สงบ สยบแข็งกร้าว

 

อุปสรรคของการแก้นิสัยคือ”ความเกลียด” รู้จักความเกลียดไหม??? ในครอบครัวของเรานั้นมีสามีภรรยาลูก ถ้าสามีภรรยาชอบทะเลาะกัน ต่างคนต่างมีทิฏฐิเป็นของตัวเอง ภรรยาอยากให้สามีเลิกดื่มเหล้า ภรรยาก็เกลียดนิสัยการดื่มเหล้าของสามี สามีอยากให้ภรรยาเลิกเล่นไพ่ สามีก็เกลียดนิสัยการเล่นไพ่ของภรรยา ในที่สุดปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ แท้จริงแล้วเราไม่อยากให้เขาแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเรายังเกลียดนิสัยเขาอยู่ เราจึงไม่สามารถบอกให้เขาเลิกได้ เพราะทุกครั้งที่บอก เราก็ใช้อารมณ์ใส่กัน พูดกันดีๆไม่เป็น ฉะนั้นความเกลียดจึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการแก้นิสัย ในขณะที่เราต้องการให้เขาแก้นิสัยเสียๆ เราก็อย่าเพิ่งไปมีอคติเกลียดเขาก่อน จะต้องมีจิตเมตตา ใช่หรือไม่???   สามีภรรยาถ้าทำตัวแข็งกระด้าง ปากแข็ง ใจแข็ง ความคิดก็แข็ง เหมือนเข้าช่องแข็งไม่ยอมละลาย คนอื่นทำให้ละลายได้ไหม ก็ไม่ได้ เคยได้ยินคำว่า “น้ำหยดลงหิน” ไหม (ทุกวันหินยังกร่อน) คำนี้ใช้ได้ไหม ?? เรารู้ทุกสิ่งอย่างจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่??? เช่นเดียวกับที่บอกว่า “น้ำหยดลงหินทุกวันมันยังกร่อน” แสดงว่าหากเรานั้นทำตัวให้อ่อนเข้าไว้ ไม่แข็งกร้าว มีความอ่อนโยนและสุภาพ อย่างนี้จะใช้ได้ผลไหม??? คนที่แข็งเราก็รับได้ในคนที่อ่อนเราก็กลมกลืน

                           ……… สามีภรรยาร่วมบำเพ็ญ……………

สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่บำเพ็ญจนเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู นิสัยอารมณ์เลวร้ายต่างๆก็ไม่เปลี่ยนแปลง การมาสถานธรรมเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าพูดว่าฉันจะไปสถานธรรมแล้วคุณหากินเอาเองแล้วกัน ทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก ตัวเจ้าเองจะต้องทำให้ดีเสียก่อนจึงจะสามารถส่งเสริมคนอื่นได้ สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญจะต้องรู้จักชื่นชมซึ่งกันและกัน แต่ไม่ใช่การโกหกพกลมนะ ใช้คำพูดที่แสดงถึงความรักความปรารถนาดี ส่วนคำพูดโกหกนั้นอย่านำมาใช้กับลูกและภรรยา หากเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายจึงจะสามารถบำเพ็ญร่วมกันไปตลอดรอดฝั่ง การบำเพ็ญธรรมในยุคขาวจะต้องเป็นทั้งนักบวชและฆราวาส เจ้ามาสถานธรรมได้สดับธรรมจากอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและอาจารย์บรรยาย จึงรู้ว่าจะต้องบำเพ็ญขัดเกลาอย่างไร??? จะต้องปรองดองพี่น้องอย่างไร และจะต้องกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างไร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพื้นฐานของมนุษยธรรมที่ควรปฏิบัติให้สมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกัน พวกเราจะต้องพิจารณาดูตัวเองว่าสถานภาพของตนพร้อมที่จะออกมาช่วยงานธรรมได้มากน้อยแค่ไหน ครอบครัวเรายังต้องการดูแลเอาใจใส่จากเราอยู่หรือไม่ มีครอบครัวจึงจะมีประเทศชาติ มีประเทศชาติจึงจะมีโลก อย่าคิดแต่ว่า “ไม่ได้ไปสถานธรรมแค่วันเดียว รู้สึกหงุดหงิด” เจ้าจะต้องคิดว่า “สิ่งที่ฉันได้ทำลงไปในวันนี้สอดคล้องกับหลักธรรมแห่งฟ้าดินหรือไม่” ทำเช่นนี้จึงจะเกิดความสงบสุขขึ้นในจิตใจ แท้จริงแล้วการบำเพ็ญธรรมต้องฟื้นฟูรากเดิม ธรรมะนั้นดีจริงแต่ว่าสิ่งที่คนแสดงออกมานั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ สามีภรรยาร่วมกันบำเพ็ญธรรมจะต้องรู้จักทะนุถนอมกัน หากสามีหรือภรรยาบำเพ็ญฝ่ายเดียวก็ไม่สมบูรณ์ จะต้องคอยเกลี้ยกล่อม ให้อภัยกัน ยังต้องเปิดใจกว้าง จึงจะเกิดความสมบูรณ์ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกแรงสามส่วน อีกฝ่ายก็ต้องช่วยหนุนอีกเจ็ดส่วนจึงจะสมบูรณ์ได้ ในขณะฝ่ายหญิงเมื่อพบเจอเรื่องราวต่างๆ จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวได้ง่ายกว่า ซึ่งมักจะติดปัญหาเรื่องจุกจิก ไม่เหมือนฝ่ายชายที่สามารถเผชิญปัญหาเรื่องราวได้ตามลำพัง  เมื่อมีเรื่องราวใดมากระทบจิตใจให้เข็มแข็งไว้บางครั้งแม้น้ำตาจะไหลรินแต่ว่าจิตใจยังคงมั่น เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อย่าเก็บเอามาคิดฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ว่าเพียงแค่สบตาก็คิดไปว่าเขามีใจให้ จิตใจจะต้องหนักแน่นไม่หวั่นไหว ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องขจัดนิสัยอารมณ์ทางลบออกไปจึงจะเกิดความสมดุล ผู้ชายถึงแม้ว่าจะเข้มแข็ง แต่ก็มักจะแสดงความรุนแรงต่อผู้อื่นได้ง่าย ทั้งชายและหญิงจะต้องปรับธาตุอินและหยางให้กลมกลืน หากผู้หญิงมีความแข็งกร้าวจนเกินไปความอ่อนโยนก็จะลดลง หากผู้ชายมีความอ่อนแอจนเกินไป ก็จะดูเหมือนว่าชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง หากสามารถปรับนิสัยให้สมดุลกันได้ ชีวิตก็จะดูสดใสและมีสีสันมากขึ้น เข้าใจไหม แท้จริงแล้วการจะเป็นครอบครัวบำเพ็ญที่สมบูรณ์ได้นั้นก็ไม่ง่ายนัก บทบาทของผู้หญิงนั้นสำคัญมาก ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมักเป็นสตรีที่มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ สตรีเหล่านี้จะครองตนอยู่ในหลักสามคล้อยตาม คุณธรรมสี่ สามคล้อยตามนั้นคือ อยู่เรือนคล้อยตามบิดา ออกเรือนคล้อยตามสามี สามีเสียชีวิตคล้อยตามลูก ความหมายนอกจากนี้ จิตญาณดำเนินตามหลักครรลองแห่งฟ้า ใจดำเนินตามธรรม กายดำเนินตามการณ์ คุณธรรมสี่ของสตีคือ… คุณธรรม วาจา สีหน้า การงาน กล่าวคือ คุณธรรมเป็นความประพฤติไม่ผิดต่อศิลธรรม วาจาคือสำรวม ไม่พูโหยาบช้าลามก สีหน้าคือ สำรวมกริยา มีสง่า ดูภูมิฐาน ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงภาพพจน์ของครอบครัวนั้นว่ามีความเป็น นสะมาอย่างไร การงานคือ จะต้องเป็นสะใภ้ที่มีความขยันขันแข็ง พ่อแม่สามีจึงจะรักใคร่เอ็นดู ปรนนิบัติดูแลครอบครัวทั่วถึง ไม่ละเลยบกพร่องต่อหน้าที่การงานของตน สตรีมีสามประเภทคือ สตรีที่อ่อนแอ สตรีที่กล้าหาญ และสตรที่เพียบพร้อมคุณธรรม สตรีที่อ่อนแอ…จะไม่สามารถค้ำจุนครอบครัวได้ สอนลูกไม่เป็น ลูกเจ็บไข้ได้ป่วยก็หาทางดูแลรักษาไม่เป็น สตรีที่กล้าหาญ…มักคิดเอาชนะ อยู่เหนือสามี อยากจะเป็นผู้หญิงแกร่ง จำไว้ว่าอย่าได้คิดเอาชนะไปทุกเรื่อง ยิ่งดึงดันชีวิตก็ยิ่งขาดความผาสุกและกลมเกลียว สามีภรรยาจะต้องช่วยเกื้อหนุนค้ำชูซุ่งกัน ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน  สตรีที่เพียบพร้อมคุณธรรม……คือสตรีที่ศึกษาหลักธรรมและนำมาปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็สามารถแก้ไขอุปนิสัยที่ไม่ดีของตนเองด้วย พวกเจ้าพูดแต่ว่าจะมาบำเพ็ญธรรม มาสถานธรรมแล้วให้เกียรติและเคารพซึ่งกัน แต่ทำไมกลับถึงบ้านจึงให้ความเคารพกันไม่ได้ หรือเป็นเพราะในสถานธรรมมีผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่มีใครรู้ลึกรายละเอียดของใคร ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกัน ทำให้ไม่รู้ธาตุแท้ของอีกฝ่าย จึงสวมหน้ากากแสแสร้งทำดีต่อกันได้ใช่ไหม เมื่อกลับถึงบ้านหน้ากากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกต่อไป ธาตุแท้จึงเผยออกมา กลับกันบ้างได้หรือไม่ เมื่อเจ้าไปสถานธรรมให้แสดงธาตุแท้ของตนออกมา เมื่อกลับถึงบ้านสวมหน้ากากทำดีบ้าง หากเป็นเช่นนี้จะมีผลอย่างไร ไม่มีใครทำเช่นนี้หรอก ใช่หรือไม่ เพราะว่าพวกเจ้าต่างให้ความสำคัญกับหน้าตาของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อเข้ามาสถานธรรม พวกเจ้าต่างสวมเสื้อผ้าจัดเครื่องกายกันมาอย่างเรียร้อย ผมเผ้าผ่านการหวี เป่า ดัด ทุกคนดูสวยและดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เมื่อกลับถึงบ้านผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทำหน้ายับ เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบแล้วใช่ไหม ตอนล้างจานทำความสะอาดบ้าน ไม่พอใจก็เอะอะโวยวายขึ้นเสียงดัง “ดูสิเนี่ย หนังสือพิมพ์อ่านเสร็จรู้จักเก็บเข้าที่เข้าทางบ้างสิ!!!!” ไม่มีจิตใจอดทนต่อความลำบากแล้วจะบำเพ็ญธรรมอะไรกัน จากนั้นก็จำใจพูด “นี่คุณ มาช่วยฉันเก็บข้าวของหน่อยสิ” “เอาน่าเก็บไปๆก็สิ้นเรื่อง” หากอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจปัญหาต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น ใช่ไหม เมื่อมีปากเสียงเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาอ้าง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล แต่ถึงอย่างไรต่อให้มีเหตุผลดีแค่ไหนก็ควรจะลดหย่อนผ่อนปรนลงบ้าง ใช่หรือไม่ เพราะว่าเขาก็มีจุดแข็งของเขา เราก็มีจุดแข็งของเรา เราอย่าเอาจุดแข็งของเราไปกดดันผู้อื่นจะได้ไหม  เจ้าจะต้องแต่งงานหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคตและเป้นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ก่อนที่เจ้าจะแต่งงาน พระอาจารย์เชื่อว่า แม้เจ้าสามารถดูแลครอบครัวของตนมาดีแล้ว แต่ว่าหลังจากที่เจ้าออกเรือนไปแต่งงาน ครอบครัวใหม่นั้นเจ้าก็ต้องรับภาระหน้าที่หนักเช่นกัน ก่อนจะแต่งงานก็ต้องดูว่าเราสามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้ดีแล้วหรือยัง???  เราจะต้องจัดการครอบครัวของเราให้ดีเสียก่อนถึงจะมีคุณสมบัติที่จะไปจัดการครอบครัวคนอื่นได้ ถูกต้องหรือไม่ จะต้องเข้ากับเขาได้เหมือนกับที่เราสนิทสนมใกล้ชิดกับพ่อแม่ของเรา บิดามีความเมตตา บุตรมีความกตัญญู ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก จากนั้นเราจึงจะมีคุณสมบัติที่จะไปสนทนาถึงธรรมะในครัวเรือนได้ เป็นสามีภรรยาจะต้องคิดถึงใจเขาใจเราให้มาก ใช้จิตใจแห่งความรักก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง จึงจะสามารถให้เกียรติกันได้ การให้เกียรติกันมิใช่ทฤษฎี ขอเพียงเจ้ามีความอดทน รู้จักโอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามจะมีเหตุผลหรือไม่ ก็ต้องรีบจัดการให้ยุติ ตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหม ดังนั้นจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุด ต้องเป็นนายเหนืออารมณ์ รอให้ใจสงบลงแล้วค่อยหันหน้าคุยกัน ไม่ว่าเรื่องราวใดย่อมมีหนทางแก้ เข้าใจไหม?? การอยู่ร่วมกันจะต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ซึ่งกันและกันคือ “การให้เกียรติ” จะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความทุกข์มากมายก็สามารถปล่อยวางและคลี่คลายลงได้ใช่ไหรือไม่ พวกเราจะต้องนำเอา “ธรรมะไปใช้ในครัวเรือน” ซึ่งจะส่งผลแก่คนรอบข้างให้เขาได้เห็นว่าบำเพ็ญธรรมในครัวเรือนก็ดีเช่นนี้นี่เอง ครอบครัวผู้บำเพ็ญธรรมก็มีความรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมีความสุข ดังนั้น ผู้บำเพ็ญจะต้องทำตนเป็นแบบอย่าง ง่ายที่สุดคือการสร้างครอบครัวตัวอย่าง เมื่อมีญาติธรรมไปเยี่ยมเยียนเจ้าถึงบ้าน บ้านของเจ้าก็ดูสะอาดเป็นระเบียบ มีอัธยาศัยไมตรี สุภาพ อ่อนโยน ไปทุกครั้งเช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็จะเป็นครอบครัวธรรมะ ครอบครัวนี้จึงเรียกว่า “ครอบครัวบำเพ็ญ” ใช่ไหม???

ไม่มีความคิดเห็น: