ทุกๆวันเหล่าพระภิกษุณีจะทำวัตรปฏิบัติธรรมท่องสาธยายพระสูตร เมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในตอนใดก็จะให้เมี่ยวซ่านไต้ซือชี้แนะทุกครั้ง เมื่อยามว่างจากกิจต่างๆเมี่ยวซ่านไต้ซือจะคอยนำสนทนาเรื่องพระธรรมให้กระจ่าง ความเย็นใจและไพเราะจากพระธรรมไต้ซือเมี่ยวซ่านไม่ได้โน้มน้าวเฉพาะคนในวัดเท่านั้นแต่มีชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดต่างเข้ามาฟังธรรมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นจนกระทั่ง ๓๖๙ วันผ่านไป ผู้คนที่หลั่งไหลมาฟังธรรมได้เพิ่มพูนจิตศรัทธาและมุ่งหวังแสงสว่างแห่งธรรมจากเมี่ยวซ่านไต้ซือ ที่กรุณาชี้แนะหนทางอันประเสริฐอานิสงส์แห่งการกินเจ ความไม่เอารัดเอาเปรียบทางการค้าและยังทรงจัดเตรียมข้าวต้มและอาหารเจไว้สำหรับคนยากจนที่เดินทางมาไกลเพื่อฟังธรรมด้วยความตั้งใจจริง กิตติศัพท์ความเมตตาและบารมีธรรมตั้งแต่การประสูติของไต้ซือเมี่ยวซ่าน ส่งผลให้ประชาชนทั้งยากดีมีจนต่างเดินทางมาเยือนวัดจินกวงหมิงกันอย่างคึกคัก เชิงเขาเยี้ยม้อซานจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและชื่นบานกับความเจริญที่แผ่มาถึงครั้นพอถึงฤดูหนาวอันทารุณ ลมจากทิศเหนือพัดพาความหนาวเหน็บจนปวดกระดูก ซึ่งเป็นที่น่าเวทนาสำหรับคนยากจนไร้เสื้อผ้าหนา ๆ มาป้องกันความหนาวเย็น ไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้นรับรู้ความทุกข์ทรมานข้อนี้ดี ทรงห่วงใย และสงสารชาวบ้านผู้ยากไร้เหล่านี้ จึงให้คนไปซื้อผ้าสำลีจำนวนมากและมาตัดแบ่งเป็นหลายขนาด แจกจ่ายให้ภิกษุณีรูปอื่นๆ ช่วยกันตัดเย็บ ทุกคนร่วมมือกันอย่างขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่กี่วันต่อมาก็ได้เสื้อหนาวผ้าสำลีจำนวนมากไว้แจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ เมื่อถึงคราวบรรยายธรรมไต้ซือเมี่ยวซ่านได้จัดหม้อข้าวต้มขนาดใหญ่ไว้แจกแก่ผู้เดินทางมาด้วยความหิวโหย แม้ข้าวต้มเปล่าๆ ไร้กับข้าวเคียงก็ยังอิ่มหนำนอกจากนี้ยังได้รับเสื้อผ้าสำลีอันอบอุ่นโดยถ้วนหน้ากันในที่สุดคนทั้งอาณาจักรต่างมุ่งหน้ามายังเยี้ยม้อซานเพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ไต้ซือเมี่ยวซ่านกันเป็นจำนวนมาก ไต้ซือเมี่ยวซ่านเองก็มิได้ปฏิเสธ จัดหาที่พักให้ทุกคน จนห้องว่างในบริเวณวัดมีผู้อาศัยอยู่เต็มไปหมด แต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาฝากตัวอยู่เสมอ ไต้ซือเมี่ยวซ่านคิดว่า"พื้นที่รอบวัดยังมีอยู่มหาศาล เราน่าจะมอบสิ่งที่พวกเขาจะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยไม่ห่างไกลพระธรรม" แล้วจึงทรงมอบไม้ไผ่ หญ้าคา และเงินทุนเล็กน้อยให้แก่ชาวบ้านเหล่านั้นเพื่อนำไปปลูกกระท่อมพักอาศัยในบริเวณเชิงเขา หาเลี้ยงชีพตามวิถีธรรม ไม่นานนักเชิงเขาเยี้ยม้อซานก็ได้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่สงบสุข ท่ามกลางความสุขใจของเมี่ยวซ่านไต้ซือ คืนวันเคลื่อนคล้อยไปย่างเข้าสู่ปีที่ ๓ ในอารามจินกวงหมิงยังคงสงบสุขด้วยบารมีธรรมของเมี่ยวซ่านไต้ซือ วันหนึ่งขณะที่ไต้ซือเมี่ยวซ่านนั่งสมาธิบำเพ็ญฌานเฉกเช่นทุกวัน ทันใดนั้น สองเสียงของชายซึ่งไม่คุ้นเคยก็ได้แทรกเข้ามาในจิตว่า จิตอันเป็นเอกได้ผลิดอกบัวแห่งการตรัสรู้แล้วหรือยัง อีกเสียงตอบว่า ผลิออกมาแล้ว ขาดก็แต่พระโพธิสัตว์ เมี่ยวซ่านไต้ซือคิดว่าเหล่ามารมาลองดีจึงสำรวมจิตให้สงบนิ่ง พลันได้เห็นจิตของตนแปรเป็นดอกบัวบริสุทธิ์มีพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ เมื่อเพ่งมองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปีติสุข เพราะพระโพธิสัตว์นั้นคือ ตัวพระองค์เอง !!ความดีใจทำให้จิตไม่สงบนิ่งพอ ภาพนิมิตนั้นจึงมลายหายไป ไต้ซือเมี่ยวซ่านลืมตาขึ้นความปีติแผ่ซ่าน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เห็นตามนิมิตนั้นจะบังเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านานวันต่อมา เมี่ยวซ่านไต้ซือได้กล่าวแก่สานุศิษย์ทั้งหลายว่า"หลายปีก่อน เราได้พบพระพุทธเจ้าในนิมิต พระองค์ตรัสว่า หากเราต้องการบรรลุมรรคผลจำเป็นต้องตามหาบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซาน และเมื่อคืนวาน เราก็บังเกิดนิมิตถึงบัวหิมะอีกครั้ง จึงคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางเพื่อแสวงหาบัวนั้นดังพุทธฎีกา พวกท่านที่อยู่ทางนี้จงตั้งใจปฏิบัติธรรมและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" จากนั้นเมี่ยวซ่านไต้ซือได้แต่งตั้งภิกษุณีอาวุโสเป็นผู้รักษาการแทน ส่วนพระน้านางและย่งเหลียนได้ขอติดตามเมี่ยวซ่านไต้ซือไปด้วยจนกว่าจะสัมฤทธิผลตามประสงค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือก็มิได้ขัดข้องแต่ประการใด ก่อนออกเดินทางทั้งสามได้จัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็นใส่ในถุงผ้า ประกอบด้วยเสื้อผ้า ข้าวเปลือกตากแห้ง รองเท้าฟางหลายคู่ ซึ่งมาจากฝีมือของไต้ซือเมื่อยามถูกลดศักดิ์ให้เป็นคนครัว รวมทั้งบาตรทองสัญลักษณ์ในการประกาศว่าบัดนี้จะทรงออกจาริกแสวงบุญนอกอารามแล้ว ครั้นวันรุ่งขึ้น ภิกษุณีทั้งสามต่างสวดขอพรในพระอุโบสถ แล้วจึงออกเดินทางท่ามกลางภิกษุณีและสานุศิษย์ที่ตามมาส่งอยู่เบื้องหลังด้วยความหวั
งว่า ไต้ซือเมี่ยวซ่านผู้เมตตาจะทรงกลับมาพร้อมความสำเร็จและหวนคืนสู่เขาเยี้ยม้อซานโดยเร็ว คณะของเมี่ยวซ่านไต้ซือเดินทางมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก จนกระทั่งวันที่ ๗ ก็พบอุปสรรคเป็นเขาสูงตระหง่านขวางกั้นทางอยู่ ทั้งสามจึงเลี่ยงไปใช้ทางเส้นเล็ก ๆ แทนโดยลืมคำนึไปว่าเขาซีมี่ซานนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ภิกษุณีทั้งสามกลับเดินทางลงใต้ไปเสียแล้ว !!เส้นทางต่อจากนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งหน้าผาสูงชัน ทางลาดดิ่งลงก้นเหว ยิ่งเดินก็ยิ่งต้องใช้พละกำลังมากเป็นพิเศษ ตกค่ำทั้งสามจึงเข้าพักใต้ชะง่อนหินเพื่อกำบังน้ำค้างและความหนาวเหน็บ เป็นเช่นนี้ทุกวันทุกคืน และก้าวพ้นจากเขตแดนแห่งหุบเขาเมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ ๕๗ ของการเดินทางโชคชะตายังพอเข้าข้างคณะของไต้ซืออยู่บ้างเมื่อได้พบกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีผู้คนต้อนรับขับสู้เหล่านักบวชเป็นอย่างดี ทั้งผู้เฒ่าหรือคนหนุ่มสาวต่างนำอาหารเจมาถวายจนอิ่มหนำ เมื่อไต้ซือถามถึงหนทางไปยังเขาซีมี่ซาน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจึงกล่าวด้วยความตกใจว่า"พวกท่านได้เดินมาผิดทางเสียแล้ว หมู่บ้านของเราอยู่ห่างจากเขาซีมี่ซานลงมาทางตอนใต้ถึงสามร้อยลี้ ต่อให้เดินมากแค่ไหนก็ไม่มีวันถึงจุดหมายได้เลย"ย่งเหลียวผู้อ่อนล้าจึงว่า"หมายความว่าเราต้องขึ้นไปทางเหนือตามเส้นทางเดิมใช่หรือไม่"ไต้ซือกล่าวว่า"อมิตตาพุทธ ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย"ชายชราจึงว่า"พรุ่งนี้พวกท่านจงเดินไปทางตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห้าสิบลี้ ก็จะพบภูเขาชื่อเสิ่นอาหลิ่งให้เดินไปตามสันเขาสามร้อยลี้แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกสู่เขาซีมี่ซาน... "แต่พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทางเส้นนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน เพราะเมื่อท่านไปถึงยอดเขาจะพบภัยจากฝูงอีกาที่ดุร้าย ปราดเปรียวกว่าสามพันตัว ชาวบ้านแถวเชิงเขาต้องเซ่นบวงสรวงด้วยเนื้อดิบๆให้มันอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นหากมันหิวมนุษย์ก็จะกลายเป็นเหยื่อของมัน แต่หากท่านผ่านทางใต้สันเขาท่านก็จะพบภัยจากเสือและฝูงหมาป่าที่โหดร้ายดังนั้น"หากเลือกไปขณะที่อีกากำลังจิกกินเนื้อสดของเซ่นบูชาอยู่ ข้าคิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า" เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวว่า "วิเศษจริง ๆ ที่ประสกชี้ทางหาไม่แล้วพวกเราคงไม่มีทางไปถึงเขาซีมี่ซานเป็นแน่" อยู่สนทนาธรรมอีกครู่หนึ่งผู้อาวุโสและชาวบ้านจึงลากลับเรือนของตนให้คณะเดินทางได้พักผ่อนตามสบายจวบจนรุ่งอรุณ ชาวบ้านและผู้อาวุโสได้นำอาหารเจมาถวายคณะของไต้ซือให้ฉันจนเรียบร้อย เมื่อเก็บสัมภาระแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านผู้อารีออกเดินทางต่อไป ทั้งสามเร่งฝีเท้าหนีภัยจากอีกามรณะอย่างรีบเร่ง เพื่อให้พ้นจากสันเขาแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด หนทางนั้นเป็นหน้าผาชันและป่าดงดิบหนาทึบ มีชะง่อนหินที่โผล่ยื่นมาขวางมิให้การเดินทางราบรื่น ขณะเดินทางไต่ขึ้นเขาพลางสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นกำลังใจตลอดเวลา จนกระทั่งพบทางลาดต่ำลงไปสู่หมู่บ้านกลางหุบเขา ทั้งสามจึงวางใจว่าปลอดภัยแล้ว พละกำลังที่มีก็ดูจะหมดไปเสียเฉยๆ จึงพากันหยุดพักคลายความเหนื่อยล้าตรงที่แห่งนั้นเองฉับพลัน เหนือศีรษะของเหล่านักบวชหญิง ได้มีอีกาฝูงใหญ่บินล้อมรอบอยู่ "กา ! กา " อีกาทั้งฝูงส่งเสียงร้องข่มขู่เหยื่ออันโอชะ บางส่วนกระโดดเ
ต้นหย็องแหย็งอยู่บนพื้นคล้ายกับขวางทางไม่ให้อาหารหลุดรอดไปได้ เมื่อไร้หนทางหนีเมี่ยวซ่านไต้ซือจึงลงนั่งกับพื้นและกล่าวขึ้นว่า"พวกเจ้าจงนั่งลงทำสมาธิขับไล่ความกลัวความฟุ้งซ่าน รำลึกไว้ว่าเราคือผู้มีธรรม" สองภิกษุณีจึงกระทำตามคำ สั่งของไต้ซือ ทั้งสามท่องพระสูตรเพื่อสร้างกำลังใจอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีกาตัวใดบินลงมาจิกกินเนื้อของเหล่านักบวชเลยเมี่ยวซ่านไต้ซือตั้งสมาธิหาทางออกจากฝูงกามฤตยูอย่างแน่วแน่ แต่ก็ไม่เป็นผล ทันใดนั้นได้มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในมโนสำนึก พวกเจ้าโง่จริงๆ อีกาเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกินเนื้อเพียงอย่างเดียว ข้าวตากในถุงย่ามนั้นไม่ใช่ของโปรดของนกหรอกหรือ ไต้ซือใจเต้นด้วยความยินดี รีบลุกขึ้นแล้วล้วงเข้าไปในย่าม ขยุ้มข้าวตากออกมาหว่านบนพื้นที่โล่ง อีกาทั้งฝูงบินโฉบลงมาจิกกินข้าวตากอย่างเพลิดเพลิน ท้องฟ้ากลับมาสว่างโล่ง ไต้ซือส่งสัญญาณให้ศิษย์ออกเดินทางต่อไปด้วยความโล่งใจ ทั้งสามเดินลงเขาด้วยความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง กระทั่งถึงหมู่บ้านเชิงเขาชาวบ้านพากันออกมามุงดูนักบวชต่างถิ่นด้วยความพิศวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น