ในยุคปลายนี้ทุกบ้านล้วนแต่มีลูกผู้บำเพ็ญธรรม ลูกบำเพ็ญธรรมเหล่านี้ล้วนมีสัมมาคารวะต่อพุทธะโพธิสัตว์ ทำให้พุทธะโพธิสัตว์รู้สึกปิติยินดี ลูกบำเพ็ญธรรมจะต้องเป็นลูกกตัญญูด้วย บางคนมาสถานธรรม อุทิศตนปัดกวาดด้วยความกระตือรือร้น แต่พอพ่อแม่ใช้ให้กวาดบ้านของตนเองบ้าง กลับแสดงกิริยาท่าทางอย่างไม่เต็มใจ แบบนี้ก็ใช้ไม่ได้ บางคนอยู่ที่สถานธรรมให้เคารพนอบน้อมต่ออาจารย์และนักธรรมอาวุโส ดูภูมิฐานมีสง่าสมเกียรติผู้บำเพ็ญ แต่พอกลับถึงบ้านพ่อแม่พูดไม่กี่คำก็แสดงขุ่นเคืองไม่พอใจ ว่าท่านจู้จี้ขี้บ่น เหล่านี้ล้วนคือความอกตัญญู ยามพ่อแม่เจ็บป่วย ผู้ซึ่งเป็นลูกหากไม่พาท่านไปพบแพทย์รักษา ไม่เฝ้าดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ล้วนมีความผิดข้ออกตัญญูทั้งสิ้น ในยุคปลายนี้ กตัญญูกตเวทิตาธรรมก็คือหลักธรรมแห่งฟ้า ขอให้ชาวโลกบำเพ็ญธรรมอย่าได้ลืมฐานราก พ่อแม่ก็คือรากฐานแห่งความกตัญญู ลูกอกตัญญูย่อมไม่มีทางบรรลุธรรมอย่างแน่นอน ขอให้ชาวโลกจงจำใส่ใจ ตอนเราเป็นเด็กออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน พ่อแม่ก็ตั้งตาเฝ้ารอคอยเรากลับมาใช่หรือไม่ คนเป็นพ่อแม่ต่างคอยถามหาเมื่อไหร่ลูกจะกลับมา ทุกคนในวันนี้ใช่หรือไม่ที่ผ่านชีวิตในวัยเด็ก เคยหนีเที่ยวกันมาแล้ว ใช่ไหม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเราปล่อยพ่อแม่ให้คอยเก้อ ท่านคอยอะไรจากเรา…?? คอยว่าเมื่อไหร่เราจะถาม “กินข้าวแล้วหรือยัง” “เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม” “กินอิ่มไหม” “จิตใจเป็นอย่างไรบ้าง” “มีทุกข์โศกโรคภัยบ้างไหม?” พ่อแม่เรานั้นอยากได้ยินคำเหล่านี้จากลูกมากที่สุด ส่วนคนเป็นลูกคิดจะถามบ้างไหม ไม่เคยถามใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น การแสดงออกถึงความห่วงใยเล็กๆน้อยๆคืออะไร คือการเปิดปากถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ไม่ว่าท่านจะอยู่ดีมีสุขอยู่อย่างไร แต่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าท่านกำลังมีเรื่องกังวลอะไรอยู่ในใจ ใช่หรือไม่ สมัยนี้คนเรามองหน้าไม่รู้ใจเพราะฉะนั้น คนในบ้านเราก็เช่นกัน เขามองหน้าเราเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ใช่ไหม ?? ตัวอย่างเช่นคนอยู่บ้านเดียวกันผิดใจกันมีให้เห็นอยู่มากมายใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจเราผิด ขอให้เรานั้นพยายามใช้สื่อให้เป็น ภาษามีไว้ให้พูดก็ต้องรู้จักนำมาใช้ ถ้าอยากให้คนในครอบครัวมีความสุข เราเองก็มีความสุขก็จงรู้จักเอ่ยถามความเป็นอยู่ของผู้อื่นบ้าง แสดงความห่วงใยด้วยใจจริงไม่ใช่ถามแต่ปากใจไม่ถามไม่ได้
การทดแทนพระคุณที่สูงสุด สมเด็จโต พรหมรังสีได้กล่าวไว้ว่า
“ลูกเอ๋ย ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยให้ท่านได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอนอันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า “การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือการให้ธรรมะ” ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชาสวดมนต์ ภาวนาแผ่เมตตา ธรรมะจอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าไปทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุดเจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย”
ธรรมโอสถ คำสอนของสมเด็จโต ท่านได้บันทึกเอาไว้ด้วยลายมือของท่านอันเป็นอมตะวาจา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น