกสนานอย่างมืดบอด ครั้นเมื่อหันมาศึกษาพระธรรมอย่างมุ่งมั่นและออกติดตามหาพระองค์จนมาถึงดินแดนแห่งนี้ก็เพราะควัดเมืองจีนวามภักดีเป็นที่ตั้ง ครานี้ข้าพระองค์จึงขอภักดีรับใช้พระองค์ตลอดไป" พระกวนอิมต้องการพิสูจน์ความมั่นคงของซ่านไฉ่จึงสั่งให้ไปรอที่ยอดเขารอคำพิจารณา ซ่านไฉ่ขึ้นเขาไปรอตามรับสั่ง แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อท้องทะเลเบื้องหน้ามีกองเรือโจรสลัดมหาศาลจอดอยู่ริมฝั่งและกำลังยกทัพขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้ขุนโจรคนหนึ่งกระชากร่างพระกวนอิมออกมาจากป่าไผ่สีม่วงได้ พระองค์รีบสลัดแขนจนหลุดแล้วปีนขึ้นมายังหน้าผา โจรสลัดตามขึ้นมาเป็นพรวน พระกวนอิมถูกอาวุธบาดเจ็บพลัดตกลงเหวไป ซ่านไฉ่คว้าร่างของพระองค์ไม่ได้ จึงตัดสินใจกระโดดลงไปหมายจะขอตายตาม และแล้วซ่านไฉ่ก็ฟื้นขึ้น เบื้องหน้าไม่มีโจรสลัด ไม่มีความตาย คงมีแต่แววตาเปี่ยมกรุณาของพระโพธิสัตว์กวนอิมทอดมายังเขา แล้วกล่าวว่า "นี่คือข้อพิสูจน์ความภักดีของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ร่างเก่าของเจ้าเป็นธุลีอยู่ในเหวนั้นแล้ว ขณะนี้เจ้ามีร่างอันเกิดใหม่อันเป็นอากาศธาตุ สามารถจำแลงกายล่องลอยในอากาศไปถึงแดนแห่งพรหมโลกได้ เป็นการตอบแทนที่เจ้าพลีชีพบูชาอย่างภักดี" จากนั้นเป็นต้นมาย่งเหลียนและซ่านไฉ่จึงเป็นสาวกเบื้องซ้ายขวาคอยรับใช้พระโพธิสัตว์กวนอิมเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง พระกวนอิมทรงทอดพระเนตรไปยังอาณาจักรซิงหลิง ก็พบว่าบัดนี้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งร้าย ทั่วพระวรกายเต็มไปด้วยแผลพุพอง น่ากลัว ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ทรงทำไว้ พระกวนอิมทรงทราบดีว่าหากพระบิดาสิ้นพระชนม์ไปในยามนี้ ย่อมต้องตกนรกภูมิสู่ขุมสุดท้ายหนทางเดียวที่จะช่วยเหลือได้คือใช้แขนและดวงตาแห่งพระโพธิสัตว์ทำเป็นยารักษา ดำริแล้วก็ทรงมอบหมายให้ภิกษุซ่านไฉ่ไปยังอาณาจักรซิงหลิงและบอกวิธีรักษาแก่พระเจ้าเมี่ยงจวง เมื่อหายแล้วจงเกลี้ยกล่อมให้สละราชสมบัติ เดินทางมาที่เกาะโปตละโลกาแห่งนี้ภิกษุซ่านไฉ่หายตัวมาปรากฏกายขึ้นที่อาณาจักรซิงหลิง ซึ่งขณะนั้นกำลังมีทหารประกาศป่าวร้องว่า"ขณะนี้พระมหาจักรพรรดิทรงประชวรจากโรคประหลาด ถ้าใครสามารถรักษาพระองค์จนหายจะได้รับพระราชบัลลังก์เป็นการตอบแทน" ซ่านไฉ่เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงออกมาหน้าฝูงชนรับอาสารักษาอาการของพระเจ้าเมี่ยงจวงทันที เมื่อภิกษุซ่วิวสวยๆจากธรรมชาติานไฉ่มาถึงห้องบรรทมก็พบว่ามีหมอหลวงหลายคนยืนล้อมรอบเตียงอยู่พระธิดาสองพระองค์ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆอย่างเกรงกลัวโรคร้ายที่มุมห้องโฮเฟงและเจาไควราชบุตรเขยยืนกระซิบกระซาบส่งสายตาดูถูกมายังภิกษุซ่านไฉ่ พระเจ้าเมี่ยงจวงนั้นนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพระที่ ทรงมีแผลหนองทั่วพระวรกายครั้นทอดพระเนตรเห็นภิกษุแปลกหน้าจึงตรัสด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า"ท่านนักบวชท่านมารักษาเราหรือมาเพื่อเยาะเย้ยเราผู้เคยเกลียดชังศาสนาของท่าน" ซ่านไฉ่ทูลว่า"ความโกรธหรือพยาบาทจะถูกแทนที่ด้วยความเมตตาเสมอมหาบพิตรอาตมาเดินทางมาเพื่อบอกว่าอาตมารู้วิธีลับในการรักษาอาการป่วยของพระองค์" พระเจ้าเมี่ยงจวงผุดลุกขึ้นนั่งอย่างมีหวังขึ้นมาทันที ทุกคนในห้องเงียบกริบรอฟังคำของภิกษุหนุ่มอย่างจดจ่อ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า"ท่านจงว่ามาโดยเร็วเถิด"ซ่านไฉ่เอ่ยขึ้นว่า "การรักษานั้นไม่ยากอะไรเพียงแต่ตัวยานั้นยากที่จะเสาะหาได้ เพราะต้องใช้น้ำมันที่ทำด้วยแขนและดวงตาของผู้ปราศจากความโกรธเท่านั้น"พระเจ้าเมี่ยงจวงไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ในโลกจนกระทั่งซ่านไฉ่ทูลว่า"ท่านผิดแล้ว มหาบพิตร ไกลออกไปทางทะเลใต้มีเกาะชื่อโปตละโลกา เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งยอมสละอวัยวะอินทรีย์ให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่ต้องการ"พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังดังนั้นก็รีบสั่งการให้แม่ทัพเจาเจนและองครักษ์หลีฉินเดินทางไปยังเกาะโปตละโลกาทันที จากนั้นจึงรีบสั่งให้จัดการรับรองซ่านไฉ่ภิกษุอย่างดีภายในพระราชฐานชั้นในโฮเฟงและเจาไควกระซิบกระซาบอย่างมีเลศนัย แล้วพากันเดินออกมาจากห้องพระบรรทมทั้งสองมาปรึกษากันภายในเทวสถานเทพแห่งสงครามอันลับตาคนโฮเฟงกล่าวว่า"น้องรองหากเป็นดังที่ภิกษุว่ามีผู้ยอมสละแขนและดวงตาให้แก่ผู้อื่นจริงๆ แล้วแผนการของเรามิล้มเหลวหมดหรือ" เจาไควจึงว่า"เรื่องพระโพธิสัตว์อะไรนั่นอาจเป็นพระธิดาสามเมี่ยวซ่านก็เป็นได้และถ้าเป็นนางจริงนางก็ต้องยอมสละอินทรีย์เพื่อรักษาพ่อตัวเองอยู่แล้วดังนั้น หากเรารอให้เสด็จพ่อตายตามธรรมชาติก็ป่วยการเปล่าเราควรกำจัดเสี้ยนหนามเสียตั้งแต่ตอนนี้ทั้งเสด็จพ่อทั้งภิกษุบ้าๆ นั่น"แผนการของสองราชบุตรเขยมีอยู่ว่าจะให้โฮ่หลีคนสนิทของเจาไควนำยาผสมพิษร้ายขึ้นไปถวายโดยบอกว่าเป็นยาที่ภิกษุซ่านไฉ่ผสมให้มาเสวย ระหว่างนี้คนสนิทของโฮเฟงชื่อซูต้า จะลอบเข้าไปฆ่าซ่านไฉ่หากแผ่นนี้ลุล่วงด้วยดี โฮเฟงและเจาไควจะได้เป็นจักรพรรดิ์และผู้กุมอำนาจทางการทหาร แล้วโฮหลีและซูต้าจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นการตอบแทน คนชั่วทั้งสี่ปฏิญาณตนร่วมกันต่อหน้าเทพแห่งสงครามในเทวสถานแห่งนั้นเอง โดยทั้งสี่หารู้ไม่ว่าอุบายของพวกตนได้ถูกเทพอารักษ์ล่วงรู้จนหมดสิ้นครั้นตกค่ำโฮ่หลีนำถ้วยยามาถวายพระเจ้าเมี่ยวจวง โดยบอกว่าภิกษุซ่านไฉ่ให้นำมาถวาย เทพอารักษ์หน้าตาดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นคว้าถ้วยยานั้นขว้างแตกกระจาย ยาพิษกัดกร่อนพื้นจนควันขึ้น เทพอารักษ์บอกหตุร้ายแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วหายตัวไป พระองค์รับสั่งให้ทหารจับกุมตัวโฮ่หลีไว้ขณะเดียวกันซูต้าซึ่งแอบเข้าไปในห้องพักของซ่านไฉ่ เห็นเงาตะคุ่มนั่งอยู่บนเตียงก็คิดว่าเป็นซ่านไฉ่ จึงจ้วงแทงไม่ยั้ง แต่ปรากฏว่าเงานั้นเป็นเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ และผ้านั้นได้พุ่งเข้ามัดตัวซูต้าไว้แน่นจนขยับไม่ได้ ซูต้าร้องลั่นด้วยความกลัวตาย "ว๊าก ! พระผี กลัวแล้ว ! ใครก็ได้ช่วยด้วย" ทหารยามพุ่งเข้ามาจับตัวซูต้าพร้อมอาวุธได้ทันท่วงทีเช้าวันรุ่งขึ้น โฮเฟงและเจาไคพระแม่กวนอิม วได้ถูกจับกุมตัวถึงตำหนักแต่เช้าตรู่ ทั้งสองได้ถูกมัดมือไขว้หลังลากมาคุกเข่าหน้าพระพักตร์ ภายในห้องบรรทมมีเหล่าขุนนางเข้าเฝ้ารายล้อมอยู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสขึ้นว่า "ท่านทั้งหลายคงคิดว่าในบรรดาจักรพรรดิทั้งหลาย เราคือผู้โชคร้ายที่สุดใช่ไหม ทั้งเรื่องเทพเจ้าชังเราจึงประทานโรคร้ายมาให้ ห้องบรรทมของเราก็มีผู้นำยามรณะมาให้ดื่ม แม้แต่ภิกษุผู้นำวิธีรักษามาบอกเราก็ถูกปองร้ายไปด้วย"เจาไควรีบทูลว่า"ข้าแต่พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว พวกหม่อมฉันเป็นถึงราชบุตรเขยมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วเหตุใดจึงต้องปองร้ายพระองค์ด้วยนี่ต้องเป็นความคิดต่ำทรามของภิกษุบ้านั่นแน่ๆ"ขาดคำทหารก็นำตัวซูต้าและโฮ่หลีเข้ามาพร้อมเสียงวิงวอนว่า"ทรงพระกรุณาด้วย ไว้ชีวิตพวกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะสารภาพทุกเรื่อง" โฮเฟงและเจาไควเห็นพยานทั้งสองปากโป้งก็หน้าซีดเหงื่อแตกเพราะเห็นลางมรณะมาใกล้แค่เอื้อมพระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า"ท่านทั้งหลายจงดูไว้ ข้ายกพวกมันไว้ในตำแหน่งสูงสุด แต่พวกมันกลับคิดคดทรยศข้าได้ ทหาร ! จับไอ้ผู้บงการใหญ่ไปประหารชีวิตเสียทั้งคู่ ส่วนลูกน้องมันให้จองจำไว้ในคุกมืดลูกสาวของข้าเอาแต่รักสนุกไปวันๆ ไม่รู้ว่าเห็นชอบกับแผนชั่วของสามีหรือเปล่าสั่งการลงไปให้ถอดยศจากเจ้าหญิงเป็นสามัญชน แล้วขังไว้ในตึกเย็นไม่ต้องให้เสพสุขเช่นเดิมอีก"รับสั่งจบก็ทรุดองค์ลงกุมพระอุระอย่างรวดร้าวได้แต่ทรงรำพึงว่า"เมี่ยวซ่านลูกรักไม่มีใครทุกข์ใจยิ่งกว่าพ่ออีกแล้วในตอนนี้ กรรมสนองให้พ่อทนทุกข์ดั่งอยู่ในกองไฟเป็นเพราะสงครามนองเลือดที่พ่อก่อไว้ใช่หรือไม่ อีกไม่นานพ่อคงได้รับทุกข์ในนรกจริงๆ" ทุกคนในที่นั้นมององค์จักรพรรดิด้วยแววตาโศกสลดอย่างที่สุดขณะนั้นเองเจาเจนและหลีฉินได้เดินทางกลับมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์พอดี สิ่งที่ทั้งสองนำมาด้วยนั้นคือ ดวงตามนุษย์และมืออีกคู่หนึ่ง ทำให้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีความหวังว่าจะหายจากโรคร้ายรีบรับสั่งให้ซ่านไฉ่ปรุงยารักษาพระองค์ทันที

ไม่มีความคิดเห็น: