สุดท้ายเมื่อถึงจุดสุดการ
![]()
ปรุงแต่ง สุดปลายทางสู่จิตจริงแท้ จะเหลือ 2 สิ่งที่แยกกันไม่ออก สองสิ่งนั้นเป็นตัวแทนของทุกอย่าง....คือ มี และ ไม่มี แต่แท้จริงแล้วสองสิ่งนี้ก็คือสิ่งเดียวกัน และเมื่อคุณเข้าใจระหว่าง มีและไม่มีแล้ว จะรู้สึกเป็น ว่าง...(คำนี้เป็นคำที่แทนค่าความรู้สึกได้ใกล้เคียงที่สุด)มี=ไม่มี ความรู้สึกว่ามีของคุณเป็นอย่างไรและไม่มีรู้สึกอย่างไรลึกพิจารณาดู ทุกอย่างเมือถึงจุดสุดจะจบลงตรงกับสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้ามีมากจนสุดก็จบที่ไม่มีและเมื่อไม่มีจนสุดก็เริ่มที่มีอีก ไม่มีจุดสิ้นสุด ส่วนมากวนอยู่แบบนี้ เพราะมีการปรุงแต่งแทนค่ามากน้อยใหญ่เล็กเข้าไปนั่งเองแต่...ว่าง ไม่เท่ากับ ไม่ว่าง ความรู้สึกว่าว่างของคุณเป็นอย่างไรและไม่ว่างรู้สึกอย่างไรลองพิจารณาดู ว่างคือว่างซึ่งก็หมายความว่าไร้ซึ่งทุกสิ่ง จึงไม่มีพิกัดจุดสุดของความว่าง เพราะไร้ความปรุงแต่งแทนค่าวัดความมากน้อยใหญ่เล็ก ดังนั้นว่างแล้วจึงหยุดนิ่งไม่บรรจบกับไม่ว่าง...สรุป ทุกย่างเกิดจากการอุปโหลก แทนค่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ลงไป หรือจิตเทียม นั่งเองจึงเกิดทุกสิ่งทุกอย่างไร้ที่สิ้นสุด แตกกิ่งก้านไปเรื่อยๆ ตัวท่านที่นั่งอ่านอยู่นี้ก็คือจิตเทียม ณ. จุดได้จุดหนึ่งของข้อกิ่งก้านนั้นและแตกต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไร้สติหยุดดู..การกลับสู่จิตแท้นั้น ต้องไช้สติย้อนดูทางมาของเรา หากิ่งที่หลักที่งอกตรงจากจุดเกิด ซึ่งมีกิ่งเดียว ที่งอกตรง ไม่คดเคี้ยว จงเดินตรงไปตามทางสายเอกนั้นเทอน....จิตที่ว่างๆ ไม่มีการปรุงแต่งไม่มีความคิด เมื่อรับรู้อะไรก็จะไม่มีการให้ความหมายในสิ่งนั้นๆว่าเป็นอย่างไร ต่อเมื่อจิตเริ่มมีการปรุงแต่งจึงเกิดเป็น ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นมา มีการให้คุณค่าให้ความหมายกับสิ่งนั้นๆ การให้ความหมายและคุณค่าในสิ่งต่างๆนี้เองที่ทำให้โลกหมุนเวียนแปรเปลี่ยนไปตามครรลองของจิตเช่น เพชร ความจริงแล้วก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง แต่เมื่อคนเราไปให้คุณค่ากับเพชร เพชรจึงป็นสิ่งที่ทุกคนพยายาไขว่คว้าและแสวงหามาครอบครอง ถ้าสมมติเปลี่ยนใหม่ว่าการตีคุณค่าของคนเปลี่ยนไปกลายเป็นก้อนหินธรรมดามีค่ากว่าเพชร เพชรซึ่งมีค่าในปัจจุบันนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ด้อยค่ากว่าก้อนหินไปในทันทีเมื่อจิตมีการปรุงแต่งให้ความหมายให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆตามสมมติ และจิตก็ไหลเวียนวนไปตามสมมติเหล่านั้น จิตของคนเราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิด แปรผันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยต่างๆที่ปรุงแต่งอย่างไม่จบไม่สิ้นผู้ใดสามารถมองให้เห็นถึงแก่นแท้และความเป็นสาระที่แท้จริงของสิ่งสมมติทั้งหลายในโลกนี้ได้ ผู้นั้นก็อาจที่จะหลุดพ้นหยุดการปรุงแต่งและยึดติดกับความหมายและคุณค่าที่ได้ถูกสมมติขึ้นมาเหล่านั้น จนจิตสามารถหยุด สงบ ว่าง และปล่อยวางจากสรรพสิ่งทั้งหลายได้ในที่สุด และนั่นก็คือ......สุดท้ายของทุกสิ่ง.......ค่ะ _/l\_ ทุกสิ่งทุกอย่างแท้จริงแล้วเรานั้นเป็นผู้สร้างและเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้นและปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เราสร้างนั้นแตกยอดออกไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังจินตนาการต่อไป และแบ่งแยก...ธรรมชาติของจิตคนเราก็เป็นแบบนี้ ชอบแบ่งแยก เปรียบเทียบ จึงทำไห้เกิดสิ่งต่างๆต่อไปไม่สิ้น อย่าง แสงก็แบ่งเป็นสีต่างๆ ทั้งๆที่มันคือแสง อย่างโลกยังแบ่งเป็นประเทศต่างๆ ทั้งๆที่มันก็คือโลกทุกสิ่งเกิด แบ่งจาก 1เป็น2จาก2เป็น4...จากมวลสารที่มีความละเอียดมากอัดรวมและเรียงตัวกันระดับเท่านี้เรียกว่า'สิ่งนี้' และ'สิ่งนี้'อัดรวมและเรียงตัวกันเท่านี้เรียกว่า'แบบนี้' และแทนค่าสิ่งต่างๆเข้าไปจนเกิดเป็นจักรวาลและโลกใบนี้และยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆแบบนี้... แต่ในทุกสรรพสิ่งยังมีความ "ว่าง" เสมอ...

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น