วิทยาศาสตร์กับศาสนา ???


                 วิทยาศาสตร์คือการค้นพบสิ่งต่างๆตามข้อเท็จจริงที่มันมีอยู่หลังจากนั้นก็นำข้อเท็จจริงที่ได้มาสรุปเป็นทฤษฎีโดยเรียงลำดับขั้นตามความเป็นจริง หัวใจของศาสนาที่แท้จริงนั้นจะต้องอยู่เหนือข้อกำหนดของความเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิมและศาสนาอื่น ศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่การท่องบ่นตามตำราต่างๆหรือการเข้าวัด เข้าโบส เข้ามัสยิด ศาสนาจะต้องอยู่เหนือข้อกำหนดทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือลัทธิต่างๆ ศึกษาอะไรก็ต้องศึกษาให้เข้าใจ ดังคำกล่าวของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า ศึกษา สอบถาม ไตร่ตรอง แยกแยะและปฏิบัติ เราควรศึกษาศาสนากับวิทยาศสาตร์ให้ชัดเจนเราต้องนำข้อเท็จจริงมาหลอมรวมกับสัจธรรมเพื่อสร้างนิยามความหมายที่อยู่เหนือจากคำจำกัด เราต้องไปให้พ้นโลกที่มีข้อจำกัดและความกลัว เลิกแบ่งเขา แบ่งเรา แบ่งตะวันตก ตะวันออก ไม่แบ่งว่าเป็นระบบทุนนิยมหรือคอมมิวนีสแต่เราต่างเป็นหนึ่งเดียวกันบนโลกใบนี้สิ่งที่เราควรเรียนรุ้ให้มากคือวิทยาศาสตร์มันทำให้เราค้นพบความจริงแต่มันก็เปนความจริงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นถึงวันนึงความรุ้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบและศาสนาก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้เราไม่กลัวที่จะค้นพบความจริงใหม่ๆ ศาสนาช่วยให้เราค้นพบและรู้จักตัวเราเองมากขึ้นและอาจเป็นเหตุผลเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นศาสนาก็เหมือนกับการที่เราเดินไปถามใครคนนึงว่าเธอหิวข้าวไหม???  แต่ความจริงเธอคนนั้นอาจะไม่ได้หิวแต่เมื่อเธอต้องกินข้าวโดยที่เธอไม่รุ้ว่าทำไมเธอต้องกิน สิ่งนี้จึงเรียกว่าความงมงาย ศาสนาจะมีเหตุผลให้เธอจะมีคำตอบว่า ทำไมเธอต้องกินข้าว??? และทำไมต้องเป็นข้าวจานนี้ด้วยกับข้าวแบบนี้  ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ป้ายชื่ออะไรที่แขวนชีวิตเราอยู่จะเป็นป้ายพุทธ คริสต์  มุสลิม ฯ เราต้องไม่ปล่อยให้ความคิดวางอยู่บนความขัดแย้งด้านความเชื่อและศรัทธา เพราะเมื่อเราอยู่พ้นจากอคติเหล่านี้เราจะพบว่าโลกทั้งใบนี้เป็นพี่น้องกันเราต่างเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายมิต่างกันเลย เราลองย้อนมองเข้าไปในความคิดของเรา โดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใดเราต้องดูแลความคิดและปัญญาของเราให้ดี หยุดแบ่งแยกเขาเรา หยุดค้นหาว่าศาสนาหรือความเชื่อแบบใดดีหรือเลวต่างกันยังงัย หยุดการเปรียบเทียบและเสาะหาข้อแตกต่างระหว่างศาสนาแต่ให้ศึกษาและนำข้อดีๆของแต่ละศาสนามาประยุกและปรับให้เข้ากับความคิดของเรา สมมุติเรายืนมองดูต้นไม้ต้นนึ่งเราต้องดูให้เห็นลักษณะของลำต้น ใบ กิ่งก้าน ฟังเสียงของใบไม้ที่เสียดสีกัน ดูสีสันของใบไม้ที่เวลามันโดนลมพัดแล้วร่วงหล่นลงไป  ต้องมองดูและตั้งใจดู  แล้วหลับตาลงหลับตาให้นิ่ง เราเห็นสิ่งใดบ้างในจิตของเรา เราต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ตามองเห็นกับสิ่งที่จิตมองเห็นเอาไว้ให้ดี ข้างนอกคือข้างใน สิ่งที่เราดูกลายเป็นสิ่งที่ถูกเห็น ศาสานาคือการทำดีเมื่อใจเราเป็นสุขนี่ก็คือศาสนาและมีอยู่หนึ่งคำที่ทุกๆศาสนาต่างเรียกกันก็คือความดีงาม    *******  ท่ามกลางความมืดมิดเราต้องส่งผ่านแสงประทีปนี้ด้วยจิตสู่จิต และแสงประทีปนี้จะไม่มีวันดับเลยเพราะว่าแสงประทีปนี้ถุกส่งผ่านด้วยเทียนไร้เทียน เมื่อเทียนไร้เทียนเรายังต้องไปห่วงเรื่องการจุดเทียนทำไม ?????  

ปล… ใจไม่อยู่กับตัวมองเห็นเหมือนไม่เห็น ฟังเหมือนไม่ได้ กินแต่ไม่รู้รส (คัมภีร์มหาศาสตร์)

ไม่มีความคิดเห็น: