บ้านเป็นสุข ชาติรุ่งเรือง

 

                  บางคนสามารถดำเนินตามหลักธรรมมนุษยธรรมได้อย่างดีเยี่ยมแต่บางคนก็ไม่มีหลักอะไรอยู่เลย พวกเจ้าดูสิว่าครอบครัวผู้บำเพ็ญธรรมบางคนทำไมถึงยังไม่มีความสมานฉันท์เพราะเหตุใด?? ก็เพราะว่าพวกเจ้าไม่ได้ตระหนักต่อหน้าที่ด้านมนุษยธรรมให้ครบถ้วน ไม่ต้องพูดหรอกว่าฉันได้รับวิถีธรรมเรียบร้อยแล้ว ต้องเดินหน้าสถานเดียว ครอบครัวก็ไม่สน อะไรก็ไม่สน จงรู้ไว้ว่าในเมื่อพวกเจ้าดำเนินชีวิตท่ามกลางฝูงชน จะต้องรู้จักหลักธรรมของการเป็นคน (มนุษยธรรม) หากพวกเจ้าไม่รู้จักหลักธรรมของการเป็นมนุษย์ก็เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ดังนั้น สิ่งสำคัญต้องเริ่มต้นจากราก เมื่อรากมั่นคงธรรมะจึงบังเกิด แล้วรากคืออะไร?? หลักโครงสร้างสาม สัจจห้า คุณสัมพันธ์ห้า คุณธรรมแปด หากเจ้าไม่ลงมือเริ่มต้นจากรากมองข้ามเรื่องใกล้ตัวกลับไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ที่ไกลเกินตัว อย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญธรรม หากเกิดความขัดแย้งขึ้นกับคนในครอบครัว แล้วพวกเจ้าใช้ใจอะไรมาผันเรื่องราวความขัดแย้งให้เป็นพลังสร้างสรรค์ ธรรมะจุติสู่ครัวเรือนก็คือต้องบำเพ็ญควบคู่ทั้งทางธรรมและทางโลก ถูกต้องหรือไม่??? ในเวลานี้พวกเจ้าจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ใช้ปัญญาของเจ้าขจัดเรื่องราวไร้สาระ หากเจ้าอยู่ในสถานธรรมเป็นแบบอย่างที่ดี กลับถึงบ้านทำตัวเป็นเช่นนี้หรือไม่ ปฏิบัติต่อสามี ต่อลูกๆ ต่อพ่อแม่สามีอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ ตนเองจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างเสียก่อน ถึงแม้ว่าสามีภรรยามาช่วยงานธรรมด้วยกันทั้งคู่ สามีภรรยาบำเพ็ญร่วมกันก็จริงอยู่ แต่เมื่อกลับถึงบ้านล่ะ ภรรยาก็หาเรื่องทะเลาะกับแม่สามี พ่อไม่พอใจก็เฆี่ยนตีลูกใช่ไหม เมื่อเป็นเช่นนี้ในที่สุดคนอื่นเขาก็จะรู้ถึงนิสัยที่แท้จริง หากว่าเจ้าดำเนินตามหลักมนุษยธรรม จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดจึงสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ศิษย์เอ๋ยอย่าให้คนเขาประนามได้ว่ากระทำต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง มองดูจากตรงจุดนี้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นสมาชิกของครอบครัว ก็ต้องแสดงความเคารพจริงใจปฏิบัติต่อสมาชิกอื่นๆในครอบครัว เพราะว่าความเคารพจริงใจนั้นก็คือธรรม ระหว่างสามีภรรยาต้องให้เกียรติจริงใจต่อกันได้อย่างไร??? จะต้องรู้จักให้อภัยกัน และระหว่างพ่อกับลูก เวลาที่พ่อสมควรจะเข้มงวดก็ให้เข้มงวด ถึงเวลาที่จะต้องอบรมก็ต้องใช้นำเสียงนุ่มนวลมีเมตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสนามรบ ไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนตกขุมนรก ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่สมควรจะเข้มงวดก็ใช้หลักเหตุผลมาชี้แนะให้เขาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อถึงเวลาที่ต้องอบรมสั่งสอนก็ต้องหาทางช่วยแก้ปมปัญหาในจิตใจขิงเขาด้วย ฉะนั้น หลักมนุษยธรรมจะต้องเริ่มต้นจากครอบครัวไปสู้อาณาจักรธรรม สู่สังคมและไปสู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญธรรมจะต้องเริ่มจากมนุษยธรรมนี่คือหลักสัจธรรม ในทางกลับกันหากว่าญาติพี่น้องของเจ้าได้กรทำความผิด เจ้าก็ตำหนิติเตียนเขา ทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าไม่เข้าใจจิตใจของเขาเลย หากว่าเจ้าเข้าใจนิสัยของฝ่ายตรงข้ามได้ดีก็ค่อยๆไปพูดคุยกับเขา ตักเตือนเขา ทำความเข้าใจในตัวเขาให้ดี แต่ไม่ใช่พูดเข้าข้าง เมื่อทำเช่นนี้ได้ก็จะทำให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ทุกคนมีความรักใคร่กลมเกลียวจึงบังเกิดปัญญา ไม่ว่าสภาพการณ์เช่นไรมีเพียงธรรมะเท่านั้นที่จะสร้างความเข้าใจกันได้ เจ้าจะรู้สึกว่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุข เมื่อมีความสุขร่างกายก็ปราศจากโรคภัย ใช้ยาบ้างก็เพียงเล็กน้อยอาการก็ทุเลาและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากมีทัศนคติที่ถูกต้องจิตใจก็เข้มแข็ง ทำให้สติปัญญายิ่งกระจ่างชัด หมั่นดูแลสุขภาพกายให้ดีจะได้ไม่ถูกครหาว่าทำไมยิ่งบำเพ็ญยิ่งซูบผอม ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเป็นโรค ยิ่งบำเพ็ญอารมณ์ยิ่งรุนแรงใช่หรือไม่??? เมื่อพวกเราปฏิบัติได้ครบถ้วน ครอบครัวของเราก็จะเป็นครอบครัวตัวอย่าง ครอบครัวตัวอย่างนี้แหละจึงจะเป็นบ้านเมืองในอุดมคติได้อย่างแท้จริง ดังนั้น บ้านเมืองในอุดมคติก็อยู่ที่การดำเนินชีวิตประจำวันของเจ้า ไม่ใช่เพียงทฤษฎี หากบ้านเมืองในอุดมคติบังเกิดขึ้นแล้วก็จะมีครอบครัวตัวอย่างปรากฏให้เห็น ทุกคนก็จะดำเนินอยู่ในครรลองแห่งธรรม พวกเราก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องใช้กฏข้อบังคับ ผู้คนก็จะดำเนินรอยตาม เข้าใจไหม???

ปฏิบัติงานธรรมกับการดำเนินชีวิต

 

                        ชีวิตประจำวันของเจ้ามีธรรมะอยู่หรือไม่??? ถ้าชีวิตประจำวันของเจ้ามีธรรมะจริงก็คงไม่ทำผิดซ้ำสอง เจ้าพูดว่า “กำลังปฏิบัติงานธรรม” ขอถามเจ้าว่าธรรมะคืออะไร?? กำลังปฏิบัติงานธรรมของใคร เป็นวิถีอนุตตรธรรม มนุษยธรรมหรือธรรมะส่วนบุคคล ทุกวันพูดเสมอว่าจะไป “ปั้นเต้า” ไปทำอะไร ??? กลัวว่าจะไม่มีบุคลากรใช่ไหม ไปสถานธรรมไปช่วยงานธรรม ลงทะเบียน บรรยายไตรรัตน์ เป็นผู้แนะนำรับรอง อย่างนี้เรียกปั้นเต้าแล้วใช่ไหม เป็นการปั้นเต้าแท้จริงหรือไม่???  หากสิ่งที่กระทำไปแต่ไม่รู้ความหมาย จะปฏิบัติต่อไปได้แค่ไหน การปั้นเต้ามีทรรศนะมุมมองหลายด้าน ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เวลาไปปั้นเต้าครึกครื้นสนุกสนานอย่างนี้เรียกว่า “ปั้นเต้า” ใช่ไหม อยู่กับครอบครัวปฏิบัติตัวให้ถูกต้องมีธรรมะอย่างนี้ก็เรียก “ปั้นเต้า” เหมือนกัน ยิ่งครอบครัวมีธรรมอบอุ่นใจ ยิ่งสังคมปรองดองไซร้โลกร่มเย็น มาดูสิว่าในด้านมนุษยธรรมพวกเจ้าได้ลงมือปฏิบัติไปมากน้อยแค่ไหน ในครอบครัว………เจ้าเป็นบุตรที่กตัญญูต่อพ่อแม่หรือไม่?? ละแวกบ้าน….เคยมีใครกล่าวชมบ้างว่าเจ้าเป็นคนดี เรื่องการค้า….ซื้อขายอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่  ไม่มี!!!!!!!!!!!  แล้วยังบอกว่าบำเพ็ญธรรมอีกหรือ บำเพ็ญอะไรกัน โปรดลองพิจารณาดูเถิดว่ามีสิ่งใดที่ผิดต่อการดำเนินชีวิต

******   คำว่ามนุษยธรรม หมายถึง ธรรมที่ทำให้คนเป็นมนุษย์สมบูรณ์ คือเป็นมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตใจ สังคมที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมจะเป็นสังคมที่มีลักษณะดังนี้ คือ ๑.  เป็นสังคมที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ๒.  เป็นสังคมที่มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   ๓.  เป็นสังคมที่มีความสงบสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน  ๔.  เป็นสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่เห็นแก่ตัว

ครอบครัวบำเพ็ญ

 

                  ในธรรมกาลยุคขาวเรามักกล่าวถึงการบำเพ็ญควบคู่กันทั้งทางโลกและทางธรรม ใช่หรือไม่?? ในทางธรรม ศิษย์น้องทั้งหลายมีความมุ่งมั่นทุ่มเทจึงทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์และดีเยี่ยม แต่เหตุไฉนในทางโลกยังไม่เข้าตากรรมการ ในเมื่อพูดถึงทางโลกก็หนีไม่พ้นเรื่องในครอบครัว พวกเจ้าต่างก็มีพ่อแม่ พวกเจ้าเข้าใจความกตัญญูเป็นอย่างดี แต่มีสักกี่คนที่สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างจริงๆจังๆบ้าง มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า “คนเป็นพ่อแม่ต้องตั้งมั่นอยู่ในความรักความเมตตา คนเป็นลูกต้องตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญูกตเวทิตา” ในเมื่อต้องตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญู เห็นถึงความสำคัญของความsunbrightกตัญญูแล้วจะแสดงออกมาได้อย่างไร ยกตัวอย่างชีวิตประจำวัน พ่อแม่ไม่ใช่พวกตระเวณหากินแต่เป็นพุทธะเดินดิน กลับมีใครบ้างคนจัดการให้พ่อแม่ย้ายไปโน่นทีมานี่ทีวันที่ 1-10 เอาไปอยู่บ้านพี่คนโต วันที่ 11-20 เอาไปอยู่บ้านพี่คนรอง วันที่ 21-30 เอาไปอยู่บ้านพักคนชรา….แล้ววันสุดท้ายพ่อแม่จะไปอยู่ไหน??? ไม่มีใครรับผิดชอบ วันนี้พวกเจ้ามาบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จึงรู้ว่าความกตัญญูเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ แต่เหตุไฉนไม่รับพ่อแม่มาอยู่ด้วยเล่า ทางหนึ่งเจ้าได้ดูแลปรนนิบัติพ่อแม่อย่างเต็มที่ อีกทางหนึ่งก็อาศัยโอกาสนี้ส่งเสริมพี่น้องคนอื่นๆ เพราะเหตุใดเรื่องที่นำมาซึ่งความผาสุกเช่นนี้จึงไม่มีใครอยากทำ คนส่วนใหญ่มักผิดพลาดในข้อนี้โดยเฉพาะลูกผู้ชาย แม้แต่ลูกสาวก็เช่นกัน เจ้าได้แสดงความเคารพนบนอบต่อพ่อแม่ของเจ้าและพ่อแม่ของสามีด้วยความจริงใจหรือไม่?? พวกเจ้าได้แสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้มต่อท่านบ้างไหม พ่อแม่ชอบกินอะไรพวกเจ้ารู้บ้างไหม เคยยกอาหารให้ท่านรับประทานด้วยมือของตัวเองหรือไม่?? หรือว่าจำใจทำ หน้าตาจึงบูดบึ้งบัวหลวงแดง ลูกชายหญิงที่ยังไม่แต่งงาน แต่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเลิกงานกลับถึงบ้านก็อ่อนเพลีย เจอหน้าพ่อแม่ก็ทำเป็นหงุดหงิด พ่อแม่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร นั่งรอกินอย่างเดียว กินเสร็จถ้วยชามวางทิ้ง หันหลังเดินเข้าห้อง ไม่คิดที่จะแบ่งเบางานที่บ้านบ้างเลยหรือ?? ลองคิดดูว่าตอนที่มารดาให้กำเนิดให้เจ้า เป็นวันที่แม่นั้นต้องรับความเจ็บปวดแสนสาหัส ส่วนเจ้านั้นก็รู้แต่เพียงว่าเมื่อไหร่จะถึงวันเกิดจะได้นัดเพื่อนๆไปเลี้ยงฉลอง แแล้วสิ่งเหล่านี้พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ พ่อแม่กำลังนอนป่วยเจ้าก็ไม่รู้ ไม่เคยถามไถ่ เอาพ่อแม่ทิ้งไว้ในบ้านนอนจมโรค ต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้าง แต่เจ้ากลับเบื่อหน่ายไม่คิดที่จะเหลียวแล ลูกบางคนแม้ว่าจะเคยเสียสละออกไปช่วยงานธรรม มีจิตมุ่งมั่นศรัทธาอยากตั้งปณิธานเจแต่พ่อแม่ไม่อนุญาต ในขณะนั้น พวกเจ้าเคยกลับมาคิดบ้างไหมว่า สิ่งใดที่เจ้ายังไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดี ยังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยอารมณ์ ดังนั้น จำทำให้การส่งเสริมธรรมะในครัวเรือนเป็นไปได้ยาก  ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว พึงรู้ว่าการสร้างบุญกุศลสามารถปกแผ่ไปถึงครอบครัวของตนและครอบครัวสามีด้วย หวังว่าศิษย์น้องทั้งหลายจะใช้ช่วงเวลาที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่หมั่นสร้างสมบุญกุศลไว้ให้มากๆ ไม่ใช่รอจนท่านเสียชีวิตแล้วจึงนิมนต์พระมาสวดอุทิศบุญกุศลให้กับท่าน หากพ่อแม่เสียชีวิตไปก่อนและยังไม่ได้รับวิถีธรรมก็จะต้องสร้างบุญกุศลอุทิศให้ท่านและฉุดช่วยดวงทวี้ตตี้นายวิญญาณของพ่อแม่ การบำเพ็ญธรรมทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไปไม่ใช่ง่าย ในทางโลกเจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ในขณะเดียวกันก็ยังดำเนินงานในทางธรรมไม่ให้บกพร่อง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้าจะต้องมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงจึงจะสมบูรณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม หากสามารถนำธรรมะไปใช้ในครัวเรือน ครอบครัวของเจ้าก็จะมีแต่ความผาสุก อิ่มเอิบไปด้วยพลังธรรม เป็นครอบครัวแห่งเทพเซียนซึ่งสามารถฉุดช่วยทั้งตนเองและผู้อื่น แปรเปลี่ยนโกลแห่งทะเลทุกข์ให้กลายเป็นแดนสุขาวดี จงปฏิบัติหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ดีต่อไป…… ^_____^

บุตรผู้ทรงธรรม ตอนที่ 2

 

                        ยุคสมัยเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าชีวิตในสมัยก่อนต้องสู้ทนต่อความยากลำบากสักแค่ไหน แต่ก็กลายเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนจนถึงปูนนี้ยังยอมเป็นวัวเป็นควายรับใช้ลูกอย่างไม่ย่อท้อ ในเมื่อเจ้ายอมทำเพื่อลูกได้ก็ไม่ต้องบ่นไม่ต้องขุ่นเคืองต่อความทุกข์ยากที่เจ้าได้รับ ขอเพียงเจ้าย้อนกลับไปคิดสักนิดว่า เมื่อก่อนเจ้าปฏิบัติต่อพ่อแม่เช่นไร ต้องรอจนวันหนึ่งที่สองมือของเจ้าอุ้มลูก เลี้ยงลูกจึงจะเข้าใจถึงหัวอกของพ่อแม่ใช่หรือไม่??? มักพูดกันว่า อีกามันรู้จักคาบเหยื่อมาป้อนแม่ของมันที่แก่ชรา นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐ ยังแย่กว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก หรือว่ามัวห่วงแต่เรื่องผลประโยชน์จนลืมเรื่องที่สมควรทำ ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าจะต้องแสดงความกตัญญูอย่างไร แม้ว่าพวกเจ้าอายุจะมากขึ้น พ่อแม่ก็ล่วงลับไปแล้ว แต่ทว่าหากในชาตินี้ เจ้าทำในสิ่งที่ดีก็สามารถคุ้มครองพ่อแม่ได้เช่นกัน ศิษย์เอ๋ย  อาศัยวันเวลาที่ยังมีกายสังขารนี้ไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรมดีกว่าไหม ศิษย์ของพระอาจารย์เป็นสุภาพบุรุษ หากพวกเจ้าเป็นลูกเขยจะปฏิบัติต่อพ่อตาแม่ยายเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเจ้าหรือไม่ มีศิษย์บางคนเมื่อประสบปัญหาก็ไม่มีเหตุผล ปัดโทษความผิดให้กับพ่อตาแม่ยาย ในที่สุดคนก็โจษจันและรู้กันไปทั่วถึงข้อเสียของเจ้า ทำให้คนอื่นพูดเอาได้ว่าทำไมลูกศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงจึงเป็นเช่นนี้ ศรัทธาอะไรกัน อาจารย์ก็ไม่กล่าฟังต่อแล้ว  T_T    นั่นเป็นการทำลายชื่อเสียงของธรรมะและชื่อเสียงของตัวเจ้าเอง รู้หรือไม่ หากอีกฝ่ายไม่บำเพ็ญธรรม ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าไปเสนอความเห็นอะไรมากจนเกินพอดี ทำใจให้กว้างดั่งผืนฟ้าและมหาสมุทร ใช่หรือไม่ว่าพวกเจ้ากำลังฝึกฝนเลียนแบบพระอาจารย์ จะฝึกฝนก็ต้องฝึกฝนให้ตลอด ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆแล้วบอกว่า “จี้กงนั้นอนุเคราะห์ชาวโลก เรานั้นอนุเคราะห์ตัวเอง” ไปเสียอย่างนั้น ดังนั้นการบำเพ็ญเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ ผู้หญิงก็เช่นกันอย่าทำตัวไม่เอาไหน พวกเจ้าได้มาพบซึ่งโอกาสดีในครั้งนี้ทันยุคสุดท้าย ล้วนเป็นเพราะบารมีธรรมของบรรพชน แม้ว่าจะแต่งงานออกเรือนไปแต่ก็สามารถบำเพ็ญได้เช่นเดียวกับบุรุษ ให้คิดเสียว่าพ่อแม่สามีก็คือพ่อแม่ของเรา มีความกตัญญูต่อท่าน ทำเช่นนี้ดีหรือยัง ?? ความหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน คือทรัพย์สินเงินทองใช่ไหม ชีวิตมนุษย์ไม่พ้นเรื่องเงินเป็นใหญ่และเป็นเป้าหมายสูงสุดใช่หรือไม่ ถ้าหากเจ้าไม่มาศึกษาธรรมเพื่อค้นคว้าหาความหมายที่แท้จริงและหนทางทางที่แท้จริงของชีวิต แล้วเจ้าจะเข้าใจถ่องแท้ได้อย่างไร แม้แต่เรื่องความกตัญญูเจ้าก็ยังไม่ชัดเจนเลย การที่พ่อแม่เลี้ยงดูฟูมฟักให้ลูกเติบโตขึ้นมาได้แต่ละคนนั้นรู้ไหมว่าต้องลงทุนลงแรงไปเท่าไร ผ่านความยากลำบากสักเพียงไหน คนที่เป็นลูกไม่เข้าใจหัวอกของพ่อแม่ได้หมด ในโลกนี้มีสองด้าน มีทุกข์และมีสุข มีเจริญและเสื่อมถอย มีเกิดมีดับ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตา แล้วมีสิ่งใดบ้างที่เป็นของเจ้าถาวร แม้แต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเจ้าที่สุด หยิบเอาได้ง่ายที่สุด หลุดไปได้ง่ายดายเช่นกัน ดังนั้น จงยินดีในสิ่งที่เจ้ามีอยู่ในขณะนี้และถนอมรักษาบุญวาสนาไว้ให้ดี  เคยคิดไหมว่าบุญคุณของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ดังท้องฟ้ากว้างดั่งทะเล แล้วเราจะตอบแทนอย่างไรได้หมดสิ้น พระอาจารย์หวังว่าพวกเจ้าจะแสดงซึ่งความกตัญญูกตเวทิตาออกมา หากพ่อแม่จากเราไปโอกาสที่คิดจะตอบแทนบุญคุณก็ไม่มีอีกแล้ว “ต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่สายลมก็ไม่หยุดพัด ลูกอยากอยากจะปรนนิบัติรับใช้แต่พ่อแม่ก็ไม่อยู่เสียแล้ว” เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจอย่างมาก ดังนั้น เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ต้องรู้จักกตัญญูตอบแทนคุณท่านทั้งสอง หากพ่อแม่ไม่อยู่เสียแล้วก็ปฏิบัติในมหากตัญญูอันสูงสุดคือดำเนินอยู่ในครรลองธรรม สร้างความดีทิ้งชื่อไว้ในโลก อีกทั้งเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นความกตัญญูที่สูงสุด พระอาจารย์หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจและทำได้ ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็รีบกระทำ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง ดีไหม ??………………..    Everthing can be change,If you think  ……  ^-^

บุตรผู้ทรงธรรม

 

                 มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า “กายา เส้นผม ผิวหนัง ได้รับมาจากพ่อแม่ จึงไม่กล้าทำให้ด่างพร้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นของความกตัญญู” พ่อแม่นั้นมีบุญคุณที่ให้กำเนิดเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนเจ้ามา ดังนั้นจะต้องตอบแทนพระคุณท่าน เบื้องบนยังมีองค์อนุตตรธรรมมารดา ดังนั้น พวกเราจะต้องให้นายจริงเป็นเจ้าบ้าน นายจริงเป็นเจ้าบ้านก็คือการกระทำในสิ่งที่สมควรกระทำเปลี่ยนแปลงแก้ไขนิสัยข้อบกพร่อง ทำหน้าที่ของลูกให้ดี พวกเจ้าเป็นคนหนุ่มสาว คำกล่าวที่ว่า “กายา เส้นผม ผิวหนัง ได้รับมาจากพ่อแม่ จึงไม่กล้าทำให้ด่างพร้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นของความกตัญญู” นี้เป็นการแสดงความกตัญญูที่เป็นรูปธรรม ในทางกลับกันพ่อแม่ให้กำเนิดเจ้ามามีร่างกายแข็งแรงครบถ้วนสามสิบสอง หากว่าเจ้าไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในครรลองแห่งธรรมถือว่าไม่มีความกตัญญู เช่นกันเข้าใจไหม  พวกเจ้าจะต้องย้อนมองและลองตรึกตรองดูสิว่าสิ่งที่เจ้ากระทำออกไปโดยใช้อายตนะ ตาหูจมูกปากเท้านั้นสอดคล้องกับหลักสัจธรรมเพียงไร ขณะพ่อแม่มีชีวิตอยู่ให้รีบแสดงความกตัญญูต่อท่านทั้งสองเมื่อบุพการีไม่อยู่แล้วก็ดำเนินอยู่ในครรลองแห่งธรรม เพื่อทิ้งชื่อไว้ให้คนรุ่นหลัง ประกาศเกียรติคุณของพ่อแม่ เช่นนี้จึงเป็นการแสดงความกตัญญูสูงสุด ขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่ดูแลแต่เฉพาะปากท้อง มีอาหารอร่อยก็เอาให้พ่อแม่ทาน นี่เรียกว่าแสดงความกตัญญูหรือยัง การนำอาหารอร่อยให้พ่อแม่ทานนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่ สำคัญคือจะต้องให้ความเคารพต่อท่าน อย่าพูดแต่ปาก กระทำออกมาแล้วหรือยัง ไม่ใช่นั่งพูดอย่างเดียวจะต้องลุกขึ้นมาทำด้วย ถ้าดีแต่พูดเจ้าก็ยังไม่สามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่คิดที่จะหาความเจริญให้กับชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ในทางตรงข้ามกลับกระตือรือร้นที่จะยื้อแย่งกัน คิดดูเถิดคนเป็นพ่อแม่ต่างหวังให้ลูกประสบความสำเร็จ แต่เจ้ากลับก้าวสู่ทางหายนะ แล้วชีวิตทั้งชีวิตจะเรียกกลับคืนมาได้อย่างไร จะชดใช้คืนแก่พ่อแม่ได้อย่างไร ได้ตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองแล้วหรือยัง??? ชีวิตของคนเราอยู่ในโลกเพียงไม่กี่สิบปี คืนนี้เข้านอนถอดรองเท้า ใครกล้ารับประกันว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาสวมรองเท้าคู่เดิมอีกครั้ง พวกเจ้าต้องรู้ตื่นได้แล้ว ต้องให้ความเคารพและกตัญญูต่อพ่อแม่ของตนเองก่อนแล้วจึงจะไปดูแลผู้อื่นได้  พวกเจ้าสามารถทำได้เช่นนี้หรือไม่ เจ้าดำเนินงานธรรมเป็นแบบอย่างที่ดี แต่พอกลับถึงบ้านทำตัวเช่นไรหรือว่าอยู่นอกบ้านสวมบทพระ อยู่ในบ้านสวมบทมาร พวกเจ้าทำเช่นนี้หรือเปล่า??? ตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่แสดงบทพระ คนข้างหน้าให้เจ้านั่งตัวตรงเจ้าก็นั่งตัวตรง ให้เจ้าสำรวมตนเจ้าก็ทำ ทำตามได้ทุกอย่าง แต่เมื่อกลับไปยังสิ่งแวดล้อมที่เจ้าคุ้นเคย ธาตุแท้ก็เผยโฉมออกมา ใช่หรือ???? แล้วยังจะกล้ายกตนว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอีกหรือ โดยเฉพาะคนยุคนี้เช่นพวกเจ้าต้องเน้นเรื่องคุณธรรมแห่งความกตัญญูกตเวทิตาธรรมเป็นสำคัญ สมัยก่อนพ่อแม่เลี้ยงดูลูกนับสิบคนไม่เห็นจะบ่นว่าลำบาก สมัยนี้ยิ่งมีลูกน้อยคนยิ่งต้องเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลังได้เห็น น้ำแต่ละหยดก็มาจากแหล่งเดียวกัน จะต้องรำลึกถึงบุณคุณบุพการีที่ล่วงลับ อย่าให้พ่อแม่ต้องลงนรกตนเองขึ้นสวรรค์ไปเสวยสุขแต่เพียงผู้เดียว พวกเจ้าต่างก็รู้ว่า “ความดีทั้งปวงเริ่มจากความกตัญญู” หากเจ้าบำเพ็ญธรรมแต่ละเลยครอบครัวนับเป็นความผิดพลาด ดังที่กล่าวว่า “บุตรหนึ่งคนได้รับธรรม บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั้นได้พึ่งรัศมีบุญ บุตรหนึ่งคนสำเร็จธรรมบรรพชนขึ้นสู่สรวงสวรรค์” ขณะที่พ่อแม่ของเจ้ายังมีชีวิต ทำไมไม่ไปโปรดพวกเขาล่ะ ตอนนี้มีใจคิดจะโปรดพ่อแม่บ้างไหม?? มี…แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ใช่หรือไม่??  “จะต้องเริ่มจากการบำเพ็ญพุทธจิต บำเพ็ญคุณธรรมบารมี ทำให้ผู้ใหญ่และญาติพี่น้องของเราเกิดความเข้าใจซาบซึ้ง” คำพูดเหล่านี้พูดง่าย แต่ที่น่าแปลกมีลูกหลายคนไม่สามารถแสดงความอ่อนน้อม หรือสร้างรอยยิ้มให้กับพ่อแม่ได้ หากเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร หรือว่าใช้แต่อารมณ์ ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็ให้คิดถึงตอนมาสถานธรรม คนอื่นปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร เจ้าก็กลับไปปฏิบัติเช่นนั้นกับบุพการี แต่ถึงกระนั้นต้องมีความจริงใจด้วยจึงจะประสบความสำเร็จ เมื่อพ่อแม่ไม่เข้าใจธรรมะ พวกเจ้าจะทอดทิ้งพวกเขาไม่ได้ จะบอกว่าพ่อแม่หัวแข็ง แล้วก็ไม่ไปสนใจ ทำเช่นนี้ไม่ได้ !!!!!!! ก่อนอื่นจะต้องทำให้ท่านประทับใจ เมื่อถึงตอนนั้นพ่อแม่ก็จะรู้สึกว่าเจ้านั้นก็ปฏิบัติได้ดีทีเดียว ในที่สุดพวกเขาก็ใจอ่อนและยอมตามเจ้ามาสถานธรรม สิ่งใดที่พ่อแม่ไม่เข้าใจพวกเราจะต้องใช้ธรรมะนำพา อย่าใช้น้ำเสียงหรือกิริยาท่าทางขึงขังไม่พอใจ จะต้องสุขุมและสุภาพ รับฟังคำพูดของท่านที่ชี้แนะด้วยความนอบน้อม คนเป็นลูกจะต้องแสดงความรักคอยเป็นห่วงเป็นใยท่านทั้งสอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันก็จะต้องมีห่วงหาอาทร มีจิตสำนึกคุณตอบแทนท่าน ไม่ว่าพ่อแม่จะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน พวกเขาก็สามารถรับรู้ถึงจิตกตัญญูของเจ้าได้ คิดดูเถิดว่า ในชาตินี้พวกเจ้าได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และเชื่อฟังท่านหรือไม่??? เคยอกตัญญูต่อพ่อแม่หรือไม่ ลองไตร่ตรองดูว่าใครให้กำเนิดเจ้า ใครเป็นคนฟูมฟักเลี้ยงดูเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ใครเป็นผู้ให้มา คิดดูว่า พวกเจ้าเคยคิดถึงหัวอกของพ่อแม่บ้างไหม เจ้าลองคิดในมุมมองของท่านดูบ้าง พระอาจารย์หวังว่าพวกเจ้าจะย้อนมองส่องตน จึงไม่เสียทีที่ได้บำเพ็ญในชาตินี้ หวังว่าหลังจากที่เจ้าย้อนมองส่องตนแล้วสามารถแสดงซึ่งความกตัญญูและความรู้สึกที่ดีต่อพ่อแม่ได้ พึงรู้ไว้ว่า พ่อแม่นั้นลำบากตรากตรำมาทั้งชีวิตเลี้ยงดูลูกอย่างเอาใจใส่ แต่ลูกนั้นเคยสละเวลาอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ รับฟังเรื่องราวในอดีตที่ท่านเล่า หรือความในใจของท่านที่อยากบอกกับลูกๆบ้างไหม??? พวกเจ้าเคยทำเช่นนี้กับพ่อแม่บ้างหรือไม่ คนที่เคยผ่านความทุกข์ย่อมรู้ซึ้งถึงรสชาติ หากตอนนี้ให้พวกเจ้าไปคุยกับวัยรุ่นและเล่าเรื่องในอดีตของเจ้าซึ่งเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนบัดนี้ มีใครบ้างที่อยากรู้???

สมบัติของใจ

 

               ในยุคปลายนี้ทุกบ้านล้วนแต่มีลูกผู้บำเพ็ญธรรม ลูกบำเพ็ญธรรมเหล่านี้ล้วนมีสัมมาคารวะต่อพุทธะโพธิสัตว์ ทำให้พุทธะโพธิสัตว์รู้สึกปิติยินดี ลูกบำเพ็ญธรรมจะต้องเป็นลูกกตัญญูด้วย บางคนมาสถานธรรม อุทิศตนปัดกวาดด้วยความกระตือรือร้น แต่พอพ่อแม่ใช้ให้กวาดบ้านของตนเองบ้าง กลับแสดงกิริยาท่าทางอย่างไม่เต็มใจ แบบนี้ก็ใช้ไม่ได้ บางคนอยู่ที่สถานธรรมให้เคารพนอบน้อมต่ออาจารย์และนักธรรมอาวุโส ดูภูมิฐานมีสง่าสมเกียรติผู้บำเพ็ญ แต่พอกลับถึงบ้านพ่อแม่พูดไม่กี่คำก็แสดงขุ่นเคืองไม่พอใจ ว่าท่านจู้จี้ขี้บ่น เหล่านี้ล้วนคือความอกตัญญู ยามพ่อแม่เจ็บป่วย ผู้ซึ่งเป็นลูกหากไม่พาท่านไปพบแพทย์รักษา ไม่เฝ้าดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ล้วนมีความผิดข้ออกตัญญูทั้งสิ้น ในยุคปลายนี้ กตัญญูกตเวทิตาธรรมก็คือหลักธรรมแห่งฟ้า ขอให้ชาวโลกบำเพ็ญธรรมอย่าได้ลืมฐานราก พ่อแม่ก็คือรากฐานแห่งความกตัญญู ลูกอกตัญญูย่อมไม่มีทางบรรลุธรรมอย่างแน่นอน ขอให้ชาวโลกจงจำใส่ใจ ตอนเราเป็นเด็กออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน พ่อแม่ก็ตั้งตาเฝ้ารอคอยเรากลับมาใช่หรือไม่ คนเป็นพ่อแม่ต่างคอยถามหาเมื่อไหร่ลูกจะกลับมา ทุกคนในวันนี้ใช่หรือไม่ที่ผ่านชีวิตในวัยเด็ก เคยหนีเที่ยวกันมาแล้ว ใช่ไหม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเราปล่อยพ่อแม่ให้คอยเก้อ ท่านคอยอะไรจากเรา…?? คอยว่าเมื่อไหร่เราจะถาม “กินข้าวแล้วหรือยัง” “เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม” “กินอิ่มไหม” “จิตใจเป็นอย่างไรบ้าง” “มีทุกข์โศกโรคภัยบ้างไหม?” พ่อแม่เรานั้นอยากได้ยินคำเหล่านี้จากลูกมากที่สุด ส่วนคนเป็นลูกคิดจะถามบ้างไหม ไม่เคยถามใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น การแสดงออกถึงความห่วงใยเล็กๆน้อยๆคืออะไร คือการเปิดปากถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ไม่ว่าท่านจะอยู่ดีมีสุขอยู่อย่างไร แต่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าท่านกำลังมีเรื่องกังวลอะไรอยู่ในใจ ใช่หรือไม่  สมัยนี้คนเรามองหน้าไม่รู้ใจเพราะฉะนั้น คนในบ้านเราก็เช่นกัน เขามองหน้าเราเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ใช่ไหม ?? ตัวอย่างเช่นคนอยู่บ้านเดียวกันผิดใจกันมีให้เห็นอยู่มากมายใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจเราผิด ขอให้เรานั้นพยายามใช้สื่อให้เป็น ภาษามีไว้ให้พูดก็ต้องรู้จักนำมาใช้ ถ้าอยากให้คนในครอบครัวมีความสุข เราเองก็มีความสุขก็จงรู้จักเอ่ยถามความเป็นอยู่ของผู้อื่นบ้าง แสดงความห่วงใยด้วยใจจริงไม่ใช่ถามแต่ปากใจไม่ถามไม่ได้

การทดแทนพระคุณที่สูงสุด สมเด็จโต พรหมรังสีได้กล่าวไว้ว่า

“ลูกเอ๋ย ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยให้ท่านได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอนอันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า “การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือการให้ธรรมะ” ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชาสวดมนต์ ภาวนาแผ่เมตตา ธรรมะจอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าไปทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุดเจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย”

ธรรมโอสถ คำสอนของสมเด็จโต ท่านได้บันทึกเอาไว้ด้วยลายมือของท่านอันเป็นอมตะวาจา

แผนกำจัดแม่สามี

 

      เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนของผมคนหนึ่งที่บ้าน  โดยภรรยาเขาเป็นผู้รับสาย ผมได้ทราบว่าเพื่อนผมไม่อยู่ไปราชการต่างจังหวัดหลายวัน ด้วยความคุ้นเคยที่ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับผม ทำให้ผมได้มีโอกาสพูดคุยทำนองปรับทุกข์กับภรรยาของเขาเป็นเวลานาน เธอเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากแต่งงานกับเพื่อนผม และเธอได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านของครอบครัวสามี ซึ่งมีคุณแม่ของสามีอาศัยอยู่ด้วย เธอรู้สึกอึดอัดมาก ปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ที่มักเคยปรากฎตามหนังสือนวนิยายหรือละครโทรทัศน์ก็เกิดขึ้นกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบแม่สามีเอามากๆ เธอรู้สึกว่านางเป็นคนแก่ที่จู้จี้ขี้บ่นและน่ารำคาญเป็นที่สุด ตัวเธอมีเรื่องทะเลาะกับแม่สามีได้ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้เธอคิดที่จะแยกออกไปอยู่ต่างหากกับสามีภรรยา เพื่อให้พ้นหูพ้นตาแม่สามีไปเสีย เธอเอ่ยถามเพื่อขอความเห็นจากผมในฐานะเพื่อน ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายเป็นอย่างดี เลยขอให้คำแนะนำเธอด้วยการเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง เป็นเรื่องระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่ การที่แม่สามีและลูกสะใภ้ต้องทะเลาะมีปากเสียงกันอยู่เสมอทำให้ฝ่ายชายซึ่งเป็นสามีและเป็นลูกได้แต่เอามือกุมขมับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะนั่นก็แม่นี่ก็เมีย เลยมักจะหลบหน้าออกไปทำงานให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องมารับรู้ปัญหาระหว่างแม่และเมีย แล้ววันหนึ่งก็เกิดปัญหาทะเลาะกันอย่างเคย ตัวภรรยาเองรู้สึกแค้นแม่ของสามีมากจึงตัดสินใจวางแผนที่จะฆ่าแม่สามีให้ตายเธอจึงเดินทางไปหาเพื่อนพ่อของเธอที่เป็นพ่อค้าขายสมุนไพรและเอ่ยปากขอให้เจ้าของร้านจัดยาพิษให้เพื่อเธอจะได้วางยาฆ่าแม่สามีให้ตายสมใจปรารถนา เจ้าของร้านได้นำเอาผงสมุนไพรมาให้เธอถุงหนึ่ง และบอกเธอว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาให้กับเธอได้อย่างแน่นอน แต่ผงสมุนไพรนี้จะต้องถูกนำไปผสมกับอาหารที่แม่สามีชอบ และต้องให้ทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอไม่ให้ขาด ที่สำคัญคือเธอต้องเป็นผู้วางยานี้ด้วยตนเอง เขาขอให้เธอทำดีกับแม่สามีเพื่อให้เธอตายใจอย่าไปชวนทะเลาะหรือขัดใจ เพื่อให้แม่สามียอมรับประทานอาหารที่เธอจัดให้จนหมด โดยผงสมุนไพรนี้จะออกฤทธิ์ทีละน้อยๆให้แม่สามีค่อยๆตายอย่างช้าๆและไร้ร่องรอย ลูกสะใภ้ดีใจและรีบนำยาพิษนั้นกลับไปผสมอาหารให้แม่สามีทานทุกมื้อ เธอพยายามปรุงอาหารคาวหวานที่ล้วนเป็นของชอบเป็นอาหารโปรดของแม่สามี ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามเอาใจด้วยการขยันทำงานบ้าน ไม่โต้เถียง ไม่ทะเลาะกับแม่สามีอีก เธอพยายามทำดีกับแม่สามีเพื่อไม่ให้ใครสงสัย โดยคิดอยู่เสมอว่าอย่างไรเสียแม่ของสามีจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่พอทำดีกับแม่สามีไปนานวันเข้า เธอเริ่มมองเห็นความดีของแม่สามี ซึ่งนอกจากจะไม่ดุด่าว่าเธออีกต่อไปแล้ว หลายๆครั้งนางยังช่วยเธอทำงานบ้าน แถมยังแอบไปชมเธอให้บรรดาเพื่อบ้านฟังอยู่เสมอ ตัวสามีเองเมื่อเห็นว่าบ้านสงบก็ไม่อยากไปไหนไกลๆ กลับบ้านทุกเย็น ได้อยู่พูดคุยกันด้วยความสนุกสนานทั้งสามคน ครั้นแล้วตัวลูกสะใภ้เองเริ่มรู้สึกว่าบ้านมีความสุข เธอรู้สึกผิดไม่สบายใจและรีบไปที่ร้านสมุนไพรอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอยาถอนพิษก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นกับแม่สามีและสามีจะรู้ ที่ร้านขายยา เจ้าของร้านบอกกับเธอว่า ไม่มียาแก้พิษหรอกเมื่อเธอได้ยินถึงกับหน้าซีด เธอดูผิดหวังและเสียใจอย่างมากแต่เจ้าของร้านก็พูดต่อว่า ความจริงแล้วผงสมุนไพรที่ให้ไปมันเป็นยาบำรุงไม่ใช่ยาพิษตามที่เข้าใจ เพราะจริงๆ แล้วยาพิษนั้นมันอยู่ในใจของเธอ อันได้แก่ความพยาบาท ความเกลียดชัง ทิฐิและการเห็นแก่ตัว ซึ่งเธอได้ถอนออกจากใจของเธอจนหมดแล้ว การตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเกลียด นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นในจิตใจของคนเราอีกด้วย พอผมเล่าจบ เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอความเห็นอะไรจากผมอีก ผมเข้าใจว่าหลังจากเธอวางสายไปแล้วคงเข้าใจว่า หากเธอต้องการความรักความเข้าใจจากใครก็ตามสิ่งที่เธอต้องมีและให้กับคนนั้นก่อนก็คือ ความรักความเข้าใจ และด้วยการแสดงออกของความรักและความเข้าใจของสามชิกทุกๆคนในครอบครัว  นี่จะเป็นวิธีในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้ทุกๆเรื่อง หากเราพบความขัดแย้ง ความเกลียดชังหรือความไม่ดีไม่งามในชีวิต และตอบโต้ด้วยความอาฆาตพยาบาท นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นอีก จงจำไว้ว่า หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่างๆให้ดีขึ้น เราต้องพยายามคิดว่าเราจะสร้างความดีและมอบความรักแก่กันให้มากขึ้นได้อย่างไร