กฏแห่งกรรม

 

ความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคน คือ เกิด เป็นทารก เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน คนแก่ และวัยชรา แล้วก็ตาย...สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่อาวุโสทุกท่านเคยสังเกตไหมว่า...ทำไมชีวิตคนเราจึงมีอุปสรรคปัญหามากมาย สารพัดเรื่อง เช่น
บางคน...ต้องเป็นเด็กกำพร้าแต่เล็ก พ่อแม่ให้กำเนิดแล้วทิ้งข้างทาง บางคน...บางคนเกิดมาเป็นคนพิการ เป็นคนขี้โรค
บางคน...สามีภรรยาทะเลาะกันทุกวัน สามีติดยาฯ ภรรยาเล่นการพนัน บางคน...ลูกหลานไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู
บางคน...เกิดมายากจนข้นแค้น ทำมาค้าขายไม่รวย ทำอะไรก็เจ็ง บางคน...พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มี เป็นพ่อม่าย แม่ม่าย ลูกหลานก็ไม่มี บางคน...ต้องเจอเคราะห์ร้ายภัยพิบัติ บางคน...ถูกสังคมรังเกียจเหยียดหยาม ทั้งๆ ที่ทำดีมาตลอดชีวิต
และทำไม่ชีวิตคนเราเหมือนไม่ยุติธรรมซะเลย...แม้ก่อนตายก็ยังตายหลายรูปแบบมากมาย เช่น บางคน...ป่วยหลายปีกว่าจะตาย บางคน...ป่วยหลายเดือนแล้วตาย บางคน...ป่วยกระทันหันตาย บางคน...เกิดอุบัติเหตุตาย และ
บางคน...นั่งๆ อยู่ก็ตายอย่างสบายๆ และการตายของคนเราก็ไม่ได้เจาะจงว่า จะต้องเป็นคนแก่เท่านั้น เช่น
บางคน...ยังอยู่ในท้องแม่ก็ตายแล้ว บางคน...เกิดมาได้ไม่กี่วันก็ตายแล้ว บางคน...เกิดมายังเป็นเด็กๆ ก็ตายแล้ว
บางคน...เป็นวัยรุ่น กำลังสนุกสนาน ร่าเริง แต่ก็ตายแล้ว บางคน...ตายตอนวัยทำงาน... บางคน...ตายตอนแก่...
บางคน...ตายตอนแก่ชรา อายุ เกือบร้อยปี ปํญหาสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น แต่อาวุโสทุกท่านเคยถามตัวเองไหมว่าทำไม...คนเราต้องเจอกับปัญหาชีวิตมากมายเช่นนี้ ทำไมฟ้าไม่ให้เราเกิดแม่อย่างสุขสบาย ร่างกายแข็งแรง ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขตลอดชีวิต แม้ตอนแก่ชรา....ตายก็ให้ตายอย่างสงบนิ่ง ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องป่วย
คำตอบ...ตามหลักศาสนา และนักปราชญ์ นักบุญทั้งหลาย ก็คือ...ทุกสิ่งบนโลกเป็นไปตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่ง
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า กฏแห่งกรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วคริสตศาสนา เรียกว่า ผลสนองของการกระทำ เช่น มัดธาย12/33 มีคำตรัสว่า "จงทำต้นไม้ให้ดีเถิด แล้วผลของมันจะดีเอง, จงทำต้นไม้ให้ชั่วเถิด แล้วผลของมันจะชั่วเอง"
ทางการปกครอง เรียกว่า กฏหมาย เช่น ถ้าเอาไปใช้ผิดก็เกิดปัญหา ถ้าใช้ถูกก็ยุติธรรมต่อสังคม)ท้องถิ่น หรือบริษัท หรือองค์กร เรียกว่า วัฒนธรรม เช่น การยกมือไหว้ หรือ เช็คแฮน พูดสวัสดีจะดูดีกว่า มองสายตาไม่พอใจ หรือ พูดจาก้าวร้าว ส่อเสียด ฯสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ...กฏแห่งกรรม แต่กฏแห่งกรรมมีความละเอียดมาก สลับซับซ้อน ไม่อาจคำนวณได้ด้วยเครืองคิดเลข หรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาคำนวณได้ แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ในสิ่งแวดล้อม ในทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล....แต่ในกระทู้นี้ เราจะมาพูดถึงเฉพาะกฎแห่งกรรม ที่ทำให้มนุษย์เรามีความแตกต่างกันไป ตามผลของการกระทำต่างๆเรื่องกฏแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ค่อนข้างละเอียด บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อแต่เราควรใช้ปัญญามองให้ทะลุ ให้เข้าถึงเหตุและผล เข้าถึงความจริงของชีวิต และสรรพสิ่ง ความเกิดดับ ความดำรงอยู่ ความเป็นมาเป็นไปของธรรมชาติ และชีวิต สังคม แล้วเราจะรู้เองว่ามันมีกฏของธรรมชาติควบคุมเหนือกฏหมายจริงๆ

………………………………………………………….ผลกรรมยามแก่……………………………………………………………………………

ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ผู้น้อยยังเด็กอยู่ผู้น้อยได้ฟัง คุณตา ซึ่งเป็นน้องชายของตาจริงๆ ผม(น้องของพ่อ...ของแม่)
ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านเป็นยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่นไฟแรง ท่านเป็นคนชอบล่าสัตว์มาก และเป็นคนที่ดวงดี เวลาไปล่าสัตว์ทีไร เป็นต้องได้สัตว์ป่ามามากมาย ดังนั้นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงนักล่าทั้งหลาย จึงอยากที่จะไปกับคุณตาคุณตาเล่าว่า สมัยที่ยังหนุ่มๆ เวลาไปล่าสัตว์ในป่าครั้งหนึ่งได้มากมาย เช่น หมี ลิง หมูป่า ไก่ป่า ฯลฯ แต่สัตว์ที่คุณลุงบอกว่าล่าแล้วสนุก มีความสุขที่ได้ยิง ได้ทุบ ได้ตี ก็คือ การล่าหนู ซึ่งหนูเป็นสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน อาหารของหนู คือ ข้าว ข้าวโพด มัน เผือก ฯ ฉะนั้นหนูจึงมักจะมากินข้าวโพดและข้าว ในหน้าข้าวสุกเหลืองคุณตาบอกว่า....การล่าหนูนั้น สมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ใช้แต่ฟืน ตะเกียง และไฟฉาย ให้ความสว่าง เวลาไปล่าหนูก็หาเหยื่อ คือ ข้าว หรือ ข้าวโพด เอามากองไว้เป็นจุดๆ ข้างฉางข้าว หรือฉางข้าวโพด พอตกกลางคืน ก็จะมีหนูมากินกันคุณตาเล่าว่าเวลาใช้ไฟฉายส่องเห็นหนูย่อง มากินข้าวโพดแล้วรู้สึกสนุกมาก...และก็ใช้หน้าไม้ที่มีลูกธนูเป็นไม้ไผ่เหลากลมๆ ยิงเข้าใส่หนูตัวขนาดเท่าแขนมือ พอยิงโดนหนู มันก็ร้องเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น ตัวอื่นๆ ก็ต่างวิ่งหนีกัน พอเข้าไปที่กองข้าวโพดแล้วก็จับหนูที่โดนยิงมา มันไม่ตายง่ายๆ เลย...(ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วหนูเป็นสัตว์ที่มีกล้ามเนื้อ และระบบประสาท ที่ใกล้เคียงมนุษย์มาก จึงถูกไปทดลงในห้องแล็ปมากที่สุด) พอเอามันออกมาโดยใช้มือจับที่ลูกธนู มันก็ดินสุดชีวิต แต่ไม่มีทางหลุดจากลูกธนู เลือดมันไหลมาติดลูกธนู และเศษไม้ใบหญ้าที่อยู่แถวนั้น แล้วก็เอาไม้ทุบหัวจนสมองแหลก บางตัวก็บีบคอจนตาย บางตัวก็ถูกยิงหลายที่จนหนังของมันลอกขาดออก เห็นแต่เนื้อแดงๆ บาวครั้งก็เอาไม้ไผ่มาล้อมเป็นห้องสี่เหลี่ยมประมาณ  3*3 เมตร แล้วก็เอาข้าวโพดเทลงไป เวลากลางคืน พระจันทร์เต็มดวง สว่างไสว ก็แอบซุ่มอยู่ข้างๆ พอหนูมากินกันเป็นฝูงแล้วก็ใช้ไม้หน้า 3 ทุบเอาจนตายกันเป็นเบือ บางตัวก็หัวแตกเละ ท้องระเบิด ไส้ทะชักออกมา บางตัวลูกกะตาถลกออกมาข้างนอก บางตัว สมองไหลออกมา บางตัวหลังหัก คอหัด บางตัวถึงขนาดขาดเป็น 2 ท่อนพอได้มากพอที่จะกินได้หลายมื้อก็เก็บมากองๆ ไว้ ได้เป็นกระสอบปุ๋ยสีขาว ประมาณ 50-100 กิโลกรัมเลย...แล้วก็นอน...รุ่งเช้ามาก็ก่อไฟ แล้วก็เผาทั้งเป็นจนมันไหม้แล้วก็เอามาลอกหนังออก แล้วเอาไปล้างน้ำ ทำความสะอาด ผ่าท้องควักตับ ไต ไส้ พุงออก แล้วก็เอามาย่างให้มันแห้งเก็บไว้กินนานๆ ได้คุณตาบอกว่า ชอบและมักไปล่าหนูบ่อยๆ เสมอๆ ทุกครั้ง ที่ได้ไปยิงหนู ทุบ และตีหนูในยามราตรี ช่างเป็นความรู้สึกที่มีความสุข มันยังตราตรึงอยู่ในหัวใจจนทุกวันนี้แต่แล้ว...เมื่อคุณตาอายุมากแล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่ดีมีสุข ลูกชายเป็นถึง ผอ.โรงเรียนขยายโอกาส แต่ก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ ประมาณ 2 ปี ท่านก็เป็นโรคชรา นอนอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปไหน อยู่ๆ ท่านก็เป็นโรคผิวหนัง ผิวเป็นกราก แล้วก็เริ่มเน่า ลูกชายก็พาไปหาหมอ นอนรักษาโรงพยาบาลฟรีได้หลายเดือนก็ไม่หาย ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ผู้น้อยก็ได้ไปดู 2-3 ครั้ง เห็นแล้วก็รู้สึกน่ากลัว เวลานอนก็ต้องนอนตะแคง เสื้อผ้าก็ใส่ไม่ได้ แผ่นหลังลงมาใกล้ๆ ก้นมีน้ำหนองไหล...เยิ้มออกมา แผ่นหลังลอกแล้วลอกอีก มีเลือดออกมาซิบๆ เหมือนตอนที่เอาหนูไปเผาจนผิวไหม้เกรียม แล้วก็ใช้ช้อนขุดแผ่นหนังที่ไหม้เกรียมออก แล้วน้ำเหลืองก็ออกมา ผู้ดูแลต้องใช้ผ้าที่ถูกฆ่าเชื้อแล้วมาชุบยาเช็ดแผลให้ ท่านก็ทนกล้ำกลืนอยู่อย่างนี้ ยามกลางคืนดึกๆ ก็เผลอหลับไม่ได้ บางครั้งเผลอหลับไป แล้วนอนหงายโดนสะเกดแผล ก็ต้องร้องบอกคนดูแลมาดูให้พอถึงหน้าหนาว สะเกดก็แตก เลือดไหล..ปวดแสบปวดร้อน ขยับก็ยิ่งแตก ก็ยิ่งเจ็บชีวิตก่อนตายของท่านเป็นที่ทรมานยิ่งนัก แต่ท่านก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากรรรม และกฏของธรรมชาติบนโลกมนุษย์จะมีการสนองตอบเช่นนี้ตอนนั้นผู้น้อยก็ยังเด็กอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีสาเหตุจากอะไร ทำไมคนเราต้องเป็นโรคอย่างนั้น และตอนนี้ผู้น้อยก็ไม่อาจตีความได้ว่า กรณีของคุณตา เป็นเพราะกรรมจากการฆ่าหนูหรือเปล่า และเราควรจะเชื่อได้สนิท 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ว่า มันเกิดจากแรงกรรมจริง
แต่...เราควรใช้ปัญญาคิด พิจารณา ถึงเหตุและผลจะดีกว่า และไม่ควรอ่านเฉพาะเรื่องบางเรื่องแล้วไปตีความว่าเป็นเพราะกรรม แต่เราควรอ่าน จากหลายๆเรื่อง และคุยกับคนที่เจอจริง และสนทนากับคนที่ประสบชะตากรรมจริง แล้วท่านจะรู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่าง เกิดจากการสร้างเหตุไม่ดีไว้...แล้วจึงต้องรับผลอันเลวร้าย(กรรม)กลับมาตามสนอง เป็นอย่างนี้จริงๆ

……………………………………………………………………อาชีพ กับ กรรม…………………………………………………………………….

ผู้น้อยมีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง...เป็นเรื่องของกรรม การใช้ชีวิต การประกอบอาชีพที่แตกต่างกันของคนเดินดินทำให้ผลกรรมที่ได้รับก็แตกต่างกันไปเรื่องที่จะมาเล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแถวบ้านผู้น้อย เป็นเรื่องจริงซึ่งผู้น้อยคิดว่าคงเป็นกรรมที่เกิดจากความแตกต่างของอาชีพที่ได้เกี่ยวของกับการสร้างกรรมแต่ใครจะเห็นด้วยเช่นไร ก็เป็นสิทธิตามสมองของตน (ถ้าไม่ใช้ปัญญา)เรื่องมีอยู่ว่า...ครอบครัวหนึ่ง (มีพี่น้องหลายคน) ฐานนะค่อนข้างยากจน พี่ชายคนโตเป็นคนขยัน มุ่งมั่น
ทำงานเก่ง มีความทะเยอทะยานสูง เรียนหนังสือจบ แค่ ม.ต้น ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำสวนทำได้ไม่นานก็มองไม่เห็นหนทางร่ำรวย จึงขอทุนพ่อแม่ก้อนหนึ่งไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ หน้าหมู่บ้านผ่านไป 2-3 ปี พี่ชายคนโตขายของดีมาก จนต้องขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นและรับของจากในเมืองมาขาย ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย อุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือ และยาปราบศัตรูพืช
ยาฆ่าแมลง หลากหลายยี่ห้อมาขาย คนในชุมชนก็มาซื้อกันมากมาย พอเริ่มมีทุนมากขึ้นก็เปิดขายน้ำมันรถยนต์แบบหลอด แล้วก็ขยายเป็นแบบถังปั้มด้วยไฟฟ้า มีหัวจ่ายแล้วก็ขยายต่อเติม สร้างบ้าน อีกทั้งขยายโกดังเก็บของให้ใหญ่ขึ้นตามลำดับ.....รายได้เดือนละ ประมาณ 10,000 บาทผ่านไปอีกประมาณ 3 ปี ก็ได้ติดตั้งโรงสี สีข้าวในชุมชนสีข้าวเกือบทุกวัน ได้กำไรวันละ 200 - 300 บาท เป็นรายได้เสริม ไม่นานก็ได้ซื้อรถไถมารับจ้างไถที่นา ที่ไร่ ให้ชาวบ้านได้รายได้พิเศษเพิ่มขึ้นอีก แล้วไม่นานก็ยังซื้อรถหกล้อมา เพื่อรับซื้อผักส่งให้เจ๊ใหญ่ ตลาดปฐมมงคล ตลาดสี่มุมเมือง และราชบุรี ....รายได้เดือนละ ประมาณ 20,000 แต่ยังไม่พอ....ผ่านมาประมาณ 3 ปี ยังมีโครงการอีก คือ ซื้อลูกหมู ลูกไก่ มาแล้วสร้างเล้าหมู
เล้าไก่ ข้างๆโรงสี แล้วก็เลี้ยงหมู ไก่ โดยเอาเศษข้าว และรำข้าวที่เหลือจากโรงสี มาคลุกกับอาหารหมูและไก่ เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่เดียวเลย ตอนนี้รายได้ประมาณ 25,000 - 30,000 บาทดูดูไปแล้วครอบครัวพี่ชายคนโตคนนี้...มีเงินไม่ถึงกับเป็นเศรษฐี แต่ชาวบ้านเรียกว่า "เฒ่าแก่"เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล และคนที่ภูมิใจก็หนีไม่พ้นผู้เป็นพ่อแม่ของผู้เป็น "เฒ่าแก่"และในระแวกชนบทเช่นนี้ เฒ่าแก่คนนี้ถือได้ว่าเป็น เศรษฐีคนหนึ่งก็ว่าได้แม้เฒ่าแก่คนนี้จะมี รถ บ้าน ทรัพย์สินเงินทอง มีลูกน้อง มีธุรกิจขนาดย่อมที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ตลอดจนวันตาย และสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบสูงได้ดั่งความหวัง....แต่...สิ่งหนึ่งที่มักจะทำให้เฒ่าแก่ใหญ่คนนี้ หนักใจ ทุกข์ใจบ่อยๆ ก็คือ...แม้เค้าจะฐานะดีจนสามารถส่งเสียน้องชายเรียนจนปริญญาตรี แต่...ลูกสาวคนแรกเรียนจบแค่ ม.3 ก็ต้องออก แต่งงานกลางคัน(เพราะท้อง)
ส่วนลูกชายคนที่ 2 อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียนในเมืองใหญ่ เรียนแค่ ม.3 แล้วก็อยู่ไม่รอดเพราะกลับบ้านทุกอาทิตย์ แถมมีมอเตอร์ไซค์ให้ขี่เที่ยวสบาย ผู้เป็นพ่อก็ให้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในตัวจังหวัดใกล้บ้าน เรียนไม่ถึงเทอมก็หนีเที่ยว โดดเรียน ขาดเรียน ไปกับเพื่อนฝูงสุดท้ายพ่อต้องให้มาเรียน ร.ร.ขยายโอกาสที่บ้าน (ยังไม่รู้ชะตาอนาคต)ส่วนน้องสาวอีกคน (คนที่ 3 ) กำลังเรียน ม.2 ก็มีแฟนเรียบร้อย (บางครั้งยังพาแฟนชายมาค้างที่บ้านเลย) จนทำให้แม่เขาเสียใจมาก...ถึงกับน้ำตาตก แถมยังเที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง เลิกเรียนกว่าจะมาถึงบ้านก็ 1-2 ทุ่มพ่อเค้าเคยหวังว่า...หลังจากส่งน้องชายเรียนจบ
ตัวเองก็จะส่งลูกเรียนให้สูงๆ ชดเชยที่ตนไม่ได้เรียน ต้องออกมาช่วยครอบครัวหาเงินแต่ความหวังวันนี้...มองเห็นแค่ลิบหรี่ เป็นแค่ความหวังจางๆ มองไม่ค่อยเห็นเลย...พ่อเค้าไม่เคยคิดเลยว่า...ทำไม ใคร หรือเพราะอะไรกัน ตนก็เป็นคนกตัญญูเอาพ่อ(ปู่ของหลาน 3 คน) มาเลี้ยงมาอยู่บ้านด้วย ตัวเองน่าจะกตัญญูต่อพ่อแม่ อีกทั้งเป็นคนดีชอบร่วมงานบุญงานกุศล ใส่ซองในงานชุมชนก็มากมาย แต่ทำไมลูกหลานไม่ได้ดั่งใจสักคน....กลับกัน...น้องชายคนรองจากพี่คนโต ก็ออกมาทำสวนกับพ่อแม่ มีรายได้ปีละ 3 - 4 หมื่นแต่งงาน มีลูก 3 คน ลูกสาวคนโต กังลังจะจบ ม.ปลาย วิทย์คณิตฯ การเรียนปานกลาง ขยัน อดทนเรียนอยู่ในตัวเมือง ทุกวันศุกร์เย็นจะหิ้วการบ้านกลับมาบ้าน เสาร์ - อาทิตย์ ก็จะช่วยพ่อแม่ทำสวนเย็นก็ทำการบ้าน สอนน้องที่ เรียน ม.1 ด้วยความสนุกสนานส่วนน้องชายคนที่ 3  ก็ออกเรียนมาทำงานกับพ่อแม่ ทำอาชีพเกษตรกรรมธรรมดารายได้ปีละ 2 - 3 หมื่นบาท แต่งงาน มีลูก 3 คน ลูกสาวคนโต คนพ่อส่งไปเรียนในเมือง
เรียนแค่ ม.2 แต่กลับหารายได้พิเศษเสาร์ - อาทิตย์ ก็ขาย พริก ผัก ต่างๆ โดยยายที่ขายอยู่แล้วเปิดร้านให้ขายเอง ดูแลเอง ส่วนวันธรรมดาก็ไปเรียน หลังเลิกเรียนก็รับจ๊อบพิเศษที่ทางโรงเรียนติดต่อเป็นโครงการให้แม่ค้า นักธุรกิจ สามารถรับเด็กนักเรียนแต่งชุดนักเรียนเข้าไปทำงาน พาร์ทไทม์ ช่วงเย็น วันละ 1 - 2  ชั่วโมง ได้รายได้วันละ  50 - 100 บาท
จะเห็นว่า....คนเราแม้ บางคน บางครั้งอาจร่ำรวยมากมาย แต่ก็ได้เกี่ยวกรรม ผูกวิบากกรรมจากการประกอบอาชีพหลายอย่าง โดยไม่รู้ว่าอาชีพที่ทำอยู่ แม้ทำให้เรารวยเห็นก้อนเงินก้อนทองแต่...มันกำลังบั่นทอนบุญวาสนา ของตัวเอง และลูกหลาน และกรรมที่ผูกกับสิ่งมีชีวิตบางคนอาจคิดว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์ แต่ท่านเคยเห็นมีหมูหรือ ไก่ตัวไหนบ้าง...ที่มันวิ่งเข้ามาหา แล้วบอกว่า "เอาฉันไปฆ่าเป็นอาหารนะๆๆ" มันมีแต่หนีและหนีลูกเดียว มันมีความรู้สึกรักตัวกลัวตายเหมือนกับคนอ่านทุกคนฉะนั้นการเอาชีวิต หมู ไก่ มากมายหลายร้อย - พันชีวิต และยาฆ่าแมลงฆ่ากันเป็นพันๆ หมื่นๆ ชีวิต บางทีดูผิวเผินแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก เล็กๆน้อยๆ ไม่มีปัญหา...แต่...เมื่อกรรมหลายๆ อย่างมารวมกันแล้ว อาจทำให้เป็นกรรมที่หนัก เหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอดพร้อมที่จะสนองได้ทันทีแต่กลับกัน...บางคนใช้ชีวิตปกติธรรมดา ไม่รวยไม่จน พออยู่พอกิน อาชีพการงานใช้ได้สุจริต ไม่เกี่ยวกรรมมากมาย (เกี่ยวบ้างเล็กน้อย) กลับมีชีวิตที่มีความสุข ลูกหลานขยัน ประหยัด ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อรั้น เป็นคนดีของสังคม เพื่อนบ้านรักใคร่

ไม่มีความคิดเห็น: