ในหลักคำสอนของท่านขงจื้อกล่าวไว้ว่า “อันการปรนนิบัติดูแลบิดามารดาของบุตรผู้มีความกตัญญูกตเวทีนั้น พึงเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติห้าประการ กล่าวคือ ในยามปรกติพึงให้ความเคารพบิดาและมารดาอย่างเต็มเปี่ยมหนึ่ง ในยามปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดาและมารดาพึงให้ท่านมีความปิติเบิกบานใจหนึ่ง ในยามเจ็บป่วยพึงเอาใจใส่ดูแลรักษาท่านอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใยหนึ่ง ในยามที่ท่านได้ถึงแก่กรรมพึงจัดงานพิธีศพให้เหมาะสม และแสดงออกซึ่งความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งหนึ่ง ในยามเซ่นไหว้ท่านตามวาระต่างๆ พึงแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางอันเคารพยำเกรงประดุจท่านยังมีชีวิตอยู่หนึ่ง เมื่อผู้เป็นบุตรได้ปฏิบัติตนเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติห้าประการดังกล่าวมาแล้ว จึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรผู้มีความกตัญญูกตเวทีอันเหมาะสมอันควรแก่การปรนนิบัติดูแลบิดาและมารดาของตน อันความกตัญญูกตเวทีนี้ เป็นคุณธรรมสำคัญที่ทุกคนควรประพฤติปฏิบัติตาม เมื่อเกิดเป็นคน มีพ่อแม่ก็ต้องกตัญญูกตเวที “วิธีทำดีต่อบิดา มารดา ยามหนาวห่มผ้าให้ท่าน ยามร้อนพัดให้ท่านเย็น ยามนอนดูแลนวดเฟ้น ยามตื่นท่านสดชื่นไหม ถามดูอยากรับประทานอะไร” ถ้าเพียงเลี้ยงแต่ไม่ดู ไม่รัก ไม่เอาใจใส่ ไม่เคารพ ไม่คิดถึงเมื่ออยู่ไกลท่าน ก็จะไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงนกเลี้ยงปลา การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่นั้นออกจะไม่ยากนัก เพราะคนแก่อยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องการกินการนอนนัก เพียงให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ยารักษาโรคและเครื่องนุ่งห่มอันเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับชีวิตแก่ท่านก็เพียงพอแล้ว สำหรับเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดไปวันๆ และดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นเปลืองเท่าไรด้วย หากคิดเปรียบเทียบกับที่ท่านเลี้ยงเรามา การเลี้ยงเท่านี้ไม่น่าจะเป็นกังวลสำหรับลูกเลย ลองนึกย้อนหลังดูทีว่า เมื่อเราเป็นเด็กนั้น เรากินเราใช้เปลืองกว่านี้ข้าวก็ต้องอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มปีหนึ่งนับชุดไม่ได้ ขนมนมเนยอีกต่างหาก เครื่องประดับอีก ทั้งการใช้จ่ายเพื่อความสนุกสนานและความสำราญต่างๆ หากเปลืองอย่างนี้ทำไมพ่อแม่ยังหาเลี้ยงเรามาได้ และไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น ลูกของพ่อแม่อื่นๆซึ่งก็เป็นพี่น้องเรา ท่านก็หาให้เหมือนๆกันทุกคน เปลืองพอๆกัน ซ้ำยิ่งโตยิ่งเปลืองหนักเข้าไปอีก พอถึงคราวที่เราจะต้องเลี้ยงท่านให้อิ่มหนำสำราญบ้าง ทำไมเราจึงทำไม่ค่อยได้ ???? เคยเห็นอยู่บ่อยๆ ที่ลูกบางคนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยที่จะสนใจเหลียวแลนัก ท่านจะทุกข์อย่างไรก็ช่าง จะมีกิีมีใช้หรือไม่ ปล่อยให้อดๆอยากๆ พ่อแม่ไปเยี่ยมเยียนบ้างก็ตั้งท่ารังเกียจ พ่อแม่ไปอยู่ด้วยก็พูดจากระทบกระเทือนให้เจ็บช้ำน้ำใจเล่น กล่าวหาว่าเกะกะบ้าน ทำอะไรไม่ได้เรื่องราว สารพัดจะหาคำพูดมาประหัตประหารน้ำใจ เวลาท่านตายจากไปก็นำศพของท่านไปจัดตามประเพณี และจัดอย่างสวยหรูเสียด้วย ทั้งนี้เพราะหากไม่ทำจะถูกคนอื่นนินทา หรือทำให้เสื่อมเกียรติของตนไป ดอกไม้จัดอย่างสวยงามประดับประดาเสียจนผู้อื่นเห็นแล้วคิดว่า เมื่อตายอยากจะทำศพอย่างนี้บ้างแถมยังจัดสำรับกับข้าวอย่างดีไว้ที่ข้างๆโลง ข้างๆศพ กลัวท่านจะไม่รู้ยังเคาะโลงเรียกให้พ่อให้แม่มากินเสียอีก “พ่อมากินเสีย แม่มากินเสีย” โธ่เอ๋ย!!!!!! ยามท่านมีลมหายใจยังกินได้ไม่ยักจะเรียกท่านให้มากิน ไม่ยกไปให้ท่านกินบ้าง ภาพอย่างนั้นมันควรจะมีตอนที่ท่านมีลมหายใจอยู่มากกว่าตอนที่ท่านไม่รู้เรื่องรู้ราว อย่างนั้นแล้วท่านจะรู้หรืออือออไปกับเราด้วยหรือไม่????? เราก็ไม่ทราบ ท่านอาจจะไม่กินของเราก็ได้ แต่เรามักทำกันโดยมาก บางทีทำเพื่อความสบายใจของตัวเองก็มี เฮ้อ!!!!!!……. (คนแบบนี้ก็มีด้วย) บางคนพ่อแม่ตายไปแล้วจึงเกิดความคิดถึงท่าน บ้างก็เงียบเหงา เคยมีเสียงบ่น เคยมีเสียงตักเตือน เคยมีหลักอยู่ในบ้าน แม้จะเป็นเพียงหลักที่ลูกมองเป็น “หัวตอ” ก็ตามที พอท่านตายจากไปเสียงนั้นก็หมดไป หลักบ้านก็ขาดหายไป ทำให้เกิดความเงียบเหงาวังเวง มันเหมือนกับบ้านขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง คิดไปคิดมาก็นึกถึงพ่อแม่ได้ ยิ่งตอนที่ลูกไม่เอาใจใส่ดูดำดูดีหรือเถียงคำไม่ตกฟากด้วยแล้ว ยิ่งคิดถึงพ่อแม่หนักขึ้น แต่ก็เรียกชีวิตท่านคืนมาไม่ได้เสียแล้ว จะเหลือก็เพียงรูปถ่ายไว้ให้ดูต่างหน้า หรือกองกระดูกไว้เป็นตัวแทนเท่านั้น ตอนนี้แหละจะมองเห็นความสำคัญของท่านขึ้นมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ว่าท่านสำคัญก็หาตัวท่านไม่ได้เสียแล้ว ก็เข้าทำนองที่ว่า “คนเราจะรู้ว่าอะไรมีค่ามีความสำคัญ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นได้หลุดจากมือไปแล้ว” ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ต้นไทรในบ้าน มีร่มเงาอันเย็นสบาย ที่บรรดาลูกๆจะเข้ามาพึ่งพาอาศัยได้ทุกเมื่อทุกคราว แม้จะจากไปไกลแสนไกล ก็หวนกลับมาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรต้นเดิมได้อีก โพธิ์ไทรนี้ยังมีร่มให้ลูกๆได้พักชื่นใจเหมือนเดิม โดยมิเคยโกรธหรือพูดให้ผู้พึ่งพิงต้องเสียใจ พร้อมเสมอที่จะให้ความเย็นแก่ลูกทุกคนทุกครั้ง พอท่านล้มตายจากไปนั่นแหละลูกๆจึงหมดที่พึ่ง หมดร่มเงา แม้จะคิดถึงโพธิ์ไทรต้นนี้ก็หมดหวัง จึงต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง รวมกันได้บ้างไม่ได้บ้าง เข้ากันไม่ติดบ้าง ทะเลาะกันเองบ้างไปตามเรื่องราว บางทีไม่พบกันเลยตลอดชีวิต โบราณจึงว่า “ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก” การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างนี้ยังเทียบไม่ได้เหมือนที่ท่านเคยเลี้ยงเรามา เพราะหนี้ของท่านที่มีต่อเรานั้นเป็นหนี้ยากที่จะทดแทนได้หมด
ปล… ที่บ้านของทุกๆท่าน ยังมีพระในบ้านซึ่งมีค่า มีความสำคัญที่ยังไม่หลุดมือไปหรือไม่??? ถ้ามีจงเลี้ยงดูร่างกายและจิตใจของท่านควบคู่กันไปด้วย ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น