ความอุตสาหะ

 

          ความอุตสาหะคือ ความประพฤติที่กระทำการงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้เสมอคือ อย่าทำการแต่พอจุใจชั่วครั้งหนึ่งคราวหนึ่งแล้วหน่ายเนือยไปเสีย อย่าทำการโดยมักง่ายและที่สุดอย่าเกียจคร้าน นี่แหละชื่อว่าความอุตสาหะ ความอุตสาหะในที่นี้จำแนกเป็น 3 ประการคือ อุตสาหะแสวงหาความรู้ประการหนึ่ง อุตสาหะทำการงานประการหนึ่ง และอุตสาหะระวังการงานประการหนึ่ง…………….. ความอุตสาหะแสวงหาความรู้ ข้อที่ว่านี้ความอุตสาหะแสวงหาความรู้นั้น ความรู้อันบุคคลที่รับราชการอยู่ตามหัวเมือง ต้องอาศัยหลักสำคัญมีอยู่ 3 อย่างคือ อย่าที่ 1 ความรู้ท้องที่ที่ตนไปอยู่รับราชการ คือต้องหมั่นเที่ยวเตร่ให้รู้จักภุมิลำเนาท้องที่ทั่วไป ละให้รู้จักคุ้นเคยกับผู้คนพลเมืองซึ่งอาศัยอยู่ในท้องที่เหล่านั้นให้กว้างขวาง อย่างที่ 2 รู้ทุกข์สุขของผู้คนพลเมืองในท้องที่เหล่านั้น คือต้องหมั่นสดับฟังให้รู้ว่าผู้คนพลเมืองรู้สึกว่ามีความทุกข์สุขอยู่ประการใด อย่างที่ 3 รู้กิจธุระอันเป็นหน้าที่ของตน กล่าวคือ แบบแผนหรือกฎหมายอย่างธรรมเนียมที่ตนต้องใช้ ต้องทำในหน้าที่สิ่งที่รู้อยู่แล้วหมั่นตรวจตราอย่าให้หลงลืม สิ่งที่ยังไม่รู้คือแบบแผนอย่างธรรมเนียมและกฎหมายที่ตั้งและมีขึ้นใหม่บรรดาเกี่ยวด้วยหน้าที่ของตนจะต้องเอาใจใส่ศึกษาให้รู้ไว้ ความรู้ทั้งสามอย่างที่กล่าวมานี้ เป็นข้อสำคัญที่จะต้องอุตส่าห์ขวนขวายให้มีแก่คนอย่างมากที่สุดที่จะมีได้  ความอุตสาหะทำการงานนั้นคือ ต้องตั้งใจทำการงานอันเป็นหน้าที่ของตนให้สำเร็จตลอดโดยอย่างดีและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความประพฤติในข้อนี้คือการงานอย่างใดเป็นกิจธุระในหน้าที่ของตน ต้องตั้งใจทำให้เป็นอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ ทำแล้วต้องพิเคราะห์ ถ้าเห็นว่ายังขาดตกบกพร่องอยู่ในที่ใดอย่างใด ต้องแก้ไขทำให้บริบูรณ์ อย่ามักง่าย ความมักง่ายนั้น คือทำสักแต่พอให้รู้สึกว่าได้ทำแล้ว ไม่พิเคราะห์ว่าทำเช่นนั้นจะเป็นประโยชน์แก่การที่ทำหรือไม่ ยกตัวอย่างดั่งเช่นนายอำเภอ เมื่อรู้ข่าวว่าเกิดโจรผู้ร้ายเป็นแต่สั่งไปให้แต่กำนันจับ ไม่พิเคราะห์ถึงการที่จะจับจะกุมจะควรวางการอย่างไร หรือจะให้ผู้ใดไปทำการอย่างไรที่จะให้ได้ตัวผู้ร้ายและพยานหลักฐาน ไปมัวพอใจเสียว่าได้สั่งไปแล้วเป็นได้ทำการตามหน้าที่แล้ว เช่นนี้เรียกว่า มักง่าย สาธกให้เห็นเป็นตัวอย่าง จะทำการให้ดีต้องพิเคราะห์หมายเอาความสำเร็จของการนั้นเป็นใหญ่จะผลักพอให้พ้นไปแล้ว และซัดภายหลังแต่ว่าได้สั่งแล้ว หรือบอกแล้วนั้นไม่ได้ อีกประการหนึ่ง อย่าผัดเพี้ยนตนเอง การอย่างใดควรจะทำให้สำเร็จได้ในเวลาเช้า อย่ารอไปทำให้สำเร็จต่อเวลาเย็น การสิ่งใดควรสำเร็จได้ในเวลาเย็น อย่าผัดไปทำต่อรุ่งเช้า เมื่อว่าโดยย่อให้ตั้งใจอุตสาหะอย่าให้มีธุระอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้สำเร็จได้คั่งค้างอยู่ นี่คือความอุตสาหะกระทำการ  ความอุตสาหะระวังการงานนั้นคือ หมั่นตริตรองคิดอ่านการในหน้าที่ของตน ถ้าคิดเห็นว่าทำอย่างใดการงานจะดีขึ้น แม้การนั้นอยู่ในอำนาจตนจะทำได้ก็ต้องทำ ถ้าเป็นการเหนืออำนาจตนก็รีบบอก และหารือต่อผู้ใหญ่เหนือหัว เพื่อที่จะให้ราชการในหน้าที่ของตนดียิ่งขึ้นอย่างหนึ่ง หมั่นไปตรวจตราการอันอยู่ในปกครองหรือหน้าที่ของตนเสมอ เมื่อเห็นความเสื่อมเสียอย่างใดจะเกิดขึ้น ถ้าพอจะแก้ไขได้ต้องรีบแก้ ถ้าเหลือกำลังและอำนาจที่จะทำได้ ก็ควรรีบรายงานต่อผู้ใหญ่ และคอยตักเตือนท่านอย่านอนใจอย่างหนึ่ง และเมื่อรู้เห็นว่าการงานอันใดจะมีมาถึงหน้าที่ตนในเบื้องหน้า ต้องตระเตรียมไว้ให้พร้อม เมื่อการนั้นมีมาถึงก็ให้ได้ทำการนั้นได้ทันท่วงทีอย่างหนึ่ง ความข้อนี้ยกตัวอย่าง ดั่งผู้ที่เป็นนายอำเภอคนใด ในปีมีฝนน้อย คิดปรารภถึงไร่นา เห็นว่าน้ำจะไม่นอนทุ่งนานพอเลี้ยงต้นข้าวในนาของราษฎร ก็ออกตรวจตรานับหมายห้วยคลองเสียแต่เวลาแรกน้ำไหลเข้าทุ่งและสั่งกำนันผู้ใหญ่บ้านให้แนะนำราษฎรให้ตระเตรียมการไว้ ครั้นเมื่อเห็นน้ำไหลกลับออกจากทุ่งเสียก่อนฤดูกาล ก็ประกาศป่าวร้องให้ราษฎรลงทำนบปิดกั้นน้ำไว้ได้ทันท่วงทีไม่ให้นาเสีย อย่างนี้เรียกว่านายอำเภอคนนั้นอุตสาหะระวังการโดยถูกต้องอย่างหนึ่ง การต่างๆที่จะต้องตรวจตราต้องเตรียมระวังไว้ก่อนมีอยู่เป็นอันมากความอุตสาหะเที่ยวตรวจตราและตริตรองระวังการในหน้าที่ที่จะมีเช่นนี้เป็นการสำคัญอย่างหนึ่ง 

:   พระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ความซื่อตรง

 

                     ความซื่อตรง ในที่นี้จะกล่าวจำแนกเป็น 3 ประการคือ ความซื่อตรงต่อราชการประการ 1 ความซื่อตรงต่อหน้าประการ 1 และความซื่ออตรงต่อตำแหน่งของตนประการ 1 ในข้อที่กล่าวว่าความซื่อต่อราชการนั้นจะต้องชี้แจงให้เข้าใจว่าอะไรเป็นราชการ ราชการแปลว่า การของพระราชา คือ การอันเป็นหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดินที่จะต้องทรงเป็นพระราชธุระปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและพระราชอาณาจักรผู้เป็นข้าราชการก็คือผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงเลือกสรรยกย่องให้เป็นผู้ช่วยทำราชการความมุ่งหมายของราชการนั้นจำแนกโดยใจความเป็น 3 ประการคือ 1. ที่จะให้คนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นปกติมิให้เบียดเบียนซึ่งกันและกันประการหนึ่ง   2.  ที่จะให้พระราชอาณาจักรเจริญบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และสิ่งซึ่งเป็นเครื่องเกื้อกูลแก่ความสุขสำราญของคนทั้งหลายประการหนึ่ง  3. ที่จะปกกันและรักษาความเป็นอิสรภาพของพระราชอาณาจักรกล่าวคือ ที่จะให้พระราชอาณาจักรนี้คงอยู่ในความปกครองของพระเจ้าอยู่หัวมิให้ชาติอื่นมาย่ำยีได้ประการหนึ่ง ที่เรียกว่าราชการรวมอยู่ในความมุ่งหมาย 3 ประการที่อธิบายมานี้ผู้ที่ทำราชการ ไม่ว่าทำในต่ำแหน่งหรือหน้าที่มีบรรดาศักดิ์ใหญ่น้อยเพียงใด ย่อมทำราชการเพื่อประโยชน์ 3 ประการนั้น ราชการที่แบ่งเป็นหลายกระทรวง เช่นฝ่ายทหารบ้าง ฝ่านพลเรื่อนบ้างก็ดี หรือที่แบ่งต่างกันเป็นฝ่ายธุรการและตุลาการก็ดีหรือที่แบ่งเป็นพนักงานมีหน้าที่ต่างกันก็ดี สักแต่ว่าเป็นสาขาแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อความสะดวกของราชการแต่เมื่อรวมลงก็คงเพื่อประโยชน์ของราชการที่มีใจความ 3 ประการดังจำแนกมานั้น ความซื่อตรงต่อราชการคือ ความปลงใจและประพฤติโดยมุ่งหมายมั่นคงให้การทั้งปวงอันอยู่ในหน้าที่ของตนหรือที่ตนพึงจะกระทำได้ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของราชการ นั่นแหละชื่อว่าความซื่อตรงต่อราชการ เมื่อว่าโดยความประพฤติในความซื่อตรงต่อราชการนั้นก็คือที่จะคิดหรือทำการอันใด ต้องเพ่งต่อประโยชน์ของราชการ กล่าวคือ ความสุขสำราญของมหาชนทั่วไป ความเจริญของบ้านเมืองและความป้องกันรักษาอิสรภาพของพระราชอาณาจักรเป็นยิ่งกว่าประโยชน์ตน หรือประโยชน์เอกชนอื่นๆ และพึงระวังอย่าให้ความคิดและการที่กระทำเป็นเครื่องเสื่อมเสียประโยชน์ของราชการที่ว่านี้ได้เป็นอันขาด  ความซื่อตรงหน้าที่นั้นคือ เมื่อตนได้รับราชการในหน้าที่ใดต้องตั้งใจทำเพื่อให้ราชการในหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ถึงว่าจะเป็นความลำบากยากเหนื่อยแก่ตนเพียงไรหรือแม้ที่สุดจะต้องเข้าไปใกล้ต่ออันตรายเท่าใดก็ไม่ละทิ้งหน้าที่และไม่ปล่อยให้ราชการในหน้าที่ของตนเสื่อมเสีย นี่แหละชื่อว่าความซื่อตรงต่อหน้าที่ หน้าที่นั้นให้พึงเข้าใจว่าเป็น 3 ขั้นโดยลำดับกัน คือหน้าที่ในตำแหน่งของตนชั้นหนึ่ง หน้าที่ที่ตนเป็นข้าราชการชั้นหนึ่ง และหน้าทีที่ตนเป็นข้าแผ่นดินชั้นหนึ่งหน้าที่ทั้ง 3 ขั้นนี้เป็นลำดับขั้นกันโดยอธิบายว่า หน้าที่ในต่ำแหน่งนั้นคือ หน้าที่เฉพาะต่ำแหน่งของตนในราชการเช่นตนเป็นพนักงานคลังย่อมมีหน้าที่ในการทำบัญชีและรับเก็บจ่ายเงินหลวง การเหล่านี้เป็นหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ ผู้มีต่ำแหน่งอยู่ในพนักงานใดต้องถือว่าหน้าที่ของตนในพนักงานนั้นเป็นสำคัญ ยังหน้าที่ที่เป็นราชการนั้นคือ หน้าที่อันร่วมกันในข้าราชการทั้งปวง เช่น เวลามีราชการสำคัญเกิดขึ้นก็ดี หรือมีราชการหนักหนาเกิดขึ้น แต่หากราชการนั้นอยู่ในต่ำแหน่งของผู้อื่นก็ดี การเหล่านี้ย่อมเป็นราชการแม้มิใช่การในแผนกของตน ก็ต้องเอาใจใส่ช่วยทำโดยเต็มกำลังตามหน้าที่ของข้าราชการ จำต้องช่วยราชการอย่าเพิกเฉยเสีย โดยถือว่ามิใช่ราชการในต่ำแหน่งของตนนั้นไม่ได้ ส่วนหน้าที่ของข้าแผ่นดินนั้นคือ รักษาความประพฤติของตนให้เป็นไปโดยชอบด้วยพระราชกำหนดกฏหมาย ซึ่งบังคับให้คนทั้งหลายประพฤติทั่วกัน คือ ที่มิให้เบียดเบียนกันเป็นต้น ต้องเข้าใจว่าบรรดาคนทั้งหลายถึงจะแตกต่างโดยยศฐานันดรศักดิ์สูงต่ำเพียงใด นอกจากพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวแล้ว ก็ย่อมนับว่าเป็นข้าแผ่นดินด้วยกันทุกคน มีหน้าที่ในส่วนที่เป็นข้าแผ่นดินอย่างเดียวกันทุกคน  ความซื่อตรงต่อต่ำแหน่งนั้นคือ ต้องเข้าใจว่าผู้ที่เป็นข้าราชการมีต่ำแหน่งย่อมเป็นผู้ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงซุบเลี้ยง โดยได้เลือกสรรเห็นว่าเป็นผู้มีคุณวุฒิและความดีกว่าคนทั้งหลายเป็นอันมาก ทั้งประกอบด้วยความซื่อสัตย์และสุจริตควรเป็นที่เชื่อถือแล้ว จึงได้โปรดตั้งแต่งให้มีอำนาจและหน้าที่ในราชการ เพราะฉะนั้นผู้เป็นราชการ เมื่อรู้สึกอยู่เช่นนี้ต้องประพฤติอยู่ในความซื่อสัตย์คือ พูดหรือทำอะไรให้เป็นที่เชื่อถือได้แน่นอน ไม่ปดโป้โลเลประการหนึ่ง อยู่ในความสุจริตคือ ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวงคดโกงผู้หนึ่งผู้ใดประการหนึ่ง และต้องประพฤติกิริยาและวาจาให้เป็นผู้ดีอันสมกับตำแหน่งนั้น ความข้อนี้อย่าหลงเข้าใจว่าการที่พูดจาหรือทำท่าทางวางโตให้คนอื่นเห็นว่าเป็นขุนนางนั้น เป็นการสมควรแก่กิริยาวาจาของผู้ดีที่เป็นข้าราชการ ผู้ประพฤติเช่นนั้นไม่มีใครชมว่าเป็นผู้ดี อันกิริยาและวาจาของผู้ดีนั้นคือ กิริยาและวาจาซึ่งไม่มีผู้ใดติเตียน คือพูดกับใครก็ให้ถูกหูเขา กิริยาอาการของตนที่ประพฤติต่อใครก็อย่าให้เขาเป็นที่รังเกียจ นั่นแหละ คือวาจาและกิริยาของผู้ดี

:   พระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

รู้รักสามัคคี

 

                รู้และรัก สามัคคี มีคุณยิ่ง                     เพราะเป็นสิ่ง เพิ่มรัก สมัครสมาน

อยู่ร่วมกัน ฉันมิตร จิตชื่นบาน    แม้อยู่นาน จะยิ่งสุข ทุกข์ห่างไกล     สามัคคี นี่คือธรรม อันล้ำ

เลิศ   ช่วยก่อเกิด สร้างสุข ทุกสมัย   ลดกิเลส เพิ่มธรรม อันอำไพ   ช่วยให้ใจ เยือกเย็น เป็น

ประจำ แม้ต่างกาย แต่ใจ มิได้แยก   ไมตรีแทรก ทุกอณู ดูคมขำ  แม้มากคน มากคิด จิตชี้

นำ  ไม่กระทำ ให้ขัดแย้ง เสียดแทงกัน  ครอบครัว สามัคคี ยิ่งมีสุข    พร้อมเพรียงทุก สังคม

บ่มสุขสันต์    ศาสนิก สามัคคี มีทั่วกัน    สมัครมั่น ช่วยการ งานนานา แม้งานใหญ่ สามัคคี ที่

ยึดมั่น   ช่วยงานนั้น เสร็จพลัน จิตหรรษา    เพิ่มความรัก เอกภาพ อาบวิญญาณ์    เพิ่มเมตตา

กรุณา คุณอนันต์    อนุสาสนธรรม ที่องค์ พระสัมพุทธ์     ประเสริฐสุด ทรงชี้ทาง สร้างสุขสันต์

ทรงเน้นย้ำ สามัคคี มีทั่วกัน    จงช่วยบรร เทากาม ไม่ลวนลาม    แม้แต่องค์ อริยมรรค หลัก

ของศาสน์     จะสามารถ ให้ผล มิผันผวน     ต่อเมื่อมรรค สามัคคี มิเรรวน    สงบถ้วน กิเลส

สิ้น บาปภินท์พลัน      ขอชาวเรา เหล่าพุทธ บริษัท       โปรดฝึกหัด รู้รัก สมัครมั่น

คือรู้รัก สามัคคี ไมตรีกัน     ทุกคืนวัน จะสุข ทุกโมงยาม       สามัคคีธรรม น้อมนำ ประจำ

จิต      ทำพูดคิด ด้วยเมตตา กล้าทั้งสาม     เสียสละ กล้าหาญ ทุกรูปนาม   สมกับความ เป็น

พุทธ วิสุทธิ์ธรรม     เพราะนั่นคือ ปัญญา บริสุทธิ์       วิญญาณพุทธ สืบนาม ให้งามขำ

ตามรอยบาท ล้นกระหม่อม พระจอมธรรม      ผู้ทรงนำ ชาวโลก ไร้โศกตาม

บทเรียนไทย ในอดีต ขีดเป็นหลัก   ยามไทยรัก สามัคคี มิขื่นขม   ยามใดแตก สามัคคี ถี่

ระทม เพราะนิยม อธรรม มานำทาง เพราะไร้ธรรม อำไพ จิตไร้สุข ระทมทุกข์ สามัคคีเภท

เหตุขัดขวาง   เหตุแห่งทุกข์ เห็นเป็นโทษ โปรดละวาง  ช่วยกันสร้าง สามมัคคี ไมตรีเทอญ

 

หนังสือ : รู้รักสามัคคี ประพันธ์โดย พระเทพดิลก

นิพพานมีอยู่จริงไหม???

                  

 

             นิพพานไปทางไหนใครรู้บ้าง นิพพานอยู่ตรงกลางหรือวางอยู่บนเบื้องบน บางคนบอกไปได้ง่ายบางคนบอกชาติหน้าอย่าได้หวัง อาจารย์ดีมีที่ไหนที่จะช่วยชี้แนะและพาผู้คนให้ บทสวดมนต์บทใดที่สวดแล้วจะไปถึงบวชที่ใดจะไปถึงได้จะได้ไปบวชตรัสรู้แบบใดที่จะพาไปถึงซึ่งนิพพานได้ แล้วนิพพานรั้นอยู่ที่ไหนกัน?? สงบให้เป็นและให้เย็นรู้ทันความโกรธและวางลงให้หมดทั้งดีชั่วต่างๆ ถ้าไม่เชื่อว่านิพพานมีอยู่จริงแล้วจะไปดูไปหาจากที่ไหนแล้วจะค้นคว้าหาทางไปเพื่ออะไร ตรัสรู้ไม่ได้แปลว่าจะรู้ทุกอย่างแต่ให้รู้ว่าเราต้องวางทุกสิ่งที่รู้ เห็นก็แค่เห็น ดูก็แค่ดูและลงมือทำจนรู้ รู้ทันจิตของเรา จิตคือความคิด ความคิดที่กำหนดชีวิตของเราเอง เกิดและเวียนอยู่ในวัฏสงสารจึงได้มีตัวตนและความคิด เราจะไปสนใจทำไมว่านิพพานอยู่ที่ไหนถ้าเราไปถูกทิศทางก็จะพบที่สุดแล้วไม่มีทั้งจุดจบและเริ่มต้นมีแค่เพียงลบเลือนลืมอำลาแค่นี้เอง

ความว่างหาได้ทุกที่

 

                             เรื่องของความว่าง เราสามารหาเอาได้ในชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหลายนี่แหละ อย่าไปด่วนคิดว่าต้องใช้เวลามากมายจึงจะหาพบความว่าง ในเวลาที่เราคิดการอะไรสักอย่างหนึ่ง เสร็จแล้วมันคิดไปได้ไม่ตลอดจะเป็นเพราะเหตุอันใดก็ตาม เราจำเป็นต้องหยุดคิด ปล่อยให้สมองมันว่างช่วงเวลา 5-10 นาทีนี่แหละ เราจะได้อยู่กับความว่างในระดับหนึ่ง แล้วเราจะได้พบว่า ช่วงเวลานั้น เราสามารถคิดการอันสำคัญออกมิใช่หรือ  เมื่อเราทะเลาะกับแฟนหรือเพื่อนฝูง มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากที่มีปากเสียงกันมากพอแล้ว ที่ต่างฝ่ายต่างจะต้องสงบปากสงบคำ นั่งนิ่งอยู่กับความเงียบ แล้วก็อาจจะได้เอ่ยถ้อยคำที่สมานมิตรขึ้นมาก็ได้ คนเราต้องอยู่กับความว่าง ชีวิตจึงจะมีความสุข แต่ความว่างในทีนี้ มิใช่ว่าอยู่ว่างๆอย่างคนว่างงาน ไม่ทำอะไร กินแล้วนอน นอนแล้วกิน ว่างทั้งวันทั้งคืน ไม่ทำการทำงานอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่า คนขี้เกียจ ในวันหนึ่งๆของชีวิต เราอาจทำการทำงานอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องละเว้นเสียมิได้ คือควรให้จิตใจได้สัมผัสกับความว่างบ้าง หลังเลิกงานหรือวันหยุด ลองหาเวลาให้กับตัวเอง นั่งอยู่อย่างเงียบๆในที่สงบๆ อาบน้ำให้สะอาดเสียก่อน สวมเสื้อผ้าหลวมๆ รับประทานอาหารแต่พออิ่ม แล้วหาที่เหมาะๆ นั่งทำทำใจให้ว่างจากการงานจากผู้คนจากสิ่งอื่นใดทั้งหมด สลัดความยินดีหรือยินร้ายออกไปชั่วคราว เราก็จะพบว่าความว่างเพียงแค่นี้ก็ทำให้เราเป็นสุขได้เหมือนกัน       

อ่านหนังสือโดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร ค้นคิดโดยไม่ได้อ่านหนังสือการค้นคิดจะเปล่าประโยชน์

อิสระไร้อิสระ

 

                

                    ชีวิตของเราคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและถูกกำหนดไว้ด้วยกรอบและข้อกำหนดมากมายที่ถูกสร้างขึ้นจากครู พ่อแม่ สังคม ความเชื่อทางศาสนา หนังสือ เพื่อน ฯลฯ หรืออาจเกิดจากอาหารและสิ่งแวดล้อม ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนมีผลต่อความคิดและตัวตนของเราทั้งสิ้น เราต้องถามตัวเองว่าอยากมีอิสระไปทำไม??? อิสระไม่ได้แปลว่าเราจะทำทุกสิ่งตามใจโดยไม่สนใจใคร เช่น ในความเป็นลูกเราควรเชื่อฟังพ่อแม่ เราต้องเคารพอาจารย์ เราไม่จำเป็นต้องต่อต้านคำสอนของศาสนาแต่เราต้องมีอิสระ อิสระจากความกลัว อิสระที่ทำให้เรากล้าคิดกล้าทำและกล้าเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่เมื่อเราหยุดต้องคำถามกับตัวเองว่า เราจะใช้ชีวิตอย่างไร??? นี่ละ เรากำลังใช้ชีวิตและมิได้ถูกชีวิตครอบงำ เราต้องหาวิถีทางของเราเองหนทางที่มิได้ถูกบงการหรือวางจัดไว้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง เราต้องปล่อยให้มันเป็นเพียงชีวิตจากนั้นเราจึงใช้ชีวิต ชีวิตก็เหมือนดอกไม้ เราต้องรักที่จะมองดูมัน มองให้เห็นความงามที่ซ่อนอยู่ เราต้องรักดอกไม้มิเช่นนั้นดอกไม้จะเป็นความงามที่ว่างเปล่า ความงามนี้จะไร้ค่าทันทีเมื่อเราปล่อยให้สิ่งต่างๆมาครอบงำและบงการให้เราต้องใช้ชีวิตไปวันๆอย่างซ้ำซากและน่าเบื่อหน่าย เพราะเราอาจมีทุกสิ่งทั้งคู่ชีวิต ลูก บ้าน รถยนต์ เงินทอง ชื่อเสียง ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นจะเหมือนดินที่แห้งผากเมื่อเราอยู่ร่วมกับมันโดยปราศจาก “ความรัก”  เราอาจเป็นผู้บริหารและผู้นำที่เก่งกาจ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาคนไข้ เป็นครูอาจารย์ที่ไร้ที่ติ เป็นคนทำงานที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง ฯลฯ แต่ถ้าเราไม่มีความรักอยู่ในหัวใจเราก็เหมือนคนที่ตายแล้วเพียงแต่ยังหายใจอยู่เท่านั้นเอง    

現在的我 是多麼的幸福          現在的我 是多麼的知足            現在的我 正受著上天無盡的庇護    走在光明燦爛 多采多姿的修辦路上     我是多麼的幸運與幸福 這人生真是一門深入

我要將這一份幸福與這一份幸運 永遠的傳輸      讓不幸的人 感受到這一份幸福  讓不幸的人 領受到這一份幸運          這是我的使命 這是我的責任    我要當菩薩的千手千眼  我要當人間的菩薩   這是我的使命 這是我的責任      我要當菩薩的千手千眼

                                我要當人間的菩薩  

 

 

 

 

บุญและกุศล

 

                     บุญ เกิดจากการบริจาคออกไป อะไรที่เราให้บริจาคออกไป นั่นคือความเห็นแก่ตัวในใจเรา กุศลเกิดจาการตระหนักคิดรู้ รู้ในความจริงที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งดีที่ควรทำ แต่เมื่อทำแล้วก็ไม่ควรยึดติดยึดอยากในความดีที่ตนทำ

                                        ทำแต่ดี  มิใช่ดีแต่ทำ

                                  พูดแต่ดี  มิใช่ดีแต่พูด

                           คิดแต่ดี มิใช่ดีแต่คิด

ทำบุญหวังผล….ผลนั้นไม่เป็นกุศล กุศลที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องทำด้วยเงินหากแต่เราสามารถบริจาคความโง่และความเห็นผิดออกไปจากจิตใจของเราได้ นี่ต่างหากที่เป็นบุญกุศลที่แท้จริง…..ที่สุดของการทำบุญคือการลดทอนความเห็นแก่ตัวเราในใจไม่ใช่เพิ่มพูนความอยากในกิเลสไม่ใช่การละโมบหวังในการตอบแทนบุญ การทำบุญที่แท้ต้องปราศจากการเรียกร้องใดๆ ต้องมิได้ทำบุญด้วยจิตใจอันหิวการะหายในผลบุญ ให้ก็คือให้ ให้โดยที่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อน ให้เพื่อฝึกจิตใจให้ลดกิเลส ลดความโลภ ความยึดติดในตัวตน ให้เพื่อทำให้เรารู้ว่า เราต่างเกิดมาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันทั้งหมด 

การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่

 

                           เป็นการไม่ทำให้พ่อแม่ช้ำใจเสียใจหรือถึงกับน้ำตาตกเพราะเรา การที่เราเป็นลูกประพฤติตนตามคำแนะนำตักเตือนของท่าน เป็นคนอ่อนน้อมไม่หัวดื้อถือรั้น มีสัมมาคาราวะ รักเคารพท่าน ทั้งต่อหล้าและลับหลัง ไม่ถือโทษโกรธเคืองหรือแสดงความไม่พอใจออกให้ท่านเห็นให้ท่านน้อยใจ โดยถือว่าท่านเป็นพระจริงๆ การพูดจาหรือการแสดงกิริยาอื่นๆออกมาด้วยความยำเกรง มีความยกย่องนับถืออยู่ในที่การประพฤติปฏิบัติตนของเราอย่างนี้ ย่อมจะนำความแช่มชื่นเบิกบานใจและความพอใจมาสู่ท่านได้ เพราะพ่อแม่นั้นพอเห็นลูกเชื่อถ้อยฟังคำของท่านนั้นก็เป็นอันหมดห่วงได้เปลาะหนึ่ง ความกังวลว่าลูกจะไม่ดีดังใจนึก ความกลัวว่าลูกจะลำบากลำบนในวันหน้าจะหมดไป เมื่อท่านหมดห่วงใยเรา ท่านก็กินได้นอนหลับ จิตใจก็พลอยสบายไปด้วย เป็นการต่ออายุท่านได้อีกด้วย จริงอยู่บางทีเราอาจจะอยู่ห่างพ่อแม่ เพราะไปมีครอบครัวอยู่ที่อื่นไปอยู่ที่ทำงานไกลๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเลี้ยงร่างกายท่าน นานๆจึงจะได้กลับมาหาท่านที นานๆจึงจะได้ส่งของมาให้ท่านครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้วิตกกังวลว่าจะไม่ได้แทนคุณท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน แต่การเลี้ยงจิตใจท่านนี่แหละก็ทดแทนได้เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ประพฤติตัวให้ดีที่นั่น อยู่ที่ไหนทำชื่อเสียงไว้ที่นั่น อยู่ที่ไหนวางตัวให้เหมาะสม ทำตัวให้เขารักให้เขานับถือในที่นั้น โดยหมั่นนึกคิดและทำตามคำแนะนำของพ่อแม่เสมอๆ เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว ที่ว่าดีในที่นี้คือ ดีสำหรับตัวเองด้วยและดีสำรับพ่อแม่ด้วย แม้พ่อแม่จะอยู่ห่างลูก แต่ความดีที่ลูกทำไว้จะขจรขจายไปถึงหูท่านเอง เพราะขึ้นชื่อว่ากลิ่นของความดีนี่สามารถฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม ดีกว่ากลิ่นอื่นๆในโลก เมื่อท่านได้ยินเข้าก็ปลื้มใจ สบายใจหายห่วงว่าลูกอยู่ดีมีสุขแล้ว พร้อมกันก็อาจจะอวยชัยให้พรเราให้เจิญยิ่งๆขึ้นไป เราอยู่ที่ไหนก็เท่ากับเราเอาพ่อแม่ติดตัวไปด้วย แม้จะเป็นเพียงคำเตือนคำสอนของท่านก็ยังดี หรืออยู่ไกลไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้ นานๆก็มาหาท่านบ้าง มาเยี่ยมเยียนถามไถ่สุขทุกข์ท่านบ้างตามโอกาส ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาดูแลรักษาท่าน หรือทำอะไรอื่นๆที่จะทำให้เกิดความสบายใจ การทำเช่นนี้เป็นการเลี้ยงจิตใจท่านทั้งนั้น และยังเป็นการสนองความหวังของท่านเพราะพ่อแม่นั้นอุตส่าห์เลี้ยงดูเรามาเพื่อยามมีกิจหวังให้เรามารับใช้ ยามเจ็บป่วยหวังให้เรามาดูแลรักษาและเมื่อถึงคราวเสียชีวิตก็หวังให้เรามาปิดตาเวลาตาย การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือการทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ท่านเกิดความเบิกบานใจ ไม่ทุกข์กังวลเดือดร้อนหรือไม่สบายใจเพราะการกระทำของเราเพราะว่าเราเป็นต้นเหตุ การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่สำคัญกว่าการเลี้ยงร่างกายนัก เพราะพ่อแม่นั้นแม้จะกินอิ่มนอนอุ่นเพียงไร หากเกิดความไม่สบายใจต้องแอบร้องไห้เพราะลูก ลูกไม่เคยเอาตาดู เอาหูใส่ ไม่เคยคำนึงถึงท่าน แทบจะลืมว่ามีท่านอยู่ในโลกนี้ด้วย หรือชอบทำตัวเหลวไหล ไม่เชื่อฟังคำเตือน ชอบก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านกระเทือนจิตใจไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเป็นเช่นนี้เลี้ยงร่างกายจะได้ประโยชน์อะไร หากใจไม่เป็นสุข แม้กินก็กินไม่ได้ นอนก็นอนไม่หลับ แล้วร่างกายจะทนไหวหรือ เลี้ยงจิตใจพ่อแม่ยากอย่างนี้แต่ก็สมควรแล้วที่เราผู้เป็นลูกพึงเลี้ยงมิใช่หรือ???  แต่ผู้ที่จะเลี้ยงพ่อแม่ได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้จักธรรมดาของคนแก่ด้วย หากไม่รู้กันเสียก่อนก็อาจเลี้ยงไม่ได้ หรือเลี้ยงได้แต่ไม่นานนัก จะเกิดความเบื่อหน่ายชิงชังขึ้นมาก่อน แล้วจะบ่นว่าคนแก่เอาใจยากและเลี้ยงยาก ตอนที่เราเป็นเด็กเราดื้อก็เท่านั้น โกงก็เท่านั้น เอาใจยากสารพัด พ่อแม่ยังอดทนตามใจเราเลี้ยงน้ำใจเราจนเติบใหญ่มาได้ ทีเราจะเลี้ยงเอาใจท่านบ้างมิได้เชียวหรือ  โบราณว่าเลี้ยงคนแก่ได้ดีต้องพก พระปิดทวาร จึงจะเลี้ยงได้ โบราณเปรียบว่าต้องทำตัวเหมือนกับพระปิดทวาร ซึ่งต้องปิดอวัยวะรับรู้อารมณ์ทั้งหลายให้หมด ปิดไว้ให้มิด ปิดตา ปิดหู และปิดปากไว้ไม่ให้เห็น ไม่ให้หูได้ยิน ไม่ให้ปากพูด คนเรานั้น บางครั้งแม้ตาจะไม่บอดแต่ต้องทำเป็นบอดเสียบ้าง หูไม่หนวกก็ต้องทำเป็นหนวกบ้าง ไม่ได้เป็นใบ้ก็ต้องทำเป็นใบ้บ้าง เพื่อปิดกั้นอารมณ์ภายนอกไม้ให้เข้ากระทบใจได้ การเลี้ยงคนแก่ต้องทำใจให้หนักแน่นและบางครั้งก็ต้องปิดหูปิดตาปิดปากอย่างนี้จึงจะเลี้ยงท่านได้ เมื่อทำได้นอกจากจะเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้ว ยังนั่งนอนสบาย ไม่รำคาญใจเมื่อได้เห็น เมื่อได้ยินท่านบ่นหรือทำไม่ถูกใจ เพราะหลงๆลืมๆด้วย โดยมาคิดว่านี่เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของคนแก่ ท่านจู้จี้นักก็ทนฟังไปสักครู่ ท่านเหนื่อย ท่านก็หยุดเอง ท่านจะมานั่งบ่นเราได้ทั้งวันทั้งคืนเสียเมื่อไร ท่านจะเอาแรงที่ไหนมา สำคัญอยู่ที่ว่า อย่าให้พระปิดทวารหลุด หล่นหายไปจะเป็นการดี เพราะถ้าหายไปจะเกิดตาเปิดหูเปิดขึ้นมาก็เป้นเรื่อง หากแต่เปิดปากขึ้นมาบ้างคราวนี้แหละ นรกถามหาแน่แท้เชียว ^-^

บุตรที่ดีต้องบูชาพระคุณพ่อแม่

 

                         ในหลักคำสอนของท่านขงจื้อกล่าวไว้ว่า “อันการปรนนิบัติดูแลบิดามารดาของบุตรผู้มีความกตัญญูกตเวทีนั้น พึงเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติห้าประการ กล่าวคือ ในยามปรกติพึงให้ความเคารพบิดาและมารดาอย่างเต็มเปี่ยมหนึ่ง ในยามปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดาและมารดาพึงให้ท่านมีความปิติเบิกบานใจหนึ่ง ในยามเจ็บป่วยพึงเอาใจใส่ดูแลรักษาท่านอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใยหนึ่ง ในยามที่ท่านได้ถึงแก่กรรมพึงจัดงานพิธีศพให้เหมาะสม และแสดงออกซึ่งความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งหนึ่ง ในยามเซ่นไหว้ท่านตามวาระต่างๆ พึงแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางอันเคารพยำเกรงประดุจท่านยังมีชีวิตอยู่หนึ่ง เมื่อผู้เป็นบุตรได้ปฏิบัติตนเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติห้าประการดังกล่าวมาแล้ว จึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรผู้มีความกตัญญูกตเวทีอันเหมาะสมอันควรแก่การปรนนิบัติดูแลบิดาและมารดาของตน อันความกตัญญูกตเวทีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญที่ทุกคนควรประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อเกิดเป็นคน มีพ่อแม่ก็ต้องกตัญญูกตเวที “วิธีทำดีต่อบิดา มารดา ยามหนาวห่มผ้าให้ท่าน ยามร้อนพัดให้ท่านเย็น ยามนอนดูแลนวดเฟ้น ยามตื่นท่านสดชื่นไหม ถามดูอยากรับประทานอะไร” ถ้าเพียงเลี้ยงแต่ไม่ดู ไม่รัก ไม่เอาใจใส่ ไม่เคารพ ไม่คิดถึงเมื่ออยู่ไกลท่าน ก็จะไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงนกเลี้ยงปลา การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่นั้นออกจะไม่ยากนัก เพราะคนแก่อยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องการกินการนอนนัก เพียงให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ยารักษาโรคและเครื่องนุ่งห่มอันเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับชีวิตแก่ท่านก็เพียงพอแล้ว สำหรับเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดไปวันๆ และดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นเปลืองเท่าไรด้วย หากคิดเปรียบเทียบกับที่ท่านเลี้ยงเรามา การเลี้ยงเท่านี้ไม่น่าจะเป็นกังวลสำหรับลูกเลย ลองนึกย้อนหลังดูทีว่า เมื่อเราเป็นเด็กนั้น เรากินเราใช้เปลืองกว่านี้ข้าวก็ต้องอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มปีหนึ่งนับชุดไม่ได้ ขนมนมเนยอีกต่างหาก เครื่องประดับอีก ทั้งการใช้จ่ายเพื่อความสนุกสนานและความสำราญต่างๆ หากเปลืองอย่างนี้ทำไมพ่อแม่ยังหาเลี้ยงเรามาได้ และไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น ลูกของพ่อแม่อื่นๆซึ่งก็เป็นพี่น้องเรา ท่านก็หาให้เหมือนๆกันทุกคน เปลืองพอๆกัน ซ้ำยิ่งโตยิ่งเปลืองหนักเข้าไปอีก พอถึงคราวที่เราจะต้องเลี้ยงท่านให้อิ่มหนำสำราญบ้าง ทำไมเราจึงทำไม่ค่อยได้ ????   เคยเห็นอยู่บ่อยๆ ที่ลูกบางคนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยที่จะสนใจเหลียวแลนัก ท่านจะทุกข์อย่างไรก็ช่าง จะมีกิีมีใช้หรือไม่ ปล่อยให้อดๆอยากๆ พ่อแม่ไปเยี่ยมเยียนบ้างก็ตั้งท่ารังเกียจ พ่อแม่ไปอยู่ด้วยก็พูดจากระทบกระเทือนให้เจ็บช้ำน้ำใจเล่น กล่าวหาว่าเกะกะบ้าน ทำอะไรไม่ได้เรื่องราว สารพัดจะหาคำพูดมาประหัตประหารน้ำใจ เวลาท่านตายจากไปก็นำศพของท่านไปจัดตามประเพณี และจัดอย่างสวยหรูเสียด้วย ทั้งนี้เพราะหากไม่ทำจะถูกคนอื่นนินทา หรือทำให้เสื่อมเกียรติของตนไป ดอกไม้จัดอย่างสวยงามประดับประดาเสียจนผู้อื่นเห็นแล้วคิดว่า เมื่อตายอยากจะทำศพอย่างนี้บ้างแถมยังจัดสำรับกับข้าวอย่างดีไว้ที่ข้างๆโลง ข้างๆศพ กลัวท่านจะไม่รู้ยังเคาะโลงเรียกให้พ่อให้แม่มากินเสียอีก “พ่อมากินเสีย แม่มากินเสีย” โธ่เอ๋ย!!!!!!  ยามท่านมีลมหายใจยังกินได้ไม่ยักจะเรียกท่านให้มากิน ไม่ยกไปให้ท่านกินบ้าง ภาพอย่างนั้นมันควรจะมีตอนที่ท่านมีลมหายใจอยู่มากกว่าตอนที่ท่านไม่รู้เรื่องรู้ราว อย่างนั้นแล้วท่านจะรู้หรืออือออไปกับเราด้วยหรือไม่????? เราก็ไม่ทราบ ท่านอาจจะไม่กินของเราก็ได้ แต่เรามักทำกันโดยมาก บางทีทำเพื่อความสบายใจของตัวเองก็มี เฮ้อ!!!!!!……. (คนแบบนี้ก็มีด้วย) บางคนพ่อแม่ตายไปแล้วจึงเกิดความคิดถึงท่าน บ้างก็เงียบเหงา เคยมีเสียงบ่น เคยมีเสียงตักเตือน เคยมีหลักอยู่ในบ้าน แม้จะเป็นเพียงหลักที่ลูกมองเป็น “หัวตอ” ก็ตามที พอท่านตายจากไปเสียงนั้นก็หมดไป หลักบ้านก็ขาดหายไป ทำให้เกิดความเงียบเหงาวังเวง มันเหมือนกับบ้านขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง คิดไปคิดมาก็นึกถึงพ่อแม่ได้ ยิ่งตอนที่ลูกไม่เอาใจใส่ดูดำดูดีหรือเถียงคำไม่ตกฟากด้วยแล้ว ยิ่งคิดถึงพ่อแม่หนักขึ้น แต่ก็เรียกชีวิตท่านคืนมาไม่ได้เสียแล้ว จะเหลือก็เพียงรูปถ่ายไว้ให้ดูต่างหน้า หรือกองกระดูกไว้เป็นตัวแทนเท่านั้น ตอนนี้แหละจะมองเห็นความสำคัญของท่านขึ้นมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ว่าท่านสำคัญก็หาตัวท่านไม่ได้เสียแล้ว ก็เข้าทำนองที่ว่า “คนเราจะรู้ว่าอะไรมีค่ามีความสำคัญ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นได้หลุดจากมือไปแล้ว”  ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ต้นไทรในบ้าน มีร่มเงาอันเย็นสบาย ที่บรรดาลูกๆจะเข้ามาพึ่งพาอาศัยได้ทุกเมื่อทุกคราว แม้จะจากไปไกลแสนไกล ก็หวนกลับมาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรต้นเดิมได้อีก โพธิ์ไทรนี้ยังมีร่มให้ลูกๆได้พักชื่นใจเหมือนเดิม โดยมิเคยโกรธหรือพูดให้ผู้พึ่งพิงต้องเสียใจ พร้อมเสมอที่จะให้ความเย็นแก่ลูกทุกคนทุกครั้ง พอท่านล้มตายจากไปนั่นแหละลูกๆจึงหมดที่พึ่ง หมดร่มเงา แม้จะคิดถึงโพธิ์ไทรต้นนี้ก็หมดหวัง จึงต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง รวมกันได้บ้างไม่ได้บ้าง เข้ากันไม่ติดบ้าง ทะเลาะกันเองบ้างไปตามเรื่องราว บางทีไม่พบกันเลยตลอดชีวิต โบราณจึงว่า “ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก”  การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างนี้ยังเทียบไม่ได้เหมือนที่ท่านเคยเลี้ยงเรามา เพราะหนี้ของท่านที่มีต่อเรานั้นเป็นหนี้ยากที่จะทดแทนได้หมด

ปล… ที่บ้านของทุกๆท่าน ยังมีพระในบ้านซึ่งมีค่า มีความสำคัญที่ยังไม่หลุดมือไปหรือไม่??? ถ้ามีจงเลี้ยงดูร่างกายและจิตใจของท่านควบคู่กันไปด้วย ^^

วิทยาศาสตร์กับศาสนา ???


                 วิทยาศาสตร์คือการค้นพบสิ่งต่างๆตามข้อเท็จจริงที่มันมีอยู่หลังจากนั้นก็นำข้อเท็จจริงที่ได้มาสรุปเป็นทฤษฎีโดยเรียงลำดับขั้นตามความเป็นจริง หัวใจของศาสนาที่แท้จริงนั้นจะต้องอยู่เหนือข้อกำหนดของความเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิมและศาสนาอื่น ศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่การท่องบ่นตามตำราต่างๆหรือการเข้าวัด เข้าโบส เข้ามัสยิด ศาสนาจะต้องอยู่เหนือข้อกำหนดทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือลัทธิต่างๆ ศึกษาอะไรก็ต้องศึกษาให้เข้าใจ ดังคำกล่าวของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า ศึกษา สอบถาม ไตร่ตรอง แยกแยะและปฏิบัติ เราควรศึกษาศาสนากับวิทยาศสาตร์ให้ชัดเจนเราต้องนำข้อเท็จจริงมาหลอมรวมกับสัจธรรมเพื่อสร้างนิยามความหมายที่อยู่เหนือจากคำจำกัด เราต้องไปให้พ้นโลกที่มีข้อจำกัดและความกลัว เลิกแบ่งเขา แบ่งเรา แบ่งตะวันตก ตะวันออก ไม่แบ่งว่าเป็นระบบทุนนิยมหรือคอมมิวนีสแต่เราต่างเป็นหนึ่งเดียวกันบนโลกใบนี้สิ่งที่เราควรเรียนรุ้ให้มากคือวิทยาศาสตร์มันทำให้เราค้นพบความจริงแต่มันก็เปนความจริงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นถึงวันนึงความรุ้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบและศาสนาก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้เราไม่กลัวที่จะค้นพบความจริงใหม่ๆ ศาสนาช่วยให้เราค้นพบและรู้จักตัวเราเองมากขึ้นและอาจเป็นเหตุผลเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นศาสนาก็เหมือนกับการที่เราเดินไปถามใครคนนึงว่าเธอหิวข้าวไหม???  แต่ความจริงเธอคนนั้นอาจะไม่ได้หิวแต่เมื่อเธอต้องกินข้าวโดยที่เธอไม่รุ้ว่าทำไมเธอต้องกิน สิ่งนี้จึงเรียกว่าความงมงาย ศาสนาจะมีเหตุผลให้เธอจะมีคำตอบว่า ทำไมเธอต้องกินข้าว??? และทำไมต้องเป็นข้าวจานนี้ด้วยกับข้าวแบบนี้  ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ป้ายชื่ออะไรที่แขวนชีวิตเราอยู่จะเป็นป้ายพุทธ คริสต์  มุสลิม ฯ เราต้องไม่ปล่อยให้ความคิดวางอยู่บนความขัดแย้งด้านความเชื่อและศรัทธา เพราะเมื่อเราอยู่พ้นจากอคติเหล่านี้เราจะพบว่าโลกทั้งใบนี้เป็นพี่น้องกันเราต่างเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายมิต่างกันเลย เราลองย้อนมองเข้าไปในความคิดของเรา โดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใดเราต้องดูแลความคิดและปัญญาของเราให้ดี หยุดแบ่งแยกเขาเรา หยุดค้นหาว่าศาสนาหรือความเชื่อแบบใดดีหรือเลวต่างกันยังงัย หยุดการเปรียบเทียบและเสาะหาข้อแตกต่างระหว่างศาสนาแต่ให้ศึกษาและนำข้อดีๆของแต่ละศาสนามาประยุกและปรับให้เข้ากับความคิดของเรา สมมุติเรายืนมองดูต้นไม้ต้นนึ่งเราต้องดูให้เห็นลักษณะของลำต้น ใบ กิ่งก้าน ฟังเสียงของใบไม้ที่เสียดสีกัน ดูสีสันของใบไม้ที่เวลามันโดนลมพัดแล้วร่วงหล่นลงไป  ต้องมองดูและตั้งใจดู  แล้วหลับตาลงหลับตาให้นิ่ง เราเห็นสิ่งใดบ้างในจิตของเรา เราต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ตามองเห็นกับสิ่งที่จิตมองเห็นเอาไว้ให้ดี ข้างนอกคือข้างใน สิ่งที่เราดูกลายเป็นสิ่งที่ถูกเห็น ศาสานาคือการทำดีเมื่อใจเราเป็นสุขนี่ก็คือศาสนาและมีอยู่หนึ่งคำที่ทุกๆศาสนาต่างเรียกกันก็คือความดีงาม    *******  ท่ามกลางความมืดมิดเราต้องส่งผ่านแสงประทีปนี้ด้วยจิตสู่จิต และแสงประทีปนี้จะไม่มีวันดับเลยเพราะว่าแสงประทีปนี้ถุกส่งผ่านด้วยเทียนไร้เทียน เมื่อเทียนไร้เทียนเรายังต้องไปห่วงเรื่องการจุดเทียนทำไม ?????  

ปล… ใจไม่อยู่กับตัวมองเห็นเหมือนไม่เห็น ฟังเหมือนไม่ได้ กินแต่ไม่รู้รส (คัมภีร์มหาศาสตร์)