ความอารี

 

                    ความอารีคือ ความประพฤติตนโดยไมตรีจิตให้เป็นที่ชอบพอของผู้อื่น ความอารีนั้นเป็นอัธยาศัยสำคัญ ซึ่งผู้ไปรับราชการอยู่ตามหัวเมืองจะต้องพากเพียรประพฤติ เพราะเป็นทางที่จะให้บังเกิดความดีได้ยิ่งกว่าอย่างอื่น ความอารีที่กล่าวในที่นี้ จำแนกเป็น 3 ประการคือ ความอารีต่อผู้ใหญ่ ความอารีต่อผู้ใหญ่นั้นผู้ใหญ่คือผู้ที่เป็นหัวหน้าของตนในต่ำแหน่งและแผนกราชการนั้นๆ ตนเป็นผู้น้อยควรมีความเคารพด้วยกิริยาและวาจา แม้ลับหลังก็อย่าได้แสดงความหมิ่นประมาทลบหลู่ด้วยประการใดอีกประการหนึ่ง ต้องตั้งใจช่วยเหลือกิจธุระในหน้าที่ของผู้ใหญ่ให้สุจริตและเต็มกำลังตน และต้องกระทำตามบังคับคำสั่งของผู้ใหญ่อย่าดื้อดึงโดยทิฐิมานะ นี่แหละชื่อว่าความอารีต่อผู้ให ญ่ การที่ประพฤติอารีต่อผู้ใหญ่ย่อมมีความรู้และความคุ้นเคยในแบบแผนการงานมากกว่าผู้น้อย ถ้าเขามีไมตรีจิตเขาย่อมบอกเล่าสั่งสอนแบบแผนและธุระให้ผู้น้อยมีความรู้เป็นคุณสมบัติดียิ่งขึ้น อีกประการหนึ่ง ถ้าผู้ใหญ่ยกย่องสรรเสริญ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ในทางความดีของผู้น้อยด้วย ความที่ว่ามาในข้อนี้ควรเข้าใจว่าบรรดาผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่เหนือตัวเราแม้มิใช่ผู้ที่อยู่ยอดในที่นั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่อันควรเคารพด้วยประการทั้งปวง ความอารีต่อผู้เสมอกัน ความอารีต่อผู้ที่เสมอกันนั้นหมายความว่า ข้ราชการในแผนกเดียวกันก็ดีหรือต่างหมู่ต่างกองต่างแผนกก็ดี บรรดาที่เราไม่ได้อยู่ในบังคับเขา และเขาไม่ได้อยู่ในบังคับเราหมายความในที่นี้ว่าเป็นผู้ที่เสมอกัน ความคบค้าสมาคมมีเพื่อนฝูงชอบพอกันมากย่อมเข้าใจอยู่ด้วยกันแล้วว่าดีกว่าที่ประพฤติตัวคับแคบ แต่ยังไม่สำคัญเท่าระวังอย่าให้เป็นที่เกลียดชังของเพื่อนข้าราชการ เพราะถ้าไม่มีใครเกลียดชังแล้ว ก็จะมีแต่ผู้ที่ชอบพอ แม้มิมากก็น้อย ก็ย่อมเป็นคุณแก่ตัว อนึ่งความชอบกันก็ดี ความชังก็ดี อาจจะมีได้ทั้งในส่วนตัวและบางทีเลยไปถึงในราชการจะชอบจะชังกันโดยส่วนตัว คุณโทษพอประมาณ ไม่เหมือนชอบและชังกันในราชการ ถ้าราชการในที่ใดปรองดองโดยชอบพอช่วยอุดหนุนกันในราชการทุกที่หน้าที่ ความเจริญย่อมมีแก่ราชการในที่นั้น และบรรดาข้าราชการในที่นั้นก็ย่อมได้รับความชอบและความดีด้วยกันโดยง่าย ถ้าหาว่าข้าราชการในที่ใดถือตัวเป็นต่างพวกต่างเหล่า เป็นเราเป็นเขา ไม่ประนีประนอมอุดหนุนต่อกัน ความวิวาทเกี่ยงแย่งคงเกิดขึ้นในที่นั้นพาให้เสื่อมเสียราชการและเสียประโยชน์ทางความชอบความดีของข้าราชการในที่นั้นด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความจริงดังนี้ เพราะฉะนั้นผู้ใดกระทำการเพื่อความดี จำต้องตั้งใจรักษาความสามัคคีจงมาก และความประพฤติที่จะรักษาความสามัคคีนั้นเป็นสำคัญก็คือ รู้จักอดกลั้นโทสะอย่าโกรธง่ายนักประการหนึ่ง รู้จักผ่อนผันเอาใจผู้อื่นประการหนึ่ง ความประพฤติตนให้เป็นไปในความสามัคคีกับเพื่อนราชการ นี่แหละจัดว่าเป็นความอารีต่อผู้ที่เสมอกัน  ความอารีต่อผู้น้อย ความอารีต่อผู้น้อยนั้นคือ ความประพฤติโอบอ้อมอารีต่อข้าราชการและราษฎรที่อยู่ในบังคับปกครองของตนให้มีความนิยมนับถือ ความอารีต่อผู้น้อยนั้น นับเบื้องต้นแต่ข้าราชการหรือเสมียนพนักงานและกำนันผู้ใหญ่บ้านที่อยู่ในบังคับของตน ต้องบังคับบัญชาว่ากล่าวด้วยกิริยาวาจาอันสุภาพ อย่าดุร้ายหยาบคายประการหนึ่ง ต้องเอาใจใส่ในทุกข์สุขของเขา ให้เขาแลเห็นว่าเราย่อมแลเห็นอกผู้น้อย ประการหนึ่งและต้องเป็นธุระแนะนำสั่งสอนผู้น้อยให้เข้าใจรู้จักการงานในต่ำแหน่งและหน้าที่ของเขาประการหนึ่ง นี่ชื่อว่าความอารีแต่จะหลงอารีเลยไปจนปล่อยให้ผู้น้อยเกียจคร้านหาแต่ความสบายไม่ทำการงานนั้นไม่ได้ ความหลงอารีเช่นนั้นแม้บางทีจะเป็นที่ชอบใจของผู้น้อย ไม่ช้าก็จะพากันมีความผิด เพราะการงานในหน้าที่จะเสื่อมเสียไปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในส่วนการงานต้องบังคับบัญชาให้เต้มที่ตามหน้าที่ เอาการงานเป็นใหญ่ ถ้าจะหาอุบายอย่างใดที่จะให้ผู้น้อยทำการแข็งแรง ไม่มีอุบายอย่างอื่นจะดีกว่าที่ตัวเราของเราออกหน้าทำการให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างว่าเราต้องการให้เขามีความอุตสาหะเท่าใด ตัวเราเองก็ย่อมมีความอุตสาหะเท่านั้น นี่เป็นอุบายอย่างดีไม่มีอย่างอื่นสู้ ถ้าผู้ใหญ่เกียจคร้านเสียเองแล้วถึงจะขู่เข็ญประการใดก็ยากที่จะให้ผู้น้อยหมั่นทำการงานได้ ที่ว่ามานี้เป็นส่วนความอารีต่อข้าราชการผู้น้อยซึ่งอยู่ใต้บังคับ แต่ความอารีที่เป็นยอดของความอารีทั้งปวงนั้นคือความอารีต่อราษฎรกล่าวคือประพฤติตนให้ราษฎรที่อยู่ในความปกครองของตนมีความนิยมรักใคร่นับถือนี่เป็นความอารีที่อาจจะมีผลในทางความดีได้ยิ่งกว่าอย่างอื่น

:  พระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ความอุตสาหะ

 

          ความอุตสาหะคือ ความประพฤติที่กระทำการงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้เสมอคือ อย่าทำการแต่พอจุใจชั่วครั้งหนึ่งคราวหนึ่งแล้วหน่ายเนือยไปเสีย อย่าทำการโดยมักง่ายและที่สุดอย่าเกียจคร้าน นี่แหละชื่อว่าความอุตสาหะ ความอุตสาหะในที่นี้จำแนกเป็น 3 ประการคือ อุตสาหะแสวงหาความรู้ประการหนึ่ง อุตสาหะทำการงานประการหนึ่ง และอุตสาหะระวังการงานประการหนึ่ง…………….. ความอุตสาหะแสวงหาความรู้ ข้อที่ว่านี้ความอุตสาหะแสวงหาความรู้นั้น ความรู้อันบุคคลที่รับราชการอยู่ตามหัวเมือง ต้องอาศัยหลักสำคัญมีอยู่ 3 อย่างคือ อย่าที่ 1 ความรู้ท้องที่ที่ตนไปอยู่รับราชการ คือต้องหมั่นเที่ยวเตร่ให้รู้จักภุมิลำเนาท้องที่ทั่วไป ละให้รู้จักคุ้นเคยกับผู้คนพลเมืองซึ่งอาศัยอยู่ในท้องที่เหล่านั้นให้กว้างขวาง อย่างที่ 2 รู้ทุกข์สุขของผู้คนพลเมืองในท้องที่เหล่านั้น คือต้องหมั่นสดับฟังให้รู้ว่าผู้คนพลเมืองรู้สึกว่ามีความทุกข์สุขอยู่ประการใด อย่างที่ 3 รู้กิจธุระอันเป็นหน้าที่ของตน กล่าวคือ แบบแผนหรือกฎหมายอย่างธรรมเนียมที่ตนต้องใช้ ต้องทำในหน้าที่สิ่งที่รู้อยู่แล้วหมั่นตรวจตราอย่าให้หลงลืม สิ่งที่ยังไม่รู้คือแบบแผนอย่างธรรมเนียมและกฎหมายที่ตั้งและมีขึ้นใหม่บรรดาเกี่ยวด้วยหน้าที่ของตนจะต้องเอาใจใส่ศึกษาให้รู้ไว้ ความรู้ทั้งสามอย่างที่กล่าวมานี้ เป็นข้อสำคัญที่จะต้องอุตส่าห์ขวนขวายให้มีแก่คนอย่างมากที่สุดที่จะมีได้  ความอุตสาหะทำการงานนั้นคือ ต้องตั้งใจทำการงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้สำเร็จตลอดโดยอย่างดีและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความประพฤติในข้อนี้คือการงานอย่างใดเป็นกิจธุระในหน้าที่ของตน ต้องตั้งใจทำให้เป็นอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ ทำแล้วต้องพิเคราะห์ ถ้าเห็นว่ายังขาดตกบกพร่องอยู่ในที่ใดอย่างใด ต้องแก้ไขทำให้บริบูรณ์ อย่ามักง่าย ความมักง่ายนั้น คือทำสักแต่พอให้รู้สึกว่าได้ทำแล้ว ไม่พิเคราะห์ว่าทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์แก่การที่ทำหรือไม่ ยกตัวอย่างดั่งเช่นนายอำเภอ เมื่อรู้ข่าวว่าเกิดโจรผู้ร้ายเป็นแต่สั่งไปให้แต่กำนันจับ ไม่พิเคราะห์ถึงการที่จะจับจะกุมจะควรวางการอย่างไร หรือจะให้ผู้ใดไปทำการอย่างไรที่จะให้ได้ตัวผู้ร้ายและพยานหลักฐาน ไปมัวพอใจเสียว่าได้สั่งไปแล้วเป็นได้ทำการตามหน้าที่แล้ว เช่นนี้เรียกว่า มักง่าย สาธกให้เห็นเป็นตัวอย่าง จะทำการให้ดีต้องพิเคราะห์หมายเอาความสำเร็จของการนั้นเป็นใหญ่จะผลักพอให้พ้นไปแล้ว และซัดภายหลังแต่ว่าได้สั่งแล้ว หรือบอกแล้วนั้นไม่ได้ อีกประการหนึ่ง อย่าผัดเพี้ยนตนเอง การอย่างใดควรจะทำให้สำเร็จได้ในเวลาเช้า อย่ารอไปทำให้สำเร็จต่อเวลาเย็น การสิ่งใดควรสำเร็จได้ในเวลาเย็น อย่าผัดไปทำต่อรุ่งเช้า เมื่อว่าโดยย่อให้ตั้งใจอุตสาหะอย่าให้มีธุระอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้สำเร็จได้คั่งค้างอยู่ นี่คือความอุตสาหะกระทำการ  ความอุตสาหะระวังการงานนั้นคือ หมั่นตริตรองคิดอ่านการในหน้าที่ของตน ถ้าคิดเห็นว่าทำอย่างใดการงานจะดีขึ้น แม้การนั้นอยู่ในอำนาจตนจะทำได้ก็ต้องทำ ถ้าเป็นการเหนืออำนาจตนก็รีบบอก และหารือต่อผู้ใหญ่เหนือหัว เพื่อที่จะให้ราชการในหน้าที่ของตนดียิ่งขึ้นอย่างหนึ่ง หมั่นไปตรวจตราการอันอยู่ในปกครองหรือหน้าที่ของตนเสมอ เมื่อเห็นความเสื่อมเสียอย่างใดจะเกิดขึ้น ถ้าพอจะแก้ไขได้ต้องรีบแก้ ถ้าเหลือกำลังและอำนาจที่จะทำได้ ก็ควรรีบรายงานต่อผู้ใหญ่ และคอยตักเตือนท่านอย่านอนใจอย่างหนึ่ง และเมื่อรู้เห็นว่าการงานอันใดจะมีมาถึงหน้าที่ตนในเบื้องหน้า ต้องตระเตรียมไว้ให้พร้อม เมื่อการนั้นมีมาถึงก็ให้ได้ทำการนั้นได้ทันท่วงทีอย่างหนึ่ง ความข้อนี้ยกตัวอย่าง ดั่งผู้ที่เป็นนายอำเภอคนใด ในปีมีฝนน้อย คิดปรารภถึงไร่นา เห็นว่าน้ำจะไม่นอนทุ่งนานพอเลี้ยงต้นข้าวในนาของราษฎร ก็ออกตรวจตรานับหมายห้วยคลองเสียแต่เวลาแรกน้ำไหลเข้าทุ่งและสั่งกำนันผู้ใหญ่บ้านให้แนะนำราษฎรให้ตระเตรียมการไว้ ครั้นเมื่อเห็นน้ำไหลกลับออกจากทุ่งเสียก่อนฤดูกาล ก็ประกาศป่าวร้องให้ราษฎรลงทำนบปิดกั้นน้ำไว้ได้ทันท่วงทีไม่ให้นาเสีย อย่างนี้เรียกว่านายอำเภอคนนั้นอุตสาหะระวังการโดยถูกต้องอย่างหนึ่ง การต่างๆที่จะต้องตรวจตราต้องเตรียมระวังไว้ก่อนมีอยู่เป็นอันมากความอุตสาหะเที่ยวตรวจตราและตริตรองระวังการในหน้าที่ที่จะมีเช่นนี้เป็นการสำคัญอย่างหนึ่ง 

:   พระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ความซื่อตรง

 

                     ความซื่อตรง ในที่นี้จะกล่าวจำแนกเป็น 3 ประการคือ ความซื่อตรงต่อราชการประการ 1 ความซื่อตรงต่อหน้าประการ 1 และความซื่ออตรงต่อตำแหน่งของตนประการ 1 ในข้อที่กล่าวว่าความซื่อต่อราชการนั้นจะต้องชี้แจงให้เข้าใจว่าอะไรเป็นราชการ ราชการแปลว่า การของพระราชา คือ การอันเป็นหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดินที่จะต้องทรงเป็นพระราชธุระปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและพระราชอาณาจักรผู้เป็นข้าราชการก็คือผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงเลือกสรรยกย่องให้เป็นผู้ช่วยทำราชการความมุ่งหมายของราชการนั้นจำแนกโดยใจความเป็น 3 ประการคือ 1. ที่จะให้คนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นปกติมิให้เบียดเบียนซึ่งกันและกันประการหนึ่ง   2.  ที่จะให้พระราชอาณาจักรเจริญบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และสิ่งซึ่งเป็นเครื่องเกื้อกูลแก่ความสุขสำราญของคนทั้งหลายประการหนึ่ง  3. ที่จะปกกันและรักษาความเป็นอิสรภาพของพระราชอาณาจักรกล่าวคือ ที่จะให้พระราชอาณาจักรนี้คงอยู่ในความปกครองของพระเจ้าอยู่หัวมิให้ชาติอื่นมาย่ำยีได้ประการหนึ่ง ที่เรียกว่าราชการรวมอยู่ในความมุ่งหมาย 3 ประการที่อธิบายมานี้ผู้ที่ทำราชการ ไม่ว่าทำในต่ำแหน่งหรือหน้าที่มีบรรดาศักดิ์ใหญ่น้อยเพียงใด ย่อมทำราชการเพื่อประโยชน์ 3 ประการนั้น ราชการที่แบ่งเป็นหลายกระทรวง เช่นฝ่ายทหารบ้าง ฝ่านพลเรื่อนบ้างก็ดี หรือที่แบ่งต่างกันเป็นฝ่ายธุรการและตุลาการก็ดีหรือที่แบ่งเป็นพนักงานมีหน้าที่ต่างกันก็ดี สักแต่ว่าเป็นสาขาแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อความสะดวกของราชการแต่เมื่อรวมลงก็คงเพื่อประโยชน์ของราชการที่มีใจความ 3 ประการดังจำแนกมานั้น ความซื่อตรงต่อราชการคือ ความปลงใจและประพฤติโดยมุ่งหมายมั่นคงให้การทั้งปวงอันอยู่ในหน้าที่ของตนหรือที่ตนพึงจะกระทำได้ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของราชการ นั่นแหละชื่อว่าความซื่อตรงต่อราชการ เมื่อว่าโดยความประพฤติในความซื่อตรงต่อราชการนั้นก็คือที่จะคิดหรือทำการอันใด ต้องเพ่งต่อประโยชน์ของราชการ กล่าวคือ ความสุขสำราญของมหาชนทั่วไป ความเจริญของบ้านเมืองและความป้องกันรักษาอิสรภาพของพระราชอาณาจักรเป็นยิ่งกว่าประโยชน์ตน หรือประโยชน์เอกชนอื่นๆ และพึงระวังอย่าให้ความคิดและการที่กระทำเป็นเครื่องเสื่อมเสียประโยชน์ของราชการที่ว่านี้ได้เป็นอันขาด  ความซื่อตรงหน้าที่นั้นคือ เมื่อตนได้รับราชการในหน้าที่ใดต้องตั้งใจทำเพื่อให้ราชการในหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ถึงว่าจะเป็นความลำบากยากเหนื่อยแก่ตนเพียงไรหรือแม้ที่สุดจะต้องเข้าไปใกล้ต่ออันตรายเท่าใดก็ไม่ละทิ้งหน้าที่และไม่ปล่อยให้ราชการในหน้าที่ของตนเสื่อมเสีย นี่แหละชื่อว่าความซื่อตรงต่อหน้าที่ หน้าที่นั้นให้พึงเข้าใจว่าเป็น 3 ขั้นโดยลำดับกัน คือหน้าที่ในตำแหน่งของตนชั้นหนึ่ง หน้าที่ที่ตนเป็นข้าราชการชั้นหนึ่ง และหน้าทีที่ตนเป็นข้าแผ่นดินชั้นหนึ่งหน้าที่ทั้ง 3 ขั้นนี้เป็นลำดับขั้นกันโดยอธิบายว่า หน้าที่ในต่ำแหน่งนั้นคือ หน้าที่เฉพาะต่ำแหน่งของตนในราชการเช่นตนเป็นพนักงานคลังย่อมมีหน้าที่ในการทำบัญชีและรับเก็บจ่ายเงินหลวง การเหล่านี้เป็นหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ ผู้มีต่ำแหน่งอยู่ในพนักงานใดต้องถือว่าหน้าที่ของตนในพนักงานนั้นเป็นสำคัญ ยังหน้าที่ที่เป็นราชการนั้นคือ หน้าที่อันร่วมกันในข้าราชการทั้งปวง เช่น เวลามีราชการสำคัญเกิดขึ้นก็ดี หรือมีราชการหนักหนาเกิดขึ้น แต่หากราชการนั้นอยู่ในต่ำแหน่งของผู้อื่นก็ดี การเหล่านี้ย่อมเป็นราชการแม้มิใช่การในแผนกของตน ก็ต้องเอาใจใส่ช่วยทำโดยเต็มกำลังตามหน้าที่ของข้าราชการ จำต้องช่วยราชการอย่าเพิกเฉยเสีย โดยถือว่ามิใช่ราชการในต่ำแหน่งของตนนั้นไม่ได้ ส่วนหน้าที่ของข้าแผ่นดินนั้นคือ รักษาความประพฤติของตนให้เป็นไปโดยชอบด้วยพระราชกำหนดกฏหมาย ซึ่งบังคับให้คนทั้งหลายประพฤติทั่วกัน คือ ที่มิให้เบียดเบียนกันเป็นต้น ต้องเข้าใจว่าบรรดาคนทั้งหลายถึงจะแตกต่างโดยยศฐานันดรศักดิ์สูงต่ำเพียงใด นอกจากพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวแล้ว ก็ย่อมนับว่าเป็นข้าแผ่นดินด้วยกันทุกคน มีหน้าที่ในส่วนที่เป็นข้าแผ่นดินอย่างเดียวกันทุกคน  ความซื่อตรงต่อต่ำแหน่งนั้นคือ ต้องเข้าใจว่าผู้ที่เป็นข้าราชการมีต่ำแหน่งย่อมเป็นผู้ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงซุบเลี้ยง โดยได้เลือกสรรเห็นว่าเป็นผู้มีคุณวุฒิและความดีกว่าคนทั้งหลายเป็นอันมาก ทั้งประกอบด้วยความซื่อสัตย์และสุจริตควรเป็นที่เชื่อถือแล้ว จึงได้โปรดตั้งแต่งให้มีอำนาจและหน้าที่ในราชการ เพราะฉะนั้นผู้เป็นราชการ เมื่อรู้สึกอยู่เช่นนี้ต้องประพฤติอยู่ในความซื่อสัตย์คือ พูดหรือทำอะไรให้เป็นที่เชื่อถือได้แน่นอน ไม่ปดโป้โลเลประการหนึ่ง อยู่ในความสุจริตคือ ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงคดโกงผู้หนึ่งผู้ใดประการหนึ่ง และต้องประพฤติกิริยาและวาจาให้เป็นผู้ดีอันสมกับตำแหน่งนั้น ความข้อนี้อย่าหลงเข้าใจว่าการที่พูดจาหรือทำท่าทางวางโตให้คนอื่นเห็นว่าเป็นขุนนางนั้น เป็นการสมควรแก่กิริยาวาจาของผู้ดีที่เป็นข้าราชการ ผู้ประพฤติเช่นนั้นไม่มีใครชมว่าเป็นผู้ดี อันกิริยาและวาจาของผู้ดีนั้นคือ กิริยาและวาจาซึ่งไม่มีผู้ใดติเตียน คือพูดกับใครก็ให้ถูกหูเขา กิริยาอาการของตนที่ประพฤติต่อใครก็อย่าให้เขาเป็นที่รังเกียจ นั่นแหละ คือวาจาและกิริยาของผู้ดี

:   พระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ