
งานคือเงิน เงินคืองาน

กฏแห่งกรรม
ความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคน คือ เกิด เป็นทารก เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน คนแก่ และวัยชรา แล้วก็ตาย...สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่อาวุโสทุกท่านเคยสังเกตไหมว่า...ทำไมชีวิตคนเราจึงมีอุปสรรคปัญหามากมาย สารพัดเรื่อง เช่น
บางคน...ต้องเป็นเด็กกำพร้าแต่เล็ก พ่อแม่ให้กำเนิดแล้วทิ้งข้างทาง บางคน...บางคนเกิดมาเป็นคนพิการ เป็นคนขี้โรค
บางคน...สามีภรรยาทะเลาะกันทุกวัน สามีติดยาฯ ภรรยาเล่นการพนัน บางคน...ลูกหลานไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู
บางคน...เกิดมายากจนข้นแค้น ทำมาค้าขายไม่รวย ทำอะไรก็เจ็ง บางคน...พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มี เป็นพ่อม่าย แม่ม่าย ลูกหลานก็ไม่มี บางคน...ต้องเจอเคราะห์ร้ายภัยพิบัติ บางคน...ถูกสังคมรังเกียจเหยียดหยาม ทั้งๆ ที่ทำดีมาตลอดชีวิต
และทำไม่ชีวิตคนเราเหมือนไม่ยุติธรรมซะเลย...แม้ก่อนตายก็ยังตายหลายรูปแบบมากมาย เช่น บางคน...ป่วยหลายปีกว่าจะตาย บางคน...ป่วยหลายเดือนแล้วตาย บางคน...ป่วยกระทันหันตาย บางคน...เกิดอุบัติเหตุตาย และ
บางคน...นั่งๆ อยู่ก็ตายอย่างสบายๆ และการตายของคนเราก็ไม่ได้เจาะจงว่า จะต้องเป็นคนแก่เท่านั้น เช่น
บางคน...ยังอยู่ในท้องแม่ก็ตายแล้ว บางคน...เกิดมาได้ไม่กี่วันก็ตายแล้ว บางคน...เกิดมายังเป็นเด็กๆ ก็ตายแล้ว
บางคน...เป็นวัยรุ่น กำลังสนุกสนาน ร่าเริง แต่ก็ตายแล้ว บางคน...ตายตอนวัยทำงาน... บางคน...ตายตอนแก่...
บางคน...ตายตอนแก่ชรา อายุ เกือบร้อยปี ปํญหาสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น แต่อาวุโสทุกท่านเคยถามตัวเองไหมว่าทำไม...คนเราต้องเจอกับปัญหาชีวิตมากมายเช่นนี้ ทำไมฟ้าไม่ให้เราเกิดแม่อย่างสุขสบาย ร่างกายแข็งแรง ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขตลอดชีวิต แม้ตอนแก่ชรา....ตายก็ให้ตายอย่างสงบนิ่ง ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องป่วย
คำตอบ...ตามหลักศาสนา และนักปราชญ์ นักบุญทั้งหลาย ก็คือ...ทุกสิ่งบนโลกเป็นไปตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่ง
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า กฏแห่งกรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วคริสตศาสนา เรียกว่า ผลสนองของการกระทำ เช่น มัดธาย12/33 มีคำตรัสว่า "จงทำต้นไม้ให้ดีเถิด แล้วผลของมันจะดีเอง, จงทำต้นไม้ให้ชั่วเถิด แล้วผลของมันจะชั่วเอง"
ทางการปกครอง เรียกว่า กฏหมาย เช่น ถ้าเอาไปใช้ผิดก็เกิดปัญหา ถ้าใช้ถูกก็ยุติธรรมต่อสังคม)ท้องถิ่น หรือบริษัท หรือองค์กร เรียกว่า วัฒนธรรม เช่น การยกมือไหว้ หรือ เช็คแฮน พูดสวัสดีจะดูดีกว่า มองสายตาไม่พอใจ หรือ พูดจาก้าวร้าว ส่อเสียด ฯสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ...กฏแห่งกรรม แต่กฏแห่งกรรมมีความละเอียดมาก สลับซับซ้อน ไม่อาจคำนวณได้ด้วยเครืองคิดเลข หรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาคำนวณได้ แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ในสิ่งแวดล้อม ในทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล....แต่ในกระทู้นี้ เราจะมาพูดถึงเฉพาะกฎแห่งกรรม ที่ทำให้มนุษย์เรามีความแตกต่างกันไป ตามผลของการกระทำต่างๆเรื่องกฏแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ค่อนข้างละเอียด บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อแต่เราควรใช้ปัญญามองให้ทะลุ ให้เข้าถึงเหตุและผล เข้าถึงความจริงของชีวิต และสรรพสิ่ง ความเกิดดับ ความดำรงอยู่ ความเป็นมาเป็นไปของธรรมชาติ และชีวิต สังคม แล้วเราจะรู้เองว่ามันมีกฏของธรรมชาติควบคุมเหนือกฏหมายจริงๆ
………………………………………………………….ผลกรรมยามแก่……………………………………………………………………………
ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ผู้น้อยยังเด็กอยู่ผู้น้อยได้ฟัง คุณตา ซึ่งเป็นน้องชายของตาจริงๆ ผม(น้องของพ่อ...ของแม่)
ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านเป็นยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่นไฟแรง ท่านเป็นคนชอบล่าสัตว์มาก และเป็นคนที่ดวงดี เวลาไปล่าสัตว์ทีไร เป็นต้องได้สัตว์ป่ามามากมาย ดังนั้นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงนักล่าทั้งหลาย จึงอยากที่จะไปกับคุณตาคุณตาเล่าว่า สมัยที่ยังหนุ่มๆ เวลาไปล่าสัตว์ในป่าครั้งหนึ่งได้มากมาย เช่น หมี ลิง หมูป่า ไก่ป่า ฯลฯ แต่สัตว์ที่คุณลุงบอกว่าล่าแล้วสนุก มีความสุขที่ได้ยิง ได้ทุบ ได้ตี ก็คือ การล่าหนู ซึ่งหนูเป็นสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน อาหารของหนู คือ ข้าว ข้าวโพด มัน เผือก ฯ ฉะนั้นหนูจึงมักจะมากินข้าวโพดและข้าว ในหน้าข้าวสุกเหลืองคุณตาบอกว่า....การล่าหนูนั้น สมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ใช้แต่ฟืน ตะเกียง และไฟฉาย ให้ความสว่าง เวลาไปล่าหนูก็หาเหยื่อ คือ ข้าว หรือ ข้าวโพด เอามากองไว้เป็นจุดๆ ข้างฉางข้าว หรือฉางข้าวโพด พอตกกลางคืน ก็จะมีหนูมากินกันคุณตาเล่าว่าเวลาใช้ไฟฉายส่องเห็นหนูย่อง มากินข้าวโพดแล้วรู้สึกสนุกมาก...และก็ใช้หน้าไม้ที่มีลูกธนูเป็นไม้ไผ่เหลากลมๆ ยิงเข้าใส่หนูตัวขนาดเท่าแขนมือ พอยิงโดนหนู มันก็ร้องเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น ตัวอื่นๆ ก็ต่างวิ่งหนีกัน พอเข้าไปที่กองข้าวโพดแล้วก็จับหนูที่โดนยิงมา มันไม่ตายง่ายๆ เลย...(ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วหนูเป็นสัตว์ที่มีกล้ามเนื้อ และระบบประสาท ที่ใกล้เคียงมนุษย์มาก จึงถูกไปทดลงในห้องแล็ปมากที่สุด) พอเอามันออกมาโดยใช้มือจับที่ลูกธนู มันก็ดินสุดชีวิต แต่ไม่มีทางหลุดจากลูกธนู เลือดมันไหลมาติดลูกธนู และเศษไม้ใบหญ้าที่อยู่แถวนั้น แล้วก็เอาไม้ทุบหัวจนสมองแหลก บางตัวก็บีบคอจนตาย บางตัวก็ถูกยิงหลายที่จนหนังของมันลอกขาดออก เห็นแต่เนื้อแดงๆ บาวครั้งก็เอาไม้ไผ่มาล้อมเป็นห้องสี่เหลี่ยมประมาณ 3*3 เมตร แล้วก็เอาข้าวโพดเทลงไป เวลากลางคืน พระจันทร์เต็มดวง สว่างไสว ก็แอบซุ่มอยู่ข้างๆ พอหนูมากินกันเป็นฝูงแล้วก็ใช้ไม้หน้า 3 ทุบเอาจนตายกันเป็นเบือ บางตัวก็หัวแตกเละ ท้องระเบิด ไส้ทะชักออกมา บางตัวลูกกะตาถลกออกมาข้างนอก บางตัว สมองไหลออกมา บางตัวหลังหัก คอหัด บางตัวถึงขนาดขาดเป็น 2 ท่อนพอได้มากพอที่จะกินได้หลายมื้อก็เก็บมากองๆ ไว้ ได้เป็นกระสอบปุ๋ยสีขาว ประมาณ 50-100 กิโลกรัมเลย...แล้วก็นอน...รุ่งเช้ามาก็ก่อไฟ แล้วก็เผาทั้งเป็นจนมันไหม้แล้วก็เอามาลอกหนังออก แล้วเอาไปล้างน้ำ ทำความสะอาด ผ่าท้องควักตับ ไต ไส้ พุงออก แล้วก็เอามาย่างให้มันแห้งเก็บไว้กินนานๆ ได้คุณตาบอกว่า ชอบและมักไปล่าหนูบ่อยๆ เสมอๆ ทุกครั้ง ที่ได้ไปยิงหนู ทุบ และตีหนูในยามราตรี ช่างเป็นความรู้สึกที่มีความสุข มันยังตราตรึงอยู่ในหัวใจจนทุกวันนี้แต่แล้ว...เมื่อคุณตาอายุมากแล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่ดีมีสุข ลูกชายเป็นถึง ผอ.โรงเรียนขยายโอกาส แต่ก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ ประมาณ 2 ปี ท่านก็เป็นโรคชรา นอนอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปไหน อยู่ๆ ท่านก็เป็นโรคผิวหนัง ผิวเป็นกราก แล้วก็เริ่มเน่า ลูกชายก็พาไปหาหมอ นอนรักษาโรงพยาบาลฟรีได้หลายเดือนก็ไม่หาย ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ผู้น้อยก็ได้ไปดู 2-3 ครั้ง เห็นแล้วก็รู้สึกน่ากลัว เวลานอนก็ต้องนอนตะแคง เสื้อผ้าก็ใส่ไม่ได้ แผ่นหลังลงมาใกล้ๆ ก้นมีน้ำหนองไหล...เยิ้มออกมา แผ่นหลังลอกแล้วลอกอีก มีเลือดออกมาซิบๆ เหมือนตอนที่เอาหนูไปเผาจนผิวไหม้เกรียม แล้วก็ใช้ช้อนขุดแผ่นหนังที่ไหม้เกรียมออก แล้วน้ำเหลืองก็ออกมา ผู้ดูแลต้องใช้ผ้าที่ถูกฆ่าเชื้อแล้วมาชุบยาเช็ดแผลให้ ท่านก็ทนกล้ำกลืนอยู่อย่างนี้ ยามกลางคืนดึกๆ ก็เผลอหลับไม่ได้ บางครั้งเผลอหลับไป แล้วนอนหงายโดนสะเกดแผล ก็ต้องร้องบอกคนดูแลมาดูให้พอถึงหน้าหนาว สะเกดก็แตก เลือดไหล..ปวดแสบปวดร้อน ขยับก็ยิ่งแตก ก็ยิ่งเจ็บชีวิตก่อนตายของท่านเป็นที่ทรมานยิ่งนัก แต่ท่านก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากรรรม และกฏของธรรมชาติบนโลกมนุษย์จะมีการสนองตอบเช่นนี้ตอนนั้นผู้น้อยก็ยังเด็กอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีสาเหตุจากอะไร ทำไมคนเราต้องเป็นโรคอย่างนั้น และตอนนี้ผู้น้อยก็ไม่อาจตีความได้ว่า กรณีของคุณตา เป็นเพราะกรรมจากการฆ่าหนูหรือเปล่า และเราควรจะเชื่อได้สนิท 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ว่า มันเกิดจากแรงกรรมจริง
แต่...เราควรใช้ปัญญาคิด พิจารณา ถึงเหตุและผลจะดีกว่า และไม่ควรอ่านเฉพาะเรื่องบางเรื่องแล้วไปตีความว่าเป็นเพราะกรรม แต่เราควรอ่าน จากหลายๆเรื่อง และคุยกับคนที่เจอจริง และสนทนากับคนที่ประสบชะตากรรมจริง แล้วท่านจะรู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่าง เกิดจากการสร้างเหตุไม่ดีไว้...แล้วจึงต้องรับผลอันเลวร้าย(กรรม)กลับมาตามสนอง เป็นอย่างนี้จริงๆ
……………………………………………………………………อาชีพ กับ กรรม…………………………………………………………………….
ผู้น้อยมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง...เป็นเรื่องของกรรม การใช้ชีวิต การประกอบอาชีพที่แตกต่างกันของคนเดินดินทำให้ผลกรรมที่ได้รับก็แตกต่างกันไปเรื่องที่จะมาเล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแถวบ้านผู้น้อย เป็นเรื่องจริงซึ่งผู้น้อยคิดว่าคงเป็นกรรมที่เกิดจากความแตกต่างของอาชีพที่ได้เกี่ยวของกับการสร้างกรรมแต่ใครจะเห็นด้วยเช่นไร ก็เป็นสิทธิตามสมองของตน (ถ้าไม่ใช้ปัญญา)เรื่องมีอยู่ว่า...ครอบครัวหนึ่ง (มีพี่น้องหลายคน) ฐานนะค่อนข้างยากจน พี่ชายคนโตเป็นคนขยัน มุ่งมั่น
ทำงานเก่ง มีความทะเยอทะยานสูง เรียนหนังสือจบ แค่ ม.ต้น ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำสวนทำได้ไม่นานก็มองไม่เห็นหนทางร่ำรวย จึงขอทุนพ่อแม่ก้อนหนึ่งไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ หน้าหมู่บ้านผ่านไป 2-3 ปี พี่ชายคนโตขายของดีมาก จนต้องขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นและรับของจากในเมืองมาขาย ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย อุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือ และยาปราบศัตรูพืช
ยาฆ่าแมลง หลากหลายยี่ห้อมาขาย คนในชุมชนก็มาซื้อกันมากมาย พอเริ่มมีทุนมากขึ้นก็เปิดขายน้ำมันรถยนต์แบบหลอด แล้วก็ขยายเป็นแบบถังปั้มด้วยไฟฟ้า มีหัวจ่ายแล้วก็ขยายต่อเติม สร้างบ้าน อีกทั้งขยายโกดังเก็บของให้ใหญ่ขึ้นตามลำดับ.....รายได้เดือนละ ประมาณ 10,000 บาทผ่านไปอีกประมาณ 3 ปี ก็ได้ติดตั้งโรงสี สีข้าวในชุมชนสีข้าวเกือบทุกวัน ได้กำไรวันละ 200 - 300 บาท เป็นรายได้เสริม ไม่นานก็ได้ซื้อรถไถมารับจ้างไถที่นา ที่ไร่ ให้ชาวบ้านได้รายได้พิเศษเพิ่มขึ้นอีก แล้วไม่นานก็ยังซื้อรถหกล้อมา เพื่อรับซื้อผักส่งให้เจ๊ใหญ่ ตลาดปฐมมงคล ตลาดสี่มุมเมือง และราชบุรี ....รายได้เดือนละ ประมาณ 20,000 แต่ยังไม่พอ....ผ่านมาประมาณ 3 ปี ยังมีโครงการอีก คือ ซื้อลูกหมู ลูกไก่ มาแล้วสร้างเล้าหมู
เล้าไก่ ข้างๆโรงสี แล้วก็เลี้ยงหมู ไก่ โดยเอาเศษข้าว และรำข้าวที่เหลือจากโรงสี มาคลุกกับอาหารหมูและไก่ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่เดียวเลย ตอนนี้รายได้ประมาณ 25,000 - 30,000 บาทดูดูไปแล้วครอบครัวพี่ชายคนโตคนนี้...มีเงินไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี แต่ชาวบ้านเรียกว่า "เฒ่าแก่"เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล และคนที่ภูมิใจก็หนีไม่พ้นผู้เป็นพ่อแม่ของผู้เป็น "เฒ่าแก่"และในระแวกชนบทเช่นนี้ เฒ่าแก่คนนี้ถือได้ว่าเป็น เศรษฐีคนหนึ่งก็ว่าได้แม้เฒ่าแก่คนนี้จะมี รถ บ้าน ทรัพย์สินเงินทอง มีลูกน้อง มีธุรกิจขนาดย่อมที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ตลอดจนวันตาย และสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบสูงได้ดั่งความหวัง....แต่...สิ่งหนึ่งที่มักจะทำให้เฒ่าแก่ใหญ่คนนี้ หนักใจ ทุกข์ใจบ่อยๆ ก็คือ...แม้เค้าจะฐานะดีจนสามารถส่งเสียน้องชายเรียนจนปริญญาตรี แต่...ลูกสาวคนแรกเรียนจบแค่ ม.3 ก็ต้องออก แต่งงานกลางคัน(เพราะท้อง)
ส่วนลูกชายคนที่ 2 อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียนในเมืองใหญ่ เรียนแค่ ม.3 แล้วก็อยู่ไม่รอดเพราะกลับบ้านทุกอาทิตย์ แถมมีมอเตอร์ไซค์ให้ขี่เที่ยวสบาย ผู้เป็นพ่อก็ให้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในตัวจังหวัดใกล้บ้าน เรียนไม่ถึงเทอมก็หนีเที่ยว โดดเรียน ขาดเรียน ไปกับเพื่อนฝูงสุดท้ายพ่อต้องให้มาเรียน ร.ร.ขยายโอกาสที่บ้าน (ยังไม่รู้ชะตาอนาคต)ส่วนน้องสาวอีกคน (คนที่ 3 ) กำลังเรียน ม.2 ก็มีแฟนเรียบร้อย (บางครั้งยังพาแฟนชายมาค้างที่บ้านเลย) จนทำให้แม่เขาเสียใจมาก...ถึงกับน้ำตาตก แถมยังเที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง เลิกเรียนกว่าจะมาถึงบ้านก็ 1-2 ทุ่มพ่อเค้าเคยหวังว่า...หลังจากส่งน้องชายเรียนจบ
ตัวเองก็จะส่งลูกเรียนให้สูงๆ ชดเชยที่ตนไม่ได้เรียน ต้องออกมาช่วยครอบครัวหาเงินแต่ความหวังวันนี้...มองเห็นแค่ลิบหรี่ เป็นแค่ความหวังจางๆ มองไม่ค่อยเห็นเลย...พ่อเค้าไม่เคยคิดเลยว่า...ทำไม ใคร หรือเพราะอะไรกัน ตนก็เป็นคนกตัญญูเอาพ่อ(ปู่ของหลาน 3 คน) มาเลี้ยงมาอยู่บ้านด้วย ตัวเองน่าจะกตัญญูต่อพ่อแม่ อีกทั้งเป็นคนดีชอบร่วมงานบุญงานกุศล ใส่ซองในงานชุมชนก็มากมาย แต่ทำไมลูกหลานไม่ได้ดั่งใจสักคน....กลับกัน...น้องชายคนรองจากพี่คนโต ก็ออกมาทำสวนกับพ่อแม่ มีรายได้ปีละ 3 - 4 หมื่นแต่งงาน มีลูก 3 คน ลูกสาวคนโต กังลังจะจบ ม.ปลาย วิทย์คณิตฯ การเรียนปานกลาง ขยัน อดทนเรียนอยู่ในตัวเมือง ทุกวันศุกร์เย็นจะหิ้วการบ้านกลับมาบ้าน เสาร์ - อาทิตย์ ก็จะช่วยพ่อแม่ทำสวนเย็นก็ทำการบ้าน สอนน้องที่ เรียน ม.1 ด้วยความสนุกสนานส่วนน้องชายคนที่ 3 ก็ออกเรียนมาทำงานกับพ่อแม่ ทำอาชีพเกษตรกรรมธรรมดารายได้ปีละ 2 - 3 หมื่นบาท แต่งงาน มีลูก 3 คน ลูกสาวคนโต คนพ่อส่งไปเรียนในเมือง
เรียนแค่ ม.2 แต่กลับหารายได้พิเศษเสาร์ - อาทิตย์ ก็ขาย พริก ผัก ต่างๆ โดยยายที่ขายอยู่แล้วเปิดร้านให้ขายเอง ดูแลเอง ส่วนวันธรรมดาก็ไปเรียน หลังเลิกเรียนก็รับจ๊อบพิเศษที่ทางโรงเรียนติดต่อเป็นโครงการให้แม่ค้า นักธุรกิจ สามารถรับเด็กนักเรียนแต่งชุดนักเรียนเข้าไปทำงาน พาร์ทไทม์ ช่วงเย็น วันละ 1 - 2 ชั่วโมง ได้รายได้วันละ 50 - 100 บาท
จะเห็นว่า....คนเราแม้ บางคน บางครั้งอาจร่ำรวยมากมาย แต่ก็ได้เกี่ยวกรรม ผูกวิบากกรรมจากการประกอบอาชีพหลายอย่าง โดยไม่รู้ว่าอาชีพที่ทำอยู่ แม้ทำให้เรารวยเห็นก้อนเงินก้อนทองแต่...มันกำลังบั่นทอนบุญวาสนา ของตัวเอง และลูกหลาน และกรรมที่ผูกกับสิ่งมีชีวิตบางคนอาจคิดว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์ แต่ท่านเคยเห็นมีหมูหรือ ไก่ตัวไหนบ้าง...ที่มันวิ่งเข้ามาหา แล้วบอกว่า "เอาฉันไปฆ่าเป็นอาหารนะๆๆ" มันมีแต่หนีและหนีลูกเดียว มันมีความรู้สึกรักตัวกลัวตายเหมือนกับคนอ่านทุกคนฉะนั้นการเอาชีวิต หมู ไก่ มากมายหลายร้อย - พันชีวิต และยาฆ่าแมลงฆ่ากันเป็นพันๆ หมื่นๆ ชีวิต บางทีดูผิวเผินแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก เล็กๆน้อยๆ ไม่มีปัญหา...แต่...เมื่อกรรมหลายๆ อย่างมารวมกันแล้ว อาจทำให้เป็นกรรมที่หนัก เหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอดพร้อมที่จะสนองได้ทันทีแต่กลับกัน...บางคนใช้ชีวิตปกติธรรมดา ไม่รวยไม่จน พออยู่พอกิน อาชีพการงานใช้ได้สุจริต ไม่เกี่ยวกรรมมากมาย (เกี่ยวบ้างเล็กน้อย) กลับมีชีวิตที่มีความสุข ลูกหลานขยัน ประหยัด ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อรั้น เป็นคนดีของสังคม เพื่อนบ้านรักใคร่
ทำอย่างไรเมื่อ (ใจ) เป็นหนี้
ยุคข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองไม่สงบ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ความรู้สึกค่านิยมของคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่อง "เงิน" เป็นหลักในสังคมทุนนิยมแบบนี้ ยามไม่มีเงินก็คงลำบากเมื่อเงินมีใช้ไม่พอต้องหยิบยืมจนเป็น "หนี้" คืออุปสรรคในชีวิตของคนส่วนใหญ่เวลาที่คนเราเป็นหนี้ เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นหนี้เฉพาะตัวหรือด้านเงินทอง แต่ "ใจ" ก็เป็นหนี้ไปด้วย "ใจเป็นหนี้" ในความหมายของตน การที่เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปผูกกับการอยู่ในสถานะการเป็นลูกหนี้เป็นสิ่งทำให้เหมือนไม่มีอิสระในชีวิต ใครสักคนมีอำนาจในการจัดการเราได้เพราะไปเอาของของเขามา จึงไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากนักหลายคนพาลนอนก่ายหน้าผาก คิดมาก จนเป็นคนวิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้าถาม
ทำงานหาเงินชดใช้หนี้ไปตามกาลเวลาที่กำหนดไว้ ป่วยการที่จะไปทุกข์ใจกับเรื่องการเป็นหนี้เพราะทุกข์ไป เงินก็ไม่งอกเงยขึ้นมาให้ฟรีๆ อาจยิ่งทำให้หมดแรงในการหาเงินมาใช้หนี้เสียอีกยิ่งแย่เข้าไปใหญ่อีกประเภท พวกทองไม่รู้ร้อน อยากได้ของเขา พอได้มาก็ไม่คิดว่าจะต้องรับผิดชอบอะไรคิดเข้าข้างตัวเองว่าเงินทองแบ่งกันใช้ แม้ตนเองไม่ได้หามาเลยไม่รู้สึกต้องจ่ายคืนขอหยิบยืม แต่ไม่คืน คนจำพวกนี้น่ากลัว และถือว่าเป็นคนไม่ดีรับมือกับการเป็นหนี้อย่างไรคำแนะนำนี้อาจใช้ได้สำหรับหลายคน แต่มีอีกหลายคนไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ถ้ามุ่งประเด็นที่ "ใจ" ของเรา อยู่อย่างใจสงบ อิสระจากการถูกมัดจากเรื่องภายนอกคิดว่าทุกอย่างที่เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้
1. มองโลกในแง่ดีให้มาก คิดว่าการที่ติดหนี้สิน เพื่อการพัฒนาพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเงิน แต่ก็ห้ามคิดว่าพัฒนามากเกินไปจนกลายเป็นฟุ้งเฟ้อไม่รู้จักพอ ที่แย่คือคิดเอาเงินในอนาคตมาใช้ โ ดยไม่รู้จักบริหารจัดการให้ดี อย่างนี้ก็เป็นหนี้หัวโต
2. อย่าเป็นคนรักษาหน้ามาก บางคนมองการเป็นหนี้คนอื่น เป็นการบอกว่าเราด้อยไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ทนไม่ได้ที่ต้องเป็นหนี้ ก็เลยไม่กล้าลงทุนทำอะไรหรือยอมไปหาเงินมาจากที่อื่นๆ ที่ไม่เหมาะสมแทน เช่น เล่นการพนัน เสี่ยงโชค
ยอมขายตัวขายศักดิ์ศรีแลกเงิน แย่กว่าการเป็นหนี้สถาบันการเงินเสียอีก
3. มองว่าการมีหนี้ก็เพื่อการฝึกควบคุมตนเองและฝึกการบริหารจัดการเรื่องเงินเรื่องทองให้ได้ ถ้าทำได้ ฝ่าฟัน
ได้จะเป็นผู้มีประสบการณ์แกร่งขึ้น
4. บอกตัวเองเสมอว่าคนที่เครียดควรเป็นเจ้าหนี้อย่ามองเพียงแค่ว่าเจ้าหนี้มีความสุขจากการได้ดอกเบี้ยเงินกู้อย่างเดียว
มีเจ้าหนี้จำนวนมากก็ขาดทุนไปไม่น้อย ซึ่งควรจะช่วยกันทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย อย่าเอาเปรียบกันดีที่สุด
5. เผื่อใจสำหรับการใช้หนี้ไม่ได้ อาจต้องยอมขายหรือเสียอะไรบางอย่างบ้างเพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้ อย่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบยึดติดกับวัตถุมากเกินไปเงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ อย่าไปปักใจอยู่กับคุณค่าของวัตถุมากเกินไปเพราะคุณค่าที่เกิดขึ้นเกิดจากใจของเราต่างหากที่ไปสร้างเงื่อนไขทางความคิดตัวเอง
6. ผู้ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ขายชดใช้หนี้ อย่าลืม"ทรัพย์สินทางปัญญา"ต้องพยายามหาออกมาใช้ให้มากที่สุดเชื่อว่าไม่มีทรัพย์ใดจะมีค่ามากไปกว่าปัญญาของเราเอง
7. คิดหาทางเลือกอื่นๆ ไว้เมื่อหนี้มีปัญหา อย่าคิดสั้นๆอย่าลืมว่าปัญหามักจะมีทางออกสำหรับผู้
8. การเป็นหนี้ในแง่ดีคือว่าคุณยังเป็นคนที่มีเครดิตอยู่ อย่างไรก็ตามถ้าขอใครแล้วเขาไม่ให้ยืมก็กลับมาทบทวนบอกตัวเองว่า"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"อย่าไปหวังใครจะมาช่วยเรา ถ้าเรายังไม่เริ่มต้นคิดช่วยเหลือตนเอง
9. ฝึกตนเองมุ่งมั่นในการทำงานไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดเรื่องการเป็นหนี้อยู่ในสมองให้มากนัก มีความรับผิดชอบต่อชีวิตและหนี้สินเมื่อนั้นจะรู้สึกมีความสุขมาก และจะภูมิใจที่เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่ดี ให้ชมตัวเองบ่อยๆได้
10. ถ้าโดนเจ้าหนี้ทวงอยู่เรื่อยๆ ใช้วิชาการเจรจาต่อรองแสดงความจริงใจว่าจะผ่อนส่งให้ ถ้าเขาอยากได้มากกว่าที่เราสามารถให้ได้ก็ตอบไปตรงๆ ว่าไม่สามารถทำได้ในเวลานั้น (แต่จะพยายามหามาให้)เพราะเขาเองก็กลัวจะไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น หาข้อตกลงรอมชอมดีที่สุดอย่าเครียดไปก่อนเพราะกลัวว่าจะทนต่อการถูกทวงไม่ไหวอย่าลืมว่าเจ้าหนี้บางรายเป็นพวกจู้จี้จุกจิก ย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งควรเห็นใจเขาเพราะเงินของใคร ก็หวงห่วงเป็นธรรมดา
11. คนที่ค่อนข้างเครียดคิดมากเรื่องการเป็นหนี้ให้สำรวจตนเองว่าเป็นคนวิตกกังวลเกินไปหรือไม่ ส่งผลต่อชีวิตอย่างไร
เช่น ทำให้ขยันขึ้น ทำให้หมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับปัญหากันไหมถ้าเป็นประเด็นหลังอาจต้องรับการบำบัดรักษาทางด้านสุขภาพจิตจะดีกว่าหากปล่อยไว้ ชีวิตจะค่อยๆ หมดพลังในการดำเนินชีวิตในที่สุด "ผมคิดว่าไม่จำเป็นอย่ามีหนี้ดีที่สุด หากต้องมีขอให้มีหนี้สิน เพื่อเป็นทรัพย์สินที่มั่นคงในอนาคตมากกว่าหนี้สูญ เช่น หนี้จากการฟุ่มเฟือยใช้จ่ายในสิ่งที่ไร้สาระ หาความสุขที่มากเกินพอดี การเล่นการพนัน ติดยาเสพติด เป็นต้น ดูๆ ไปก็น่าเหนื่อยใจไม่น้อยขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังมีหนี้อยู่ด้วย ว่าความพยายาม อดทนอยู่ที่ไหนหนี้ทางใจก็จะไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป"แต่ถ้าไม่สามารถจัดการได้ คุณอาจจะ "ป่วย" เพราะหนี้ได้เช่นกัน
สุดท้ายของทุกสิ่ง
สุดท้ายเมื่อถึงจุดสุดการ
พระโอวาท "พระพุทธจี้กง" ฆราวาสกับผู้ออกบวช
มีคนคิดว่าการเรียนพุทธธรรมต้องออกบวชจึงสามารถสำเร็จได้มีคำกล่าวว่า “วางมีดลง สำเร็จพุทธะ”บอกให้รู้ว่าเป็นฆารวาสเรียนพุทธธรรมก็สามารถสำเร็จได้เช่นเดียวกันฆราวาสสำเร็จพุทธะมิใช่มีเพียงคนเดียวแต่มาเปรียบเทียบกันแล้ว
ผู้ออกบวชจะมีอุปสรรคน้อยกว่ามากฆราวาสผู้บำเพ็ญต้องวุ่นวายอยู่กับงานทางโลกทำให้ใจที่มีอุดมคติได้รับการกระทบแต่ถ้าสามารถทำใจนิ่งเฉยก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันกับผู้ออกบวช จากตัวอย่างเช่นท่านอาจารย์มหาพั้งท่านได้โปรดคนเลวให้ได้ดีจำนวนมาก ท่านมหาพั้งมีชื่อว่า อุ่ง ธรรมฉายาว่าเต้าเฮี้ยนเป็นลูกเศรษฐี ครอบครัวรับราชการบิดาเป็นเจ้าเมืองมีทรัพย์สมบัติมาก เป็นเพราะอยากเป็นพุทธะ จึงบริจาคทรัพย์สมบัติไปมากเหลือเพียงเล็กน้อย อยู่เป็นฆราวาสบำเพ็ญทั้งสองสามีภรรยาที่สุดสำเร็จมหาธรรม สุดท้ายสำเร็จเป็นพุทธะ เมื่อสำเร็จมรรคผลแล้วก็ยังมีคติพจน์จำนวนมากเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง ตอนนี้ก็จะเขียนส่วนที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นฝึกเรียนพุทธธรรมนำไปใช้ได้ 1.ใจเฉยก็คือสมาธิ สภาวะเฉยก็คือฌาน นิ่งเฉยไม่หวั่นไหวมหาไม่ใช่ตรงกลางหรือข้างๆ หากใจสามารถไปถึงได้ก็อย่างที่เรียกว่าบัวกลางไฟ (อธิบาย: เฉยก็คือไม่ไหว ไม่ครุ่นคิดไปกับสภาวะ) นิ่งเฉยเหมือนมั่นคง จึงพูดว่าใจเฉย ขอเพียงใจเฉยนั่นคือเข้าสู่สมาธิสภาวะเฉยคืออยู่ในสภาวะอะไรก็อยู่ในสภาวะอย่างนั้นคืออยู่ในสภาวะอันนี้ไม่คิดออกไปจากสภาวะ 2.ไม่โลภดีกว่าให้ทาน ไม่หลงดีกว่าทำสมาธิ ไม่โกรธดีกว่าถือศีลไม่คิดคำนึงดีกว่าแสวงหาโอกาส ก็พ้นไปจากปุถุชนกลางคืนก็นอนหลับดี หน้าหนาวก็นั่งผิงไฟ ไฟจริงไม่มีควันไม่ถือความมืด ไม่แสวงหาบุญกุศลเดินเหินตามสะดวกล้วนเป็นปัญญาญาณ หากสามารถฝึกแบบนี้ได้บุญกุศลไร้ขอบเขต (อธิบาย: ผู้ที่สามารถให้ทานย่อมไม่โลภ การนั่งสมาธิก็เพื่อรวบใจไว้หากไม่คิดฟุ้งซ่านก็เปล่าประโยชน์ที่จะนั่งสมาธิ ถึงแม้จะถือศีลได้ครบบริบูรณ์) แต่พอโกรธก็เหมือนจุดไฟเผาศีล สุดท้ายกลายเป็นความขุ่นข้องหมองมัวไม่ครุ่นคิดใจก็ใสเหมือนธารน้ำ ไฉนจึงต้องไปแสวงหาโอกาสปุถุชนทางโลกก็คือทุกข์กังวลไม่สิ้นสุด หากเข้าใจกฎแห่งกรรม
ก็จะเป็นสุขและยอมรับความทุกข์โดยไม่กล่าวโทษ มีความสงบสุขก็หลับได้สบายก็จะไม่ใจแบ่งแยกบาปบุญดีชั่ว แม้จะเป็นหญิงโสเภณีทำไมจึงต้องถือสาตั้งใจบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ไม่ต้องมีใจไปแสวงหาบุญกุศล ไม่แสวงหาบุญวาสนาให้เป็นไปตามแต่ดวงชะตา นั่นคือความเป็นมหาปัญญา 3.ไม่ครุ่นคิดเป็นวัดใสเย็น ขันธ์ว่างคือ ห้าวิหารแท้ ต่อสภาวะใจไม่แปดเปื้อนมีกามารมณ์ตายด้าย หลักธรรมล้ำลึกก็จะปรากฎชัด เมฆทมึนก็จะเปิดกว้างจักได้ตาทิพย์ ละรูปเห็นตถาคต หากฝึกได้ตามที่เรียนไม่เคลื่อนไหวก็พ้นจากสามเคราะห์ (อธิบาย: ใจไม่ครุ่นคิดย่อมจะใสเย็นแน่ เมื่อขันธ์ทั้งห้าว่างเปล่าก็เหมือนได้ขึ้นสู่วิหารห้า ไม่ติดอยู่กับสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นบาปบุญสวยงามหรืออัปลักษณ์ ก็ไม่เกิดสภาวะ คือใจไม่สกปรก) เมื่อเกิดกามารมณ์ขึ้นใจก็เหมือนตายด้าน ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ทั้งเจ็ดอย่างนี้จะมีเรื่องอะไรนอกเหนือกายอีก ขอเพียงมีใจสงบสัจธรรมล้ำลึกก็เกิดขึ้นจากใจ วิถีธรรมทั้งหลายก็อยู่เฉพาะหน้าก็เหมือนกับก้อนเมฆเป็นก้อนๆ บนท้องฟ้ากว้าง เมฆเกิดจากท้องฟ้าสรรพธรรมไร้ขอบเขตก็กระจายอยู่เต็มจักรวาล ไม่แน่เสมอไปว่าต้องได้อภิญญามีตาทิพย์จึงจะสำเร็จเป็นพุทธะ รูปต่าง ๆ ไม่ทำให้ยึดติดหากสามารถพ้นจากรูปต่างๆ ได้ ไม่เกิดความคิดขึ้น ก็จะพบตถาคตโดยไม่ต้องขยับเคลื่อนไหวก็จะสามารถพ้นจากเคราะห์ทั้งสามเคราะห์ทั้งสามคือทางสามแพร่ง 4.ตะวันหมุนสั้นลง กาลเวลาจากไปรวดเร็ว ร่างกายเหมือนกับฟองในน้ำชีวิตเหมือนเทียนต้องลม ควรระมัดระวังงูทั้งสี่เสมอ ใส่ใจขจัดพิษทั้งสาม อธิบาย: ชีวิตคนมีกี่มากน้อย ชะตาชีวิตแค่สั้นๆ เพียงหมุนกะพริบก็อนิจจังเสียแล้วควรที่จะว่างจากอาตมาลักษณ์ บุคลาลักษณ์ สัตวาลักษณ์และชีวลักษณ์
ถ้าลักษณะทั้งสี่ยังมีอยู่ จิตเดิมก็เผยปรากฎออกมาได้ยากดังนั้นลักษณะทั้งสี่ก็คืองูทั้งสี่ เพราะมันมีพิษ กีดขวางโพธิและความวิริยะขณะเดียวกันก็ต้องยอมเจ็บปวดบำเพ็ญขจัดดับโลภโกรธหลงอันเป็นพิษร้ายทั้งสามให้หมดสิ้น ปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไป ก็จะสามารถสำเร็จเป็นพุทธะทันทีโศลกอันแรกที่กล่าวมาจะต้องนิ่งเฉยไม่หวั่นไหวใจสงบหยุดครุ่นคิดโศลกอันที่สอง อธิบายถึงการฝึกพุทธะอยู่กับบ้านถึงแม้ยังไม่ได้ถือศีล ทำฌาน สมาธิ หากสามารถปฏิบัติได้เองโดยสะดวกก็จะเหมือนกับผู้ออกผนวชถือศีลสามารถสำเร็จพุทธะได้โศลกอันที่สามก็ต้องบำเพ็ญบารมี เริ่มจากการหยุดครุ่นคิดทั้งรูปและความว่าง ล้วนไม่เกิดความคิดขึ้น พั้งไท้ซือสามารถเข้าถึงการหยุดความคิดและละรูปได้ ย่อมเข้าถึงที่แยบยลส่วนโศลกอันที่สี่นั้นก็คือการว่างจากลักษณะทั้งสี่ใจคนย่อมติดอยู่จึงยากต่อการทำให้ว่างจากลักษณะทั้งสี่ได้ เมื่อยึดติดในรูปลักษณะแล้วถึงแม้จะสำเร็จทั้งหมดได้ก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะที่สิ้นสุดได้สรุป โศลกทั้งหมดของอาจารย์พั้งไท้ซือ ล้วนเป็นการเปิดธัมจักษุอีกทางหนึ่งโดยใช้หลักการวัชระ และแนวปฏิบัติของสัก ธรรมปุณฑริกสูตรมีใจสงบหยุดความคิด การรวบใจมีศิลป์ดังนั้น จึงสามารถบำเพ็ญอย่างฆราวาสจนสำเร็จมรรคผลได้ด้วยวิถีธรรมแบบง่ายๆ นี้ ก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เช่นนี้แล้วไฉนจึงต้องเที่ยวไปจุดธูปไหว้พระไปแทบทุกแห่งหนฌานสมาธิ ฌานสมาธิ หลื่อโจ้ว ท่ามกลางชีวิตปัจจุบันที่วุ่นวาย ทุกคนควรมี “ฌานสมาธิ” ไว้บ้างจึงจะสามารถยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น การยกคุณสมบัติของชีวิตให้สูงขึ้น
ก็คือการสำแดงประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นรักษาชีวิตให้มีความสมดุลและกายใจให้มีพลานามัยเพราะว่า “ฌาน” คือศิลปะของชีวิตยิ่งเป็นการปรุงวิญญาณของชีวิตให้กลับกลายสวยงามอย่างแท้จริงสามารถทำให้ใจมีอิสระอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ ๆ ต้องตบแต่งและไม่มีที่ค้างอยู่เข้าถึงสภาวะสูงสุดของยาน ถ้าได้บำเพ็ญฌานสมาธิแล้วเบื้องแรกสุดก็สามารถทำให้ชีวิตสุขสบาย ไม่เกิดอารมณ์โกรธง่ายไม่ถูกความอยากภายนอกหลอกลวงจนทำให้วิถีชีวิตวุ่นวายก่อให้เกิดภัยเคราะห์ขึ้นได้ ขณะเดียวกันการอบรมคุณธรรมของตนก็จะค่อย ๆ เจริญพัฒนาขึ้น ก็จะถูกชาวโลกกำหนดให้สร้างสรรค์ตนจนกลายเป็นบุญกุศลอันประมาณมิได้ไม่มีสายธรรมไหนที่จะไม่บำเพ็ญ “ฌานสมาธิ” เน้นเป้าหมายแรกในการฝึกโดยเฉพาะทางเซ็นจะให้ความสำคัญโดยกำหนดเป็นงานที่ต้องทำมีเพียงสมาธิเท่านั้นที่ทำให้จิตวิญญาณเดิมของตนได้รับอิสระอย่างแท้จริงเพราะฉะนั้นพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ได้กำหนดไว้เป็นแนวทาง 4 ข้อให้ศิษย์ฝึกฝนทำความสะอาดจิตตน ฟื้นฟูจิตวิญญาณ ผ่านเวลาการฝึกปรือและชำระล้างจนกว่าจะพ้นอวิชชา ให้ปัญญาเจริญออกมา จะได้ดำเนินชีวิตที่หรรษา สดใหม่
ตอนนี้ก็ขอนำแนวทาง 4 ข้อมาให้พิจารณาศึกษาดู 1. ยอมรับชะตากรรม ชีวิตคนไม่สมหวังมีมากถึง 8-9 อย่างใน 10 อย่าง
บนเส้นทางชีวิตแต่ละคนหลีกไม่พ้นจากอุปสรรค์สิ่งกีดขวางจึงจำเป็นต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นคุณค่าของชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ถือสัจธรรมของชีวิต ถึงแม้ความไม่สมหวังจะมีอยู่แต่ก็ต้องรับมันเอาไว้ไปเผชิญหน้ามัน จึงจะสามารถสยบมันได้ จากนั้นก็ลอยพ้นมัน หลุดพ้นมันมนุษย์ถึงแม้จะไม่อาจดีพร้อมได้ หรือเป็นด้วยศักยภาพของตนหรือเป็นด้วยชีวิตแวดล้อม หรือเป็นด้วยการงานที่ฝืดเคืองแต่ละคนก็จะพบกับอุปสรรค์และกรรมกีดขวางที่ไม่เหมือนกันแต่การจัดการสุดท้ายควรจะเป็นอย่างเดียวกันคือไปยอมรับมันไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้ จะต้องไปเผชิญหน้าโดยไม่ต้องกล่าวโทษอารมณ์ที่เศร้าสร้อยให้มลายหายไป ภายหลังจึงสามารถเอาใจที่สงบไปเพิ่มพลังใจให้เหนียวแน่น ไปหาวิธีแก้ไขมันอารมณ์ที่โกรธแค้นจะรบกวนรากฐานของสภาพใจ เมื่อสภาพใจว้าวุ่นก็ยิ่งกระพือให้อารมณ์รุนแรงยิ่งมากขึ้น ทำลายความใสกระจ่างของใจ
ที่ไม่อาจชดเชยได้ ให้กล้าหาญไปแบกรับ กลับกันอาจทำให้ตนเองถูกกระตุ้นขึ้นมาชาวเซ็นกล่าวว่า “หากสามารถมองทะลุสิ่งทั้งหลายสภาวะมีกับไม่มี คือวัชระปัญญา”แล้วสามารถทำลายสภาวะผูกมัดทั้งหลายได้ จึงจะสามารถทำลายความกังวลทั้งหลายได้ ทำให้ตนเองมีชีวิตที่งามสมบูรณ์ 2. ปฏิบัติตามเหตุปัจจัย แต่ละคนดำเนินชีวิตตามเหตุปัจจัย ใจก็พัฒนาไปตามเหตุปัจจัยด้วย ตลอดจนความสำเร็จของชีวิตก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเองมนุษย์ก็ควรขยันดำเนินชีวิตแบบพุทธะ ยึดถือจิตเดิมของตนเองสำแดงปัญญาประสบการณ์ที่ตนมีอยู่แล้วให้เผยปรากฏออกมาตามความเป็นจริงไม่เปรียบเทียบ ไม่ริษยา ไม่ให้อารมณ์สับสน ไม่แสวงหาชื่อเสียงผลประโยชน์ไม่แสวงความรุ่งโรจน์ เผยศักยภาพที่ซ่อนเร้นให้ปรากฏอย่างมั่นคงทำให้ตนเองได้รับการกำหนดด้วยตนเอง นี่ก็คือการปฏิบัติตามเหตุปัจจัยภายหลังก็จะปีติยินดีต่อความสำเร็จของชีวิต 3. ยกย่องธรรมเดินโพธิสัตว์มรรค มนุษย์ควรปฏิบัติตามธรรมเพื่อดำเนินชีวิตตนเองให้ชีวิตตนเองปรากฏขึ้น แล้วอาศัยพลังศักยภาพที่ตระเตรียม ไปกำหนดแน่นอนไปดำเนินตามเป้าหมายคือโพธิสัตว์มรรค ขณะที่เรายังเป็น ๆ อยู่ให้ฝึกหัดฌานสมาธิโดยอิงวิธีที่ถูกต้อง เมื่อผ่านขั้นตอนการฝึกฌานสมาธิแล้วต้องรู้สึกใจนั้นเป็นสุข และได้หลักธรรม ที่เป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมระดับสูงของการกำหนดจิตกับความเชื่อถือ“ภายนอกพ้นจากรูปเป็นฌาน ภายในไม่สับสนเป็นสมาธิ”หากพบว่าสภาวะจิตไม่สับสนแล้วเป็นสมาธิแท้จะไม่เกิดความเห็นอะไรหรือเห็นเพี้ยนมาเป็นอุปาทานไม่ถูกความอยากในวัตถุข่มเหงปิดบัง ไม่ถูกรูปคุกคามครอบงำเช่นนี้จึงจะนับว่าได้ก้าวหน้ารู้ตื่น ต่อไปก็จะสมบูรณ์ในโพธิสัตว์มรรค 4. ไม่แสวงหาอะไรเดินพุทธมรรค ชีวิตต้องสามารถรู้จักพอไม่แสวงหาอะไรจึงจะใส จึงจะสะอาดเริ่มต้นต้องสามารถอิสระไปแสดงให้เห็นถึงความปีติยินดีต่อความสมบูรณ์กับความสว่างไสวแท้จริงของชีวิตไม่แสวงหาอะไรคือ “ความว่าง” ก็คือความสามารถปล่อยวางความมายาสูญเปล่าเผยปรากฏจิตพุทธะดังเดิมของตนออกมา จนเข้าถึงสภาวะที่มีอยู่อย่างอัศจรรย์ของความว่างแท้ สำเร็จด้วยตนเอง “ความว่างคือมีอยู่ ความมีอยู่คือความว่าง”ท่ามกลางความว่างไปพิจารณาองคาพยพตามความเป็นจริงอาศัยความว่างไม่ยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยไม่หยุดติดต่อกันไปจนกว่าจะเข้าสู่มหามรรคแห่งพุทธะ ทั้ง 4 มรรคดังกล่าวสามารถเข้าถึงทางกลมสมบูรณ์ของชีวิตเป็นทางโคจรจิตแท้ของคนให้สูงขึ้นเพื่อให้ชีวิตอันจำกัดได้สำแดงความสว่างถึงจุดสุดเป็นหนทางที่สว่างสวยงามจริงของชีวิตมนุษย์มีคุณค่าที่ชาวโลกจะหวงแหนพิจารณาตรึกตรองดู