คุณธรรมของสตรี

 

                 จิตใจของสะใภ้จะต้องเป็นดั่งน้ำแต่มิใช่ดอกไม้ที่ร่วงลอยตามน้ำ ทำไมจึงต้องเป็นดั่งน้ำ เพราะว่าสรรพสิ่งและสรรพชีวิตทั้งหลายล้วนแต่ใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงและชำระล้าง น้ำสามารถแทรกซอนเข้าไปได้ทุกซอกทุกมุม เติมเต็มความสมบูรณ์ มีความอ่อนโยนเป็นคุณสมบัติ ในขณะที่เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมในครอบครัว ก็ต้องทำตัวเป็นดั่งน้ำที่รับได้ทุกสภาวะ ผดุงไว้ซึ่งจิตสำนึกคุณอยู่เสมอ เพราะว่าเจ้าจะต้องดำเนินตามหลักคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ให้คิดถึงข้อดีของพ่อแม่สามีเอาไว้ ให้ถือว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ของตน จะต้องมีความกตัญญู นับถือพี่น้องสามีเป็นเหมือนพี่น้องตน ให้คิดถึงส่วนที่ดีของพวกเขาไว้ให้มากๆเมื่อเห็นถึงข้อดีก็จะให้เกียรติกัน ซึ่งก็เหมือนน้ำที่สามารถประคองเรือให้ลอยลำได้ ดังนั้น สะใภ้จึงเป็นหลักในครอบครัวที่จะต้องดูแลทุกคนให้พร้อมสรรพ สีของน้ำอาจปรับเปลี่ยนแต่สถานะของน้ำนั้นก็ยังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงใช่ไหม หากพ่อแม่สามีไม่ดี พวกเราก็ยังต้องเคารพและกตัญญูต่อท่าน หากแม่สามีใจร้ายใจดำก็ยิ่งต้องใช้ความกตัญญูเอาความดีชนะใจจึงสมกับเป็นศรีสะใภ้ที่แท้จริง นับแต่โบราณมีคุณธรรม 24 กตัญญู สะใภ้ที่มีชื่อเสียงเรื่องลือมีมากมาย ดังนั้น เจ้าจะต้องยอมรับในชะตาชีวิต รู้ชีวิต กำหนดชีวิต อย่าได้โทษฟ้าโทษผู้อื่นเลย หากคิดว่าพ่อแม่สามีไม่ใช่พ่อแม่ของตนนั่นก็แสดงว่าไม่ได้ดำเนินในหลักธรรมของศรีภรรยา หากคิดว่าสามีไม่ดีก็ใช้ความดีไปเปลี่ยนแปลงเขา ให้เขาสามารถปรับปรุงแก้ไขไปในทางที่ดี เหมือนดั่งน้ำที่ไหนสกปรกก็ต้องใช้น้ำล้างชำระจัดการได้หมด ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า คนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงย่อมมีศีภรรยาอยู่เบื้อหลัง ซึ่งมิใช่หาได้ง่ายๆ  คำโบราณกล่าวไว้ว่า “สตรีนั้นยากเข้าใจ” นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าชอบแต่หาเรื่องทะเลาะ ไม่ใช้เหตุผล ทะเลาะกับสามี ทะเลาะกับพี่น้องสามียังพาลไปทะเลาะกับแม่สามีอีก ดังนั้นเป็นสตรีก็ต้องรักษาคุณธรรมแห่งสตรีให้ดี ให้ผู้อื่นมองเราในอีกแง่มุมที่กลับกันบ้าง เจ้าก็จะได้รับการยกย่องจากผู้คนให้เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องคอยสังเกตุว่าแม่สามีชอบทานอะไรก็ทำให้ท่านทานเป็นพิเศษ ปกติท่านชอบทานของว่าง เมื่อออกไปข้างนอกก็ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาฝากท่าน ปรนนิบัติท่านด้วยความเคารพ คอยดูแลงานบ้านทำความสะอาดหมอนที่นอนผ้าห่ม ออกไปเห็นเสื้อผ้าสวยๆต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบซื้อเป็นของขวัญให้กับท่าน เป็นคนย่อมมีความหลงเป็นธรรมดาของมนุษย์ นานนับวันแม่สามีอาจรู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้เปลี่ยนไป ฉะนั้นในแวดวงของสะใภ้หัวอกเดียวกันย่อมเข้ากันได้ดี หากว่าลูกสะใภ้กับแม่สามีเข้ากันไม่ได้ คนแรกที่เคราะห์ร้ายก็คือสามีของเจ้าที่ต้องอยู่ตรงกลางโดนบีบเป็นไส้ขนมปัง ใช่หรือไม่???? เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าใครก็วางตัวยาก แต่เมื่อเป็นลูกสะใภ้แล้วก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วน คล้อยตามสามีคืออะไร??? อยู่ที่บ้านคล้อยตามบิดา ออกเรือนคล้อยตามสามี สามีเสียชีวิตคล้อยตามบุตร เป็นสตรีเมื่อยังไม่ออกเรือนก็พึ่งพาบิดามารดา เมื่ออกเรือนไปแล้วก็พึ่งพาสามี ต่อไปก็พึ่งพาบุตรชายบุตรหญิง ดังนั้นหากพวกเจ้าพิจารณาคล้อยตามสามอย่างนี้อย่างละเอียด เจ้าก็สามารถวางตัวและแสดงออกมาจากกายและใจและจิตญาณได้ หลังจากออกเรือนไปแล้ว มองผิวเผินเจ้ารักสามีแต่จริงๆแล้วนั้นเจ้ากำลังหึงหวง พวกเจ้าอาจรู้สึกแปลกใจที่ก่อนหน้านี้สามีชอบกินเหล้าเที่ยวผู้หญิงเล่นการพนันและเจ้าชู้ เจ้าก็โกรธมีปากเสียงทะเลาะกัน แล้วก็มาเสียใจร้องไห้ แต่ตอนนี้เขามาบำเพ็ญธรรมแล้ว ทุกวันก็ไปสถานธรรม บรรยายธรรม แต่เจ้าก็ยังหาเรื่องทะเลาะอีก หรือว่าเจ้าอยากให้สามีกลับไปทำตัวสำมะเลเทเมาเหมือนเดิม บัดนี้เขาได้สร้างสมบุญวาสนาออกไปบรรยายธรรม หากเจ้าปฏิบัติในคุณธรรมของสตรีให้ดีก็จะต้องคอยให้กำลังใจเขา วันนี้เขาจะไปสถานธรรมเจ้าก็ต้องรีบวางอื่นไว้ก่อน รีบไปอาบน้ำหุงหาอาหาร จัดแจงให้เขาทานก่อนไป หากว่าในฤดูหนาวสามีกลับบ้านมืดค่ำ พวกเจ้าก้ควรจะเตรียมผ้าขนหนูชงนมอุ่นๆสักแก้วให้สามีดื่ม นี่คือคุณงามของศรีภรรยา  เจ้ารักสามีก็ไม่ใช่หึงหวงเขา เจ้าบังคับกายได้แต่ไม่อาจบังคับใจเขาได้ เจ้าหาเรื่องทะเลาะมีปากเสียงทุกวันจนทำให้เขารู้สึกกดดันย่ำแย่จนไม่อยากบำเพ็ญแล้ว เขาก็จะหันไปทำตัวเสเพล เล่นการพนัน มีภรรยาน้อย คนที่เสียเปรียบก็คือตัวเจ้าเอง  สามีบางคนเจ้าชู้ คนเป็นภรรยาก็ช้ำใจร้องไห้ อยากฆ่าตัวตาย พวกเจ้าเคยคิดที่จะมองย้อนกลับมาที่ตนเองบ้างไหม  ความรักที่เจ้ามีต่อสามียิ่งใหญ่ความรักที่เจ้ามีต่อพ่อแม่หรือไม่ ร่างกายเส้นผมผิวหนังนี้พ่อแม่ให้มาแต่เจ้ากลับคิดสั้นฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรื่องสามีไปมีผู้หญิงอื่น หากจิตใจรังแต่จะโกรธแค้นอาฆาตตายไปก็ตกนรก ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด หากโชคดีได้เกิดเป็นคนผลกรรมนั้นยังสนองไม่มีที่สิ้นสุด หากเจ้ากลับมาเกิดเป็นชายส่วนเขากลับไปเกิดเป็นหญิง ตัวเจ้าเองก็จะกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญใช้ชีวติเสเพลกินใช้เที่ยวเตร่ นี่เป็นต้นเหตุผลกรรม เจ้าลองคิดใคร่ครวญดู ปกติแล้วเจ้าก็ทำตัวเป็นภรรยาขี้บ่น จุกจิกจู้จี้ ขี้หึง ไม่ดูแลบ้านช่องให้ดี ใช่หรือไม่ ทำตัวเป็นคุณนายรักสวยรักงาม ไม่เอาใจใส่ดูแลครอบครัว ไม่รับผิดชอบงานบ้าน ไม่ทำความสะอาดครอบครัว ทำอาหารไม่กี่มื้อ สามีและลูกๆกลับบ้านปล่อยให้หิวไม่มีอะไรจะกิน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาไม่อยากอยู่บ้าน นี่เป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจการปรนนิบัติ ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจหรือมีแต่ความหึงหวงมากเกิน ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เข้ากับพี่ๆน้องๆของเขาก็ไม่ได้ จนเป็นเหตุให้สามีออกนอกบ้านไม่อยากกลับมาใช่ไหม  หากเจ้าใคร่ครวญดีแล้วย่อมเป็นสุข ไม่อยากคิดฆ่าตัวตายอีกต่อไป เมื่อเจ้าคิดได้ก็ต้องสำนึกผิด แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้สำนึกพรุ่งนี้สามีจะกลับบ้าน เจ้าต้องถอยสักก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล เกิดเป็นคนได้เพราะมีบุญวาสนา ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วร่างกายของสามีจะเป้นของเขาหรือ ให้คนอื่นยืมไปใช้ก่อนไม่เป็นไร คิดเสียว่าเขาถูกเกณฑ์ทหารออกไปรบในสมรภูมิ เจ้าคิดได้อย่างนี้ก็โล่งอก วันหลังสามีกลับบ้านมาแล้วก็ต้องทำดีกับเขาให้มากยิ่งขึ้น เขาก้จะรู้สึกว่าผู้หญิงที่ไหนก็สู้ภรรยาของตนไม่ได้ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาแต่ใจ แต่งงานออกเรือนไปแล้วไม่พอใจก็ย้ายไปอยู่ข้างนอกจะได้เป็นอิสระ พอถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงินก็บงการให้สามีรีบกลับบ้านไปขอแบ่งมรดก ทำเช่นนี้ขาดซึ่งคุณธรรมแห่งสตรี

ยอดนารี ศรีสะใภ้

 

                เมื่อแต่งงานเข้าไปอยู่กินเป็นครอบครัวใหม่  ตามประเพณีลูกสะใภ้จะต้องดูแลปรนนิบัติพ่อและแม่ของสามีเช่นดั่งพ่อแม่ของตน รู้ใช่ไหม  ตื่นขึ้นมาต้องรู้จักทักทาย จัดการงานบ้านงานเรือน อย่าทำให้พ่อและแม่สามีพูดได้ว่า “ได้คนบำเพ็ญธรรมเป็นลูกสะใภ้ แล้วทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้”  ต่อให้มีใจบำเพ็ญธรรมก็จะต้องดำเนินควบคู่ทั้งทางโลกและทางธรรม ต้องดูแลครอบครัวให้ดีอย่าทำให้คนอื่นเข้าใจผิด เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อธรรมะที่เจ้ากำลังบำเพ็ญ หากเจ้าไม่ทำหน้าที่ของลูกสะใภ้ให้ดี แม่สามีต้องการให้เจ้าอยู่เฝ้าบ้านแต่เจ้าก็ไม่อยู่ บางครั้งเจ้าก็บ่นว่า “ใครก็อยากมีอิสระทำไมต้องมาบังคับฉันอยู่เฝ้าบ้านด้วยเล่า”??? ทำไมไม่คิดกลับกันดูบ้าง หากตัวเจ้าเป็นแม่สามีเจ้าชื่นชอบที่จะให้ลูกสะใภ้ของตนเองออกไปเที่ยวเตร่อยู่นอกบ้านทุกวันอย่างนั้นหรือ เอาใจเขามาใส่ใจเราครอบครัวก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การเป็นคนนั้นทุกข์ ที่เป็นทุกข์ก็เพราะจิตใจคนมีกิเลสตัณหามากมาย ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักถนอมบุญ ดังนั้นจึงทำให้รู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ หากรู้จักพอเจ้าก็จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขจนถึงบั้นปลาย อย่าได้มีจิตใจคิดเปรียบเทียบเลย เจ้าก็สามารถมีชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องเผชิญขวากหนาม เจ้าก็สามารถเข้ากับทุกคนได้ ในหมู่คนนั้น คนประเภทไหนที่เข้ากันยากที่สุด ตั้งแต่โบราณมา ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ยากที่เข้ากันได้ เหมือนมีกำแพงขวางกั้น ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นเช่นนั้นหรือไม่??? พวกเจ้าส่วนใหญ่แล้วล้วนมีแม่น้ำสายใหญ่ทั้งลึกและกว้างกั้นอยู่ จะกระโดหรือข้ามก็ไม่พ้น คิดดูสิว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ลูกสาวของตนก็ยังเป็นลูกสาวของตน ลูกสาวของคนอื่นฉันไม่ได้เป็นคนคลอดออกมาสักหน่อย คนเป็นแม่ต้องอุ้มท้องเก้าเดือนถึงจะให้กำเนิดลูกน้อยออกมาดูโลก ดังนั้นพวกเจ้าให้ความรักความเอ็นดูกับลูกสะใภ้บ้างเถิดหนา แม้บางครั้งแม่สามีอาจไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ลูกสะใภ้ก็อาจมีผิดบ้าง ทำไมพวกเจ้าไม่หันหน้าคุยกันดีๆ หาทางออกที่ดี  ไยต้องก่อให้เกิดเรื่องระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้จนเลยเถิดแก้ไขไม่ได้ ถึงจะยุติอย่างนั้นหรือ??? มิน่าเล่าแม่น้ำสายนี้ยิ่งมายิ่งลึก ไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้ หากเจ้าให้ความเอ็นดูลูกสะใภ้ไม่ต่างกับลูกตนเองก็จะไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ลิ้นกับฟันย่อมมีกระทบกันเป็นธรรมดา นับประสาอะไรกับคนที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน จะให้คนอื่นตามใจเจ้าอยู่ทุกเรื่องได้อย่างไร วันนี้เจ้าทานเจ หากให้เจ้าออกเรือนไปอยู่ในครอบครัวที่ไม่ทานเจ เจ้ากล้าไปหรือไม่ ไม่กล้าใช่ไหม กลัวว่าจะเกิดปัญหาไม่สิ้นสุดใช่หรือไม่  กลัวว่าตัวเองขะแบกรับไม่ไหว แล้วทุศีลเจแตก ใช่ไหม เพราะความกลัวเหล่านี้จึงทำให้เจ้าไม่กล้า อาจารย์มีศิษย์คนหนึ่ง เขาแต่งงานไปอยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้ทานเจ พวกเจ้าบอกว่าเมื่อกินเจแล้วอย่าไปแตะต้องเนื้อสัตว์ อาหารคาว อย่าไปหั่นเนื้อใช่ไหม พวกเจ้าพูดกันแบบนี้ใช่หรือไม่ แต่เมื่อเขาแต่งงานไปในครอบครัวนั้นแล้วด้วยหน้าที่ของลูกสะใภ้จะต้องทำอาหารด้วยใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นจะทำอาหารเจให้พ่อและแม่สามีทานหรือว่าจะทำอาหารคาวล่ะ สมควรจะทำอาหารคาวไหม เขาจึงทำอาหารเจให้ตัวเองและทำอาหารคาวให้คนในครอบครัวทาน หกเจ็ดปีผ่านไปภายในพริบตา จิตใจเช่นนี้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม เขาประพฤติปฏิบัติให้ผู้คนได้ประจักษ์ เขาเป็นตัวแทนแห่งธรรม เขาเป็นตัวแทนของผู้บำเพ็ญธรรมอย่างแท้จริง ดังนั้นตอนเขาก็มีสภาพที่ดีขึ้น การกระทำของเขาได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว จนเดี๋ยวนี้คนในครอบครัวต่างก็หันมายืนข้างเดียวกับเขา กินเจร่วมกันอย่างมีความสุข การที่เขาทำเช่นนี้เป็นการครองเรือนที่ดีใช่หรือไม่??? จิตเมตตานั้นเกิดขึ้นได้ง่าย รักษาไว้ให้คงอยู่ยาก เหมือนกับการโปรดคนนั้นง่าย แต่การส่งเสริมคนไม่ง่ายเลย เพราะว่าเจ้าไม่มีความอดทน หลังจากที่เจ้าเกิดจิตเมตตาแล้วเจ้ากลับไม่สามารถเห็นถึงคุณค่าของจิตเมตตานี้ ได้แค่จมปลักอยู่ในความคิดแคบๆ “ฉันกินเจแล้ว ไม่อยากเกี่ยวกรรมกับการฆ่า จะให้ฉันหั่นเนื้อทำกับข้าว ฉันทำไม่ได้ๆๆๆ มันเป็นบาปเป็นกรรม ฉันไม่อยากแปดเปื้อนมลทิน” เป็นอย่างนี้หรือเปล่า หากว่าเจ้าสร้างบาปก็จริงอยู่ แต่ได้ส่งเสริมบรรพชนและลูกหลานของพวกเขาให้หลุดพ้นได้ แล้วเจ้าจะยินยอมไหม มนุษย์เอ๋ย!!!!! เมื่อยังไม่ผจญเหตุเภทภัยก็นิ่งนอนใจ ต่อเมื่ออันตรายมาถึงจิตใจก็หวดผวาคิดจะหนีก็หนีไม่พ้นเสียแล้ว เจ้ายังจะกล้าไปแบกรับภาระหน้าที่อะไรอีก บางครั้งเจ้าอาจจะมีบุญสัมพันธ์กับครอบครัวเขา บรรพชนและลูกหลานในครอบครัวเขาต่างต้องการให้เจ้าไปส่งเสริมให้พวกเขาเข้าใจในสัจธรรม บำเพ็ญจิตหล่อเลี้ยงธรรมญาณ ดังนั้น เจ้าจึงจำเป็นต้องเดินไปบนทางแห่งขวากหนามเส้นนี้จึงจะสามารถเข้ากับครอบครัวเขาได้ อาศัยพลังของเจ้าเพียงคนเดียวไปผลักดันครอบครัวเขา ดังนั้น ตนเองจะต้องหนักแน่นมั่นคงเสียก่อน เหมือนกับคนที่เป็นพ่อแม่จะต้องสร้างครอบครัวให้มีคุณสมบัติครบถ้วนเสียก่อนจึงจะอบรมสั่งสอนลูกหลานให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ได้ เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ต้องเข้าใจในหลักการและเหตุผลอย่างถ่องแท้และมากด้วยประสบการณ์จึงสามารถสอนคนรุ่นต่อไปให้ประสบความสำเร็จได้ ส่วนพวกเราที่ยืนแถวหน้าของอาณาจักรธรรม หากมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง อาณาจักรธรรมย่อมเกิดปัญหาใช่หรือไม่ คำพูดของพวกเจ้าที่ว่า “กินเจสามารถลบล้างหนี้กรรม” ถ้าเช่นนั้นอาศัยเพียงแค่การกินเจและตั้งปณิธานถวายฎีกาก็สามารถทำให้หนี้กรรมของเจ้าลบล้างไปได้อย่างนั้นหรือ??? หากเขาทานเจและตั้งปณิธานแล้ว แต่ว่าคนในครอบครัวเขาต่อต้าน เจ้าก็ไปบอกเขา “ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง พยายามกินต่อไป อย่าให้มารทดสอบมาทำให้ความตั้งใจของเราล้มเหลวลงไปได้”!!!!!  พวกเจ้าพูดเช่นนี้ใช่ไหม?? หรือไม่อย่างนั้นก็พูดว่า “ จิตใจจะต้องแน่วแน่ กล้าที่จะเผชิญกับพ่อแม่ให้ได้ แม้ท่านจะรักเราเป็นผู้เลี้ยงเรามาก็ตาม” คำพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ เพราะว่าคนที่ต้องเผชิญไม่ใช่เจ้า แต่เป็นเขาต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเจ้า เจ้าจึงสามารถพูดได้อย่างสบายใจ เพราะคนที่จะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เจ้าแต่เป็นเขา เจ้าก็เลยพูดอย่างมักง่าย เช่นนี้แล้วเจ้าได้เอาใจเขามาใส่ใจเราหรือเปล่า มีจิตเมตตาหรือเปล่า การตั้งปณิธานทานเจ ไม่เกี่ยวกรรมกับวิญญาณสัตว์เหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์ การไม่กินเนื้อสัตว์แสดงถึงเมตตาธรรม แต่ในความจริงนั้นเล่าเจ้าได้ถนอมบุญสัมพันธ์ที่มีระหว่างเจ้ากับญาติพี่น้องให้สมบูรณ์พร้อมหรือยัง ยังทำไม่ได้  ในชาตติพวกเราไม่ทำให้บุญสัมพันธ์นี้สมบูรณ์ อนาคตก็จะก่อเกิดเป็นกรรมสัมพันธ์ นี่เป็นหลักขั้นพื้นฐานแต่พวกเจ้ากลับมองข้าม มัวแต่ไปค้นในคัมภีร์ พวกเจ้าจะต้องระลึกและตระหนักไว้อยู่เสมอว่า “ได้ลงมือ ปฏิบัติอย่างจริงจังหรือยัง ทำเรื่องที่สมควรทำแล้วหรือยัง “??? ทำไมจึงต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็เพราะว่าในอาณาจักรธรรมพวกเจ้าพูดย้ำถึงหลักโครงสร้างสาม สัจจะห้า คุณสัมพันธ์ห้าคุณธรรมแปด แต่ว่าได้กระทำจริงหรือไม่ ครอบครัวของตนเองยังดูแลได้ไม่ดีพอ อาจารย์เชื่อได้เลยว่าเจ้าก็ไม่สามารถดูแลเวไนยได้ “ยืนหยัดตัวเองเสียก่อน จึงสามารถยืนหยัดผู้อื่นได้” อะไรคือพื้นฐานของประเทศชาติ อะไรคือพื้นฐานของครอบครัว หากเริ่มต้นไม่มีพ่อแม่ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยความทุ่มเทเหนื่อยยาก แล้วจะมีเจ้าในวันนี้ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางสภาพที่มั่นคงได้อย่างไร เริ่มจากคนอื่นรับผิดชอบตัวเจ้า แล้วทำไมวันนี้ เจ้าจึงไม่สามารถรับผิดชอบคนรุ่นต่อไปได้ พวกเราจะต้องมีความสุขและภูมิใจที่ได้แบกรับความทุกข์ยากของเวไนย์ทั้งหลาย เมื่อเจ้าและเขาได้ตกลงปลงใจเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พวกเจ้าจะต้องช่วยกันแบ่งเบาและแบกรับภาระครอบครัวของกันและกัน นี่เป็นบุญสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเขาและตัวเจ้า บางทีคนในครอบครัวอาจจะไม่สนับสนุนให้เจ้าทานเจ เจ้าก็ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีรู้หรือไม่ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าการทานเจมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง การบำเพ็ญธรรมมีอะไรไม่ดีบ้าง ใช่หรือไม่??? หากว่าเจ้ายิ่งบำเพ็ญร่างกายยิ่งอ่อนแอ แล้วจะยังมีใครกล้ามาบำเพ็ญธรรมร่วมกับเจ้าอีก เจ้าจะกินเจ จิตใจอของเจ้าต้องพร้อมที่จะกินเจเสียก่อน หากว่าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวไม่เอื้อต่อการกินเจก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญขอให้จิตใจของเจ้าพร้อมจะกินเจเสียก่อน

สลัดเรื่องราวไร้สาระ

 

                         ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้เวลาอันมีค่ามาถกเถียงโต้แย้งกัน เพราะเรื่องเพียงเล็กๆก็เกิดการโต้เถียงกันอย่างไร้สาระ  ในชีวิตของคนเรามีเรื่องควรค่าแก่การทนุถนอมอีกมาก ยอมรับในความผิดของตนอย่างจริงใจ ยอมรับในการขอโทษจากผู้อื่น ให้อภัยและให้ความเข้าใจกับผู้อื่นก็จะสามารถขจัดความเคียดแค้นและความกลัดกลุ้มได้ ในโลกนี้ถ้าความโกรธแค้นและความขัดแย้งน้อยลงบ้าง การอยู่ร่วมกันก็จะดีขึ้น การปฏิบัติธรรมง่ายหรือยาก เราเองทำตัวเราให้เหมือนเครื่องกรองน้ำ น้ำขุ่นที่มีอยู่ในตัวเราจะผ่านการกรองจนกระทั่งใสได้ในที่สุด ความอ่อนน้อมนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม การอ่อนน้อมนั้นควรที่จะออกมาจากใจ ถ้าไม่ได้ออกมาจากใจไม่ถือเป็นการอ่อนน้อมที่แท้จริง หนทางการบำเพ็ญจะต้องก้าวเดินด้วยขาตัวเอง เราพึ่งผู้อื่นไม่สู้พึ่งตัวเอง ในขณะพึ่งตัวเองจะต้องให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วย นี่คือจิตเมตตาที่เหล่าพุทธะให้การสั่งสอน ผลไม้สุกงอมหากไม่ทานก็รังแต่จะเน่าเสีย ธรรมะฟังแล้วไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์

                                                  ……….เรื่องเล่าจากชีวิตจริง………

สามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆเช้าภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนและวิ่งกลับมารายงานให้

สามีฟัง “เธอดูเพื่อนบ้านเราสิ เขาซักผ้าไม่เป็นรึไง คราบสกปรกบนเสื้อผ้าเต็มไปหมด เขาซักยังไงของเขาเนี่ย!!!” สามี: “เธอก็อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักของเราให้สะอาดก็แล้วกัน” แต่ก็ยังไม่วายที่เธอจะแอบซุ่มดูเพื่อนบ้านและตำหนิอยู่ในใจทุกวัน บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้สามีเธอฟัง “ฉันคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมเขาถึงทนซักอยู่อย่างนั้นได้ทุกวัน ทั้งๆที่เสื้อผ้าก็สกปรก !!”

buddhism อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยาตะโกนเรียกสามีเสียงดังลั่น สามีจึงรีบวิ่งมาหน้าตื่น “เร็วๆๆๆๆ มาดูนี่สิ เหลือเชื่อจริงๆ วันนี้เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เสื้อผ้าของเขาทำไมดูขาวสะอาดผิดหูผิดตา หรือเขาเปลี่ยนผงซักฟอก หรือเขามีสูตรอะไรซักผ้าให้สะอาดราวกับปาฏิหาริย์”????

รูปภาพ pictrue สามีอดขำไม่ได้ถึงหัวเราะออกมา : “นี่คุณ !!!! รู้มั้ยว่าฉันรำคาญเธอเหลือเกิน จนทนไม่ไหวตื่นมาเช็ดกระจกหน้าต่างแต่เช้า….กระจกบ้านเรามันสกปรก..!!! เธอเห็นอะไรมันก้สกปรกไปหมด”

buddhism มนุษย์เราชอบมองคนอื่นโดยผ่านใจ (อัตตา) ของเราหากใจเราสะอาดเราก็จะเห็นแต่สิ่งที่ดีๆ แต่ถ้าใจเรานั้นสกปรกเรามองอะไรก็เห็นเป็นชั่วไปหมด การที่เรามองคนอื่นว่าชั่วร้าย เราต้องเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราเห็นมันเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเรานั่นเอง เราจะต้องบำเพ็ญขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เพราะเมื่อไหร่ที่เรามองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์กังวล เท่ากับทำชีวิตให้จมอยู่ในนรก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้จักมองโลกในแง่ดี ความคิดของเราก็จะสะอาดสดใส จิตใจก็จะเบิกบานมีความสุข

รักกันต้องให้เกียรติกัน

 

          หากต้องการรากฐานครอบครัวที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น สามีภรรยาจะต้องให้เกียรติและเคารพกันซึ่งกัน จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประหนึ่งมองตาก็รู้ใจ  หากเจ้าปรารถนาให้ญาติพี่น้องทุกคนเป็นคนดี สามีเชื่อฟังด้วยใจภักดิ์ดี  เจ้าก็ต้องทำตัวให้ดีเสียก่อน  อย่าก่อความวุ่นวายวิวาทไปทุกเรื่อง จะต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา  ผู้หญิงทุกคนก็หวังเช่นเดียวกันว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและผาสุก  สามีดูแลเจ้าดี  หากปัญหาเริ่มที่เจ้าเป็นก่อ ครอบครัวก็ย่อมจะหลีกหนีผลกรรมตอบสนองในอนาคตไม่พ้น ในทางกลับกันสามีก็ต้องให้เกียรติภรรยาด้วย เพราะเขาช่วยดูแลครอบครัวและเอาใจใส่ลูกๆแทนเจ้า นับว่าเป็นหญิงเหล็กก็ว่าได้ อย่าคิดแต่ว่าภรรยาเป็นอีแก่ที่บ้าน หากเจ้ามีความคิดเช่นนี้เจ้าเองก็ใช่ว่าเป็นคนดี อย่าเป็นเฒ่าไร้ยางอายเลย แก่แล้วก็ต้องรู้จักบำเพ็ญ หากไม่มีความละอายแก่ใจ ทอดทิ้งภรรยาอย่างไม่มีเยื่อใยไปหาคนอื่น เจ้าว่าเจ้าจะอยู่รอดปลอดภัยหรือ  เห็นผู้หญิงอื่นสวยก็คบหากันเลยเถิด  ถึงเวลานั้นตอนที่เจ้าเข้าพัวพันนั้นง่าย แต่จะถอนตัวนี่สิยาก สร้างปัญหาให้กับตนเอง ครอบครัวที่ผาสุกมิใช่ก่อร่างสร้างกันขึ้นมาได้ง่าย เพราะความรักสนุกของเจ้าจึงกลายเป็นปัญหาที่คิดไม่ออกและแก้ไม่ตก หวังว่าใครที่มีครอบครัวแล้วจะดูแลครอบครัวให้ดี ภรรยาจะต้องให้เกียรติสามี เขาทำงานนอกบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างครอบครัว อย่าได้หาเรื่องทะเลาะวิวาทโดยไร้เหตุผล เจ้าควรอยู่เบื้องหลังคอยดูแลบ้านให้เขาจึงจะถูก ปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นก็มาจากเรื่องเพียงเล็กน้อย บางครั้งสามีภรรยาทะเลาะกันเพราะเรื่องหยุมหยิม ทุกคนต่างมีเหตุปัจจัยสัมพันธ์ร่วมกันมา เจ้ากลับทำให้มันพัง ผลสุดท้ายคนที่เสียใจก็คือลูกน้อย มองจากตรงนี้ สามีภรรยาจะต้องรู้จักมารยาท อย่าคิดดึงดันเอาชนะ จะต้องให้เกียรติเคารพซึ่งกัน อย่าคิดว่าคนคุ้นเคยไม่เป็นไร เป็นกันเองมากเกินไปก็ทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ง่าย จะต้องเว้นช่องว่างระหว่างกันไว้บ้างจึงจะไม่เกิดปัญหา นอกจากนี้สามีภรรยาจะต้องรู้จักใช้คำพูดปลอบใจภรรยาให้เป็น ถ้าทำได้เช่นนี้ต่อให้ภรรยาต้องแบกรับความทุกข์ร่วมกับเจ้ามากขึ้นเขาจะไม่ปริปาก เพราะเขาต้องการความห่วงใยจากสามี เจ้าเอาใจใส่เขาให้มากครอบครัวก็จะสุขสมบูรณ์ สำหรับผู้ชายก็อย่าได้ถือตนเป็นใหญ่ มิฉะนั้นแล้วครอบครัวก็จะพังเอาง่ายๆ ผู้หญิงเมื่อคิดจะดุด่าสามี ควรรู้จักระงับอารมณ์ตนเองเสียก่อน อย่าปากร้าย คำพูดคำจาต้องไพเราะน่าฟังและให้กำลังใจ หากสามีทำตัวเหลวไหล กลับบ้านมืดค่ำเจ้าก็ต้องรอ หากวันนี้ไม่กลับเจ้าก็ต้องรอถึงพรุ่งนี้ รอให้เขากลับมาเจ้าก็อย่าด่วนตัดพ้อต่อว่า เวลานี้ต้องใช้อดกลั้นนิ่งเฉยไว้ เตรียมน้ำให้เขาอาบ ชงชาให้เขาดื่ม ถามไถ่ห่วงใย หากวันแรกไม่กลับ สองวันก็ไม่กลับ สามวันแล้วก็ไม่กลับ เจ้าต้องยอมรับชะตากรรมที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ มันเป็นชะตากรรมของเจ้า ไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องรู้จักปล่อยวาง สิ่งสำคัญอย่าได้คิดฆ่าตัวตายนำพาตนไปสู่หายนะ คนหนุ่มสาวขณะที่โปรดคนส่งเสริมผู้อื่นนั้น อย่าให้เกิดความพอใจรักใคร่เจือปน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นแก้ปัญหาหรือส่งเสริมผู้อื่น จะต้องวางตัวให้ชัดเจน หากเจ้าไม่ได้มีเจตนาความคิดเช่นนั้น แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับคิดว่าเจ้ามีใจให้นั่นก็แย่แล้ว ตกอยู่ในวงล้อมของความเสน่หา เป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวทำผิดได้ง่าย หากเจ้าจะมีคู่ครอง ประการแรกต้องดูว่าฝ่ายตรงข้ามแต่งงานหรือยัง หากแต่งงานแล้วเจ้าจะต้องล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ต่อให้เขาเป็นสาวงามเช่นนางไซซี นางพันอันก็ตาม แต่ก็ไม่มีบุญวาสนาอยู่ร่วมกับเจ้า คนหนุ่มสาวจะต้องรักตัวเอง แม้ว่าสมัยนี้เป็นยุคแห่งเสรีภาพเปิดกว้าง แต่พวกเราก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรม จะต้องรักษาตนให้บริสุทธิ์ และการแต่งงานของพวกเจ้าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่จัดการตามประเพณี จึงจะเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ อย่าได้หมกหมุ่นในกลุ่มชายหญิงจนมีสัมพันธ์เกินเลย นอกจากนี้ พวกเจ้าอย่ากลับบ้านมืดค่ำ แม้ว่าพวกเจ้าจะมาช่วยงานสถานธรรม ปัจจุบันพวกมิจฉาชีพมากมาย พ่อแม่จะไม่สบายใจ ในขณะเดียวกันเจ้าก็อย่ามัวแต่ช่วยงานสถานธรรมจนทำให้คนที่บ้านต่อต้าน ไม่ใช่ว่าเอาเวลาทั้งหมดมาทำงานให้สถานธรรม จนกระทั่งไม่มีเวลาอยู่บ้านเป็นเพื่อนพ่อแม่  แม้อาจารย์จะรู้ว่าพวกเจ้านั้นเหน็ดเหนื่อยทุ่มเท แต่ก็หวังว่าพวกเจ้าจะทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีไหม  จะต้องนำธรรมะสู่ครัวเรือน รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ หากเจ้าไม่สามารถทำให้ครอบครัวสมบูรณ์พูนสุขได้ เจ้าจะต้องคิดทบทวนพิจารณาให้ดี อย่าดึงดันยกเหตุผลอันประเสริฐ มาอ้างเอาตัวรอด การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้เจ้าออกห่างจากผู้คนในสังคม แต่จะต้องให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขขึ้นกับทุกคนในสังคม เจ้าจะต้องรักษาหน้าที่ของตนให้ดีเสียก่อนที่จะออกไปส่งเสริมคน เช่นนี้จึงจะไม่เกิดการกระทบกระทั่ง

                        จงรู้ว่าการเกิดมานั้นเป็นเรื่องยาก ทุกๆครั้งที่ทำร้ายจิตใจกันก็จงมองให้ดี                 คิดให้ดี บางคนหวงแหนวัตถุจนทำร้ายจิตใจคนรอบข้าง    อันว่าคนเกิดมาหนึ่งชีวิตสำคัญกว่าทรัพย์สินกองท่วมเท่าภูเขา อย่าทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เพราะถ้าเราใช้อารมณ์เพียงชั่ววูบของเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่เราจะเสียใจไปตลอดชีวิต

สงบ สยบแข็งกร้าว

 

อุปสรรคของการแก้นิสัยคือ”ความเกลียด” รู้จักความเกลียดไหม??? ในครอบครัวของเรานั้นมีสามีภรรยาลูก ถ้าสามีภรรยาชอบทะเลาะกัน ต่างคนต่างมีทิฏฐิเป็นของตัวเอง ภรรยาอยากให้สามีเลิกดื่มเหล้า ภรรยาก็เกลียดนิสัยการดื่มเหล้าของสามี สามีอยากให้ภรรยาเลิกเล่นไพ่ สามีก็เกลียดนิสัยการเล่นไพ่ของภรรยา ในที่สุดปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ แท้จริงแล้วเราไม่อยากให้เขาแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเรายังเกลียดนิสัยเขาอยู่ เราจึงไม่สามารถบอกให้เขาเลิกได้ เพราะทุกครั้งที่บอก เราก็ใช้อารมณ์ใส่กัน พูดกันดีๆไม่เป็น ฉะนั้นความเกลียดจึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการแก้นิสัย ในขณะที่เราต้องการให้เขาแก้นิสัยเสียๆ เราก็อย่าเพิ่งไปมีอคติเกลียดเขาก่อน จะต้องมีจิตเมตตา ใช่หรือไม่???   สามีภรรยาถ้าทำตัวแข็งกระด้าง ปากแข็ง ใจแข็ง ความคิดก็แข็ง เหมือนเข้าช่องแข็งไม่ยอมละลาย คนอื่นทำให้ละลายได้ไหม ก็ไม่ได้ เคยได้ยินคำว่า “น้ำหยดลงหิน” ไหม (ทุกวันหินยังกร่อน) คำนี้ใช้ได้ไหม ?? เรารู้ทุกสิ่งอย่างจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่??? เช่นเดียวกับที่บอกว่า “น้ำหยดลงหินทุกวันมันยังกร่อน” แสดงว่าหากเรานั้นทำตัวให้อ่อนเข้าไว้ ไม่แข็งกร้าว มีความอ่อนโยนและสุภาพ อย่างนี้จะใช้ได้ผลไหม??? คนที่แข็งเราก็รับได้ในคนที่อ่อนเราก็กลมกลืน

                           ……… สามีภรรยาร่วมบำเพ็ญ……………

สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่บำเพ็ญจนเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู นิสัยอารมณ์เลวร้ายต่างๆก็ไม่เปลี่ยนแปลง การมาสถานธรรมเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าพูดว่าฉันจะไปสถานธรรมแล้วคุณหากินเอาเองแล้วกัน ทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก ตัวเจ้าเองจะต้องทำให้ดีเสียก่อนจึงจะสามารถส่งเสริมคนอื่นได้ สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญจะต้องรู้จักชื่นชมซึ่งกันและกัน แต่ไม่ใช่การโกหกพกลมนะ ใช้คำพูดที่แสดงถึงความรักความปรารถนาดี ส่วนคำพูดโกหกนั้นอย่านำมาใช้กับลูกและภรรยา หากเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายจึงจะสามารถบำเพ็ญร่วมกันไปตลอดรอดฝั่ง การบำเพ็ญธรรมในยุคขาวจะต้องเป็นทั้งนักบวชและฆราวาส เจ้ามาสถานธรรมได้สดับธรรมจากอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและอาจารย์บรรยาย จึงรู้ว่าจะต้องบำเพ็ญขัดเกลาอย่างไร??? จะต้องปรองดองพี่น้องอย่างไร และจะต้องกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างไร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพื้นฐานของมนุษยธรรมที่ควรปฏิบัติให้สมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกัน พวกเราจะต้องพิจารณาดูตัวเองว่าสถานภาพของตนพร้อมที่จะออกมาช่วยงานธรรมได้มากน้อยแค่ไหน ครอบครัวเรายังต้องการดูแลเอาใจใส่จากเราอยู่หรือไม่ มีครอบครัวจึงจะมีประเทศชาติ มีประเทศชาติจึงจะมีโลก อย่าคิดแต่ว่า “ไม่ได้ไปสถานธรรมแค่วันเดียว รู้สึกหงุดหงิด” เจ้าจะต้องคิดว่า “สิ่งที่ฉันได้ทำลงไปในวันนี้สอดคล้องกับหลักธรรมแห่งฟ้าดินหรือไม่” ทำเช่นนี้จึงจะเกิดความสงบสุขขึ้นในจิตใจ แท้จริงแล้วการบำเพ็ญธรรมต้องฟื้นฟูรากเดิม ธรรมะนั้นดีจริงแต่ว่าสิ่งที่คนแสดงออกมานั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญธรรมจะต้องรู้จักทะนุถนอมกัน หากสามีหรือภรรยาบำเพ็ญฝ่ายเดียวก็ไม่สมบูรณ์ จะต้องคอยเกลี้ยกล่อม ให้อภัยกัน ยังต้องเปิดใจกว้าง จึงจะเกิดความสมบูรณ์ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกแรงสามส่วน อีกฝ่ายก็ต้องช่วยหนุนอีกเจ็ดส่วนจึงจะสมบูรณ์ได้ ในขณะฝ่ายหญิงเมื่อพบเจอเรื่องราวต่างๆ จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวได้ง่ายกว่า ซึ่งมักจะติดปัญหาเรื่องจุกจิก ไม่เหมือนฝ่ายชายที่สามารถเผชิญปัญหาเรื่องราวได้ตามลำพัง  เมื่อมีเรื่องราวใดมากระทบจิตใจให้เข็มแข็งไว้บางครั้งแม้น้ำตาจะไหลรินแต่ว่าจิตใจยังคงมั่น เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อย่าเก็บเอามาคิดฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ว่าเพียงแค่สบตาก็คิดไปว่าเขามีใจให้ จิตใจจะต้องหนักแน่นไม่หวั่นไหว ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องขจัดนิสัยอารมณ์ทางลบออกไปจึงจะเกิดความสมดุล ผู้ชายถึงแม้ว่าจะเข้มแข็ง แต่ก็มักจะแสดงความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ง่าย ทั้งชายและหญิงจะต้องปรับธาตุอินและหยางให้กลมกลืน หากผู้หญิงมีความแข็งกร้าวจนเกินไปความอ่อนโยนก็จะลดลง หากผู้ชายมีความอ่อนแอจนเกินไป ก็จะดูเหมือนว่าชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง หากสามารถปรับนิสัยให้สมดุลกันได้ ชีวิตก็จะดูสดใสและมีสีสันมากขึ้น เข้าใจไหม แท้จริงแล้วการจะเป็นครอบครัวบำเพ็ญที่สมบูรณ์ได้นั้นก็ไม่ง่ายนัก บทบาทของผู้หญิงนั้นสำคัญมาก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมักเป็นสตรีที่มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ สตรีเหล่านี้จะครองตนอยู่ในหลักสามคล้อยตาม คุณธรรมสี่ สามคล้อยตามนั้นคือ อยู่เรือนคล้อยตามบิดา ออกเรือนคล้อยตามสามี สามีเสียชีวิตคล้อยตามลูก ความหมายนอกจากนี้ จิตญาณดำเนินตามหลักครรลองแห่งฟ้า ใจดำเนินตามธรรม กายดำเนินตามการณ์ คุณธรรมสี่ของสตีคือ… คุณธรรม วาจา สีหน้า การงาน กล่าวคือ คุณธรรมเป็นความประพฤติไม่ผิดต่อศิลธรรม วาจาคือสำรวม ไม่พูโหยาบช้าลามก สีหน้าคือ สำรวมกริยา มีสง่า ดูภูมิฐาน ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงภาพพจน์ของครอบครัวนั้นว่ามีความเป็น นสะมาอย่างไร การงานคือ จะต้องเป็นสะใภ้ที่มีความขยันขันแข็ง พ่อแม่สามีจึงจะรักใคร่เอ็นดู ปรนนิบัติดูแลครอบครัวทั่วถึง ไม่ละเลยบกพร่องต่อหน้าที่การงานของตน สตรีมีสามประเภทคือ สตรีที่อ่อนแอ สตรีที่กล้าหาญ และสตรที่เพียบพร้อมคุณธรรม สตรีที่อ่อนแอ…จะไม่สามารถค้ำจุนครอบครัวได้ สอนลูกไม่เป็น ลูกเจ็บไข้ได้ป่วยก็หาทางดูแลรักษาไม่เป็น สตรีที่กล้าหาญ…มักคิดเอาชนะ อยู่เหนือสามี อยากจะเป็นผู้หญิงแกร่ง จำไว้ว่าอย่าได้คิดเอาชนะไปทุกเรื่อง ยิ่งดึงดันชีวิตก็ยิ่งขาดความผาสุกและกลมเกลียว สามีภรรยาจะต้องช่วยเกื้อหนุนค้ำชูซุ่งกัน ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน  สตรีที่เพียบพร้อมคุณธรรม……คือสตรีที่ศึกษาหลักธรรมและนำมาปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็สามารถแก้ไขอุปนิสัยที่ไม่ดีของตนเองด้วย พวกเจ้าพูดแต่ว่าจะมาบำเพ็ญธรรม มาสถานธรรมแล้วให้เกียรติและเคารพซึ่งกัน แต่ทำไมกลับถึงบ้านจึงให้ความเคารพกันไม่ได้ หรือเป็นเพราะในสถานธรรมมีผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่มีใครรู้ลึกรายละเอียดของใคร ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกัน ทำให้ไม่รู้ธาตุแท้ของอีกฝ่าย จึงสวมหน้ากากแสแสร้งทำดีต่อกันได้ใช่ไหม เมื่อกลับถึงบ้านหน้ากากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไป ธาตุแท้จึงเผยออกมา กลับกันบ้างได้หรือไม่ เมื่อเจ้าไปสถานธรรมให้แสดงธาตุแท้ของตนออกมา เมื่อกลับถึงบ้านสวมหน้ากากทำดีบ้าง หากเป็นเช่นนี้จะมีผลอย่างไร ไม่มีใครทำเช่นนี้หรอก ใช่หรือไม่ เพราะว่าพวกเจ้าต่างให้ความสำคัญกับหน้าตาของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อเข้ามาสถานธรรม พวกเจ้าต่างสวมเสื้อผ้าจัดเครื่องกายกันมาอย่างเรียร้อย ผมเผ้าผ่านการหวี เป่า ดัด ทุกคนดูสวยและดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เมื่อกลับถึงบ้านผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทำหน้ายับ เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบแล้วใช่ไหม ตอนล้างจานทำความสะอาดบ้าน ไม่พอใจก็เอะอะโวยวายขึ้นเสียงดัง “ดูสิเนี่ย หนังสือพิมพ์อ่านเสร็จรู้จักเก็บเข้าที่เข้าทางบ้างสิ!!!!” ไม่มีจิตใจอดทนต่อความลำบากแล้วจะบำเพ็ญธรรมอะไรกัน จากนั้นก็จำใจพูด “นี่คุณ มาช่วยฉันเก็บข้าวของหน่อยสิ” “เอาน่าเก็บไปๆก็สิ้นเรื่อง” หากอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจปัญหาต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น ใช่ไหม เมื่อมีปากเสียงเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาอ้าง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล แต่ถึงอย่างไรต่อให้มีเหตุผลดีแค่ไหนก็ควรจะลดหย่อนผ่อนปรนลงบ้าง ใช่หรือไม่ เพราะว่าเขาก็มีจุดแข็งของเขา เราก็มีจุดแข็งของเรา เราอย่าเอาจุดแข็งของเราไปกดดันผู้อื่นจะได้ไหม  เจ้าจะต้องแต่งงานหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคตและเป้นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ก่อนที่เจ้าจะแต่งงาน พระอาจารย์เชื่อว่า แม้เจ้าสามารถดูแลครอบครัวของตนมาดีแล้ว แต่ว่าหลังจากที่เจ้าออกเรือนไปแต่งงาน ครอบครัวใหม่นั้นเจ้าก็ต้องรับภาระหน้าที่หนักเช่นกัน ก่อนจะแต่งงานก็ต้องดูว่าเราสามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้ดีแล้วหรือยัง???  เราจะต้องจัดการครอบครัวของเราให้ดีเสียก่อนถึงจะมีคุณสมบัติที่จะไปจัดการครอบครัวคนอื่นได้ ถูกต้องหรือไม่ จะต้องเข้ากับเขาได้เหมือนกับที่เราสนิทสนมใกล้ชิดกับพ่อแม่ของเรา บิดามีความเมตตา บุตรมีความกตัญญู ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก จากนั้นเราจึงจะมีคุณสมบัติที่จะไปสนทนาถึงธรรมะในครัวเรือนได้ เป็นสามีภรรยาจะต้องคิดถึงใจเขาใจเราให้มาก ใช้จิตใจแห่งความรักก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง จึงจะสามารถให้เกียรติกันได้ การให้เกียรติกันมิใช่ทฤษฎี ขอเพียงเจ้ามีความอดทน รู้จักโอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามจะมีเหตุผลหรือไม่ ก็ต้องรีบจัดการให้ยุติ ตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหม ดังนั้นจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุด ต้องเป็นนายเหนืออารมณ์ รอให้ใจสงบลงแล้วค่อยหันหน้าคุยกัน ไม่ว่าเรื่องราวใดย่อมมีหนทางแก้ เข้าใจไหม?? การอยู่ร่วมกันจะต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ซึ่งกันและกันคือ “การให้เกียรติ” จะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความทุกข์มากมายก็สามารถปล่อยวางและคลี่คลายลงได้ใช่ไหรือไม่ พวกเราจะต้องนำเอา “ธรรมะไปใช้ในครัวเรือน” ซึ่งจะส่งผลแก่คนรอบข้างให้เขาได้เห็นว่าบำเพ็ญธรรมในครัวเรือนก็ดีเช่นนี้นี่เอง ครอบครัวผู้บำเพ็ญธรรมก็มีความรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมีความสุข ดังนั้น ผู้บำเพ็ญจะต้องทำตนเป็นแบบอย่าง ง่ายที่สุดคือการสร้างครอบครัวตัวอย่าง เมื่อมีญาติธรรมไปเยี่ยมเยียนเจ้าถึงบ้าน บ้านของเจ้าก็ดูสะอาดเป็นระเบียบ มีอัธยาศัยไมตรี สุภาพ อ่อนโยน ไปทุกครั้งเช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็จะเป็นครอบครัวธรรมะ ครอบครัวนี้จึงเรียกว่า “ครอบครัวบำเพ็ญ” ใช่ไหม???

สามีที่ดีกับศรีภรรยา

 

พูดถึงคนที่เป็นสามีภรรยา หากสามีภรรยาร่วมบำเพ็ญธรรมกันพร้อมหน้า แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเข้าใจในหลักธรรมเหมือนกัน บางทีคู่ครองของเจ้าอาจจะคิดว่ากาลเวลาคับขันจะต้องเร่งรีบปฏิบัติธรรม หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวันก็ไม่อยู่บ้านสักวันแถมบางครั้งยังไปต่างประเทศ ส่วนเจ้าก็คิดว่าต้องดูแลครอบครัวให้ดีก่อนเวลาว่างจึงจะไปสถานธรรม มีบ้างหรือไม่ เพราะความเห็นที่ต่างกันจึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถึงตอนนั้นจิตใจก็เริ่มเย็นชา สามวันไม่พูดจา ห้าวันอาละวาดกันครั้งใหญ่ ต่างคนต่างคิดว่าทะเลาะกันไปเพื่องานธรรม น่าขำไหม????? บางครั้งพวกเจ้าจะต้องคิดถึงใจเขาใจเรา พูดคุยกันให้รู้เรื่องเพื่อหาทางแก้ไข แล้วเจ้าก็จะรู้สึกดี เขาก็จะรู้สึกดีเหมือนกัน รู้ไหม??? บางคนทำงานธรรมได้อย่างฉลุย ประสบความสำเร็จแต่ว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านล่ะ เอาสีหน้าเย็นชากลับไปให้คนที่บ้านดูให้รู้ทุ่มเทเต็มที่ กลับมาถึงก็เข้านอน ไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งสิ้นทำเช่นนี้ก็ไม่สมบูรณ์ สามีภรรยาก็เหมือนนกป่าเดียวกัน อยู่กันนานวันบรรยากาศก็จืดชืด ทำตัวปล่อยปะละเลยหลงลืมไปว่าต้องให้ความเคารพซึ่งกัน เริ่มพูดจาที่น้ำเสียงที่ไม่ดี ในบางครั้งก็เผลอหลุดปากใช้ถ้อยคำหยาบช้า ด่าว่ากันเสียงดัง อีกฝ่ายก็เกิดความรำคาญ มันเป็นเช่นนี้ไหม????  บางครั้งหน้าที่การงานของสามีไม่ราบรื่น คนที่เป็นภรรยามีเงินเดือนสูงกว่าสามีเสียอีก จึงเกิดความหยิ่งยโสดูถูกสามีของตัวเอง สมควรทำเช่นนี้ไหม???? ในเวลาเช่นนี้ เจ้าควรที่จะให้กำลังใจสามี ประคับประคองช่วยเหลือให้เขาสามารถยืนขึ้นมาใหม่ให้ได้ นอกจากนี้ยังมีสามีบางคนลงมือตบตีภรรยา เป็นเพราะเขาไม่ให้ความอบอุ่นเพียงพอหรือ???  หรือเขาขาดความอดทน หรือว่าเขาปากเสีย เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ใช้คำพูดถากถาง นี่เป็นเพราะเจ้ายังไม่สงบที่จะไตร่ตรองถึงสาเหตุที่แท้จริง ใช่หรือไม่??   ยังมีปัญหาแม่สามีกับลูกสะใภ้เข้ากันไม่ได้ใช่ไหม พวกเจ้าผู้ชายต้องอยู่ระหว่างกลาง จะช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ดี หากว่าเจ้าเข้าข้างภรรยา ไล่พ่อแม่พี่น้องออกจากบ้าน คนอื่นเค้าจะว่าเจ้าอย่างไร  คนอื่นเค้าคงไม่พูดถึงเจ้าเท่าไรแต่จะพูดถึงภรรยาเจ้าเสียมากกว่า พวกเราจะต้องรู้จักวางตัวให้เป็น ไม่มีเรื่องอะไรยากเกินแก้ขาดแต่เพียงการประสานทำความเข้าใจกันเท่านั้น เพราะเราทุกคนล้วนมาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันก็ย่อมมีความเคยชินในการดำเนินชีวิตที่ต่างกันเป็นธรรมดา ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไม่ใช่ยิ่งกระพือให้ไฟลุกลามเร็วขึ้น 

การอยู่ร่วมกันนอกจากเราจะต้องเห็นใจผู้อืนแล้ว เราต้องยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองด้วย ไม่ใช่มองคนอื่นผิดแต่อย่างเดียวแต่มองตัวเองผิดไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ใช่คนที่น่าเป็นมิตรด้วยbuddshimsawadee

เครือญาติ ของตนทุกคนอย่าลืม

 

เจ้ามีงานธรรมมากมายรัดตัวแล้วคนในครอบครัวของเจ้าล่ะ ศรัทธาต่อธรรมะบ้างไหม ญาติพี่น้องของเรามีความเข้าใจธรรมะมากน้อยแค่ไหน เจ้าทั้งหลายพูดว่า “เมื่อจะปฏิบัติงานธรรมจะต้องสละและปล่อยวาง” เจ้าจะละทิ้งการงานและครอบครัวปล่อยวางผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับชีวิตเจ้าอย่างนั้นหรือ ขอถามว่าคนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต้องอาศัย อากาศเพื่อหายใจ ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมใช่ว่าจะแยกตัวออกจากสังคมและผู้คนได้ คนในครอบครัวที่ผูกพันธ์กันมานานกับเจ้า แต่เจ้าอยากสลัดทิ้ง เจ้าสลัดทิ้งทางนี้และไปส่งเสริมญาติธรรม ส่วนผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับเจ้าจะให้ใครไปส่งเสริม เคยคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ไหม ในโลกนี้คนที่เกี่ยวพันกับชีวิตเจ้าถือว่าญาติสนิท หากเจ้าไม่มีเยื่อใยนั่นแสดงว่า “ใจจืดใจดำ” ระบอบนี้มาจากไหน เจ้าทั้งหลายส่งเสริมนักธรรมรุ่นหลังด้วยความคิดผิดๆเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะรับผิดชอบต่อครอบครัวเขา รับผิดชอบไหวหรือ???? ท่านมุฮัมมัดกล่าวไว้ว่า “ความสัมพันธ์ทางเครือญาติจะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเพิ่มอายุขัยให้ยืนยาวแม้ว่าผู้ปฏิบัตินั้นจะมิใช่คนดีก็ตาม”……..

………………………………………………………………………………………

                                                 ผู้นำที่ดี

สมมุติว่าเราเป็นต้นไม้ใหญ่ เป้นผู้นำครอบครัว ยกตัวอย่างผู้นำเป็นฝ่ายชาย ผู้ชายคนนี้เติบดตเป็นต้นไม้ใหญ่เป็นผู้นำครอบครัว ลมพัดภรรยามา ถามว่าจะทำอย่างไร สามีเป็นต้นไม้ใหญ่ลมภรรยาหอบพายุพัดโหมกระหน่ำตอนนี้ภรรยาพังหรือสามีพัง พอสามีพังใครพังตาม…..พอสามีพังภรรยาก็พังด้วย เพราะฉะนั้นถามว่าให้ใครยอมใครก่อนให้ภรรยายอมก่อนดีไหม ภรรยาไม่ต้องเป็นลมพายุ ไม่ต้องมีอารมณ์ อย่าโมโหจะได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็ให้สามียอมก่อนแล้วกัน ยอมเป็นต้นหญ้าเล็กๆจะได้ไหม เพราะฉะนั้นคนที่โง่ที่สุดคือคนที่ฉลาดที่สุด ทำตัวแสร้งโง่บ้าง ยอมเป็นต้นหญ้าเล็กๆเพราะอย่างไรเราก็เป็นผู้นำครอบครัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ปัญหาการทะเลาะวิวาทมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสามีภรรยา มีเรื่องทะเลาะกันได้ทุกวัน หากเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร ทำอย่างไรดี ฝ่ายหนึ่งร้อนอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเย้นใช่หรือไม่ แล้วส่วนใหญ่เราร้อนหรือเย็น โบราณมีคำพูดหนึ่งที่เอาไว้สอนคนที่มีครอบครัวแล้ว สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่เหมือนสมัยนี้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ทำไมถึงต้องมีผู้นำ ก็เหมือนกับที่บอกไว้เมื่อตะกี้ว่าฝ่ายหนึ่งร้อนอีกฝ่ายต้องเย้นใช่หรือไม่แสดงว่าคนหนึ่งเป็นเท้าหน้าอีกคนต้องเป็นเท้าหลังแต่ในสมัยก่อนนั้นกำหนดไว้เลยว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังแต่สมัยนี้อาจารย์ไม่อยากจะสอนถ้าสอนแบบนี้ก้คงจะมีคนคัดค้านเพราะฉะนั้นขอพูดเพียงเล็กน้อย สมัยก่อนผู้ชายต้องมีคุณธรรม ผู้หญิงจึงเดินตาม ฉะนั้นถ้าหากในครอบครัวเราเป็นผู้ชายเราก็มาตรวจสอบว่าเรามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหนแล้วฝ่ายหญิงก็มาตรวจสอบด้วยว่า แฟนของเรามีคุณธรรมอยู่หรือไม่ถ้ามีเราก็ควรจะเดินตาม ไม่ใช่เดินไปสกัดไป ใช่ไหม ฝ่ายหญิงหากฝ่ายชายไม่ค่อยมีคุณธรรมจะทำอย่างไร สมัยนี้บอกว่าสิทธิเท่าเทียมกันถ้าอย่างนั้นฝ่ายหญิงต้องมีคุณธรรมก่อนแล้วเอาความดีนั้นไปชนะใจสามี ใช่หรือไม่ ในเมื่อพูดเองว่าสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจึงสามารถโน้มนำฝ่ายชายให้เดินตามเราได้ แต่เมื่อเขาเดินตามแล้วก็อย่าชะล่าใจ ต้องระวังใจไว้พอประมาณ สามีภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์ให้เกียรติกัน เข้าใจซึ่งกันและกันหากสามีไม่เข้าใจภรรยาหรือภรรยาไม่เข้าใจสามีแล้วจะมีใครอีกเล่าที่จะมาเข้าใจ???