แม่บ่านยุคใหม่



คนในบ้านมีความรักใคร่กลมเกลียวกัน ครอบครัวนี้ก็จะมีแต่ความรุ่งโรจน์ คนในบ้านแตกสามมัคคีครอบครัวนั้นก็จะมีแต่ทะเลาะวิวาท ดังนั้น ครอบครัวจะต้องรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณแม่สมัยนี้รักสวยรักงาม เพราะความรักสวยรักงามนี้เองจึงทำให้รังเกียจความสกปรก ไม่ยอมออกไปจ่ายตลาด ซื้อแต่ข้าวแกงหรืออาหารปรุงสำเร็จ ทั้งยังขี้เกียจทำอาหารจนกลายเป็นแฟชั่น วันทั้งวันส่องแต่กระจกกลัวไม่สวย ไม่ยอมให้มือเปื้อนคราบน้ำมันควันไฟแม้แต่น้อย ทำไมพวกเจ้าไม่คิดบ้างว่าการสัมผัสคราบน้ำมันและควันไฟเช่นนี้นานวันเข้าก็สามารถบำเพ็ญสำเร็จได้เช่นกัน ผู้คนต่างร้องเพลงสดุดีถึงความยิ่งใหญ่ของแม่ ในเนื้อเพลงสรรเสริญถึงความยิ่งใหญ่ในเรื่องการจัดการงานบ้าน หากว่าเจ้าเอาแต่หาซื้อข้าวแกงหรืออาหารกล่องทั้งสามมื้อ แล้วจะมีความยิ่งใหญ่อันใดให้กล่าวถึงเล่า ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน อย่าได้กล่าวโทษฟ้าดิน เวลาทำอาหารก็ร้องเพลงของพระอาจารย์ไปด้วยจะได้อิ่มอกอิ่มใจ อาหารที่ทำออกมาก็จะบ่งบอกถึงความรักความเอาใจใส่ของแม่อีกด้วย ทุกคนในครอบครัวร่วมรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันอย่างมีความสุข ใจเบิกบาน กายก็จะแข้งแรงใช่หรือไม่
…………………………………………จิตเมตตา มีหรือไม่………………....
จิตเมตตามีกันทุกคน แล้วจะต้องเมตตาใครก่อน (ตัวเอง) ยิ่งเมตตาตัวเองเท่าไรยิ่งเป็นการดีใช่หรือไม่ แล้วเรามีจิตเมตตาต่อคนอื่นที่อยู่รอบข้างบ้างไหม คนในครอบครัวของเจ้า เจ้าเคยคิดที่จะฉุดช่วยเขาบ้างไหม ต้องเริ่มจากคนมนครอบครัวก่อน เราปฏิบัติอยู่คนเดียว คนในครอบครัวไม่เข้าใจว่าเราปฏิบัติอะไรเป็นอย่างนี้ใช่ไหม?? เจ้าจะฉุดช่วยคนในครอบครัวแล้วจะฉุดช่วยอย่างไร จะต้องช่วยด้วยธรรมะให้เขารู้ตื่น ไม่ใช่ช่วยด้วยทรัพย์สินเงินทอง เมตตาให้เขามีกินมีใช้อำนวยความสะดวก แต่เราไม่ได้ให้อาหารทางใจกับเขาเลย ให้แต่อาหารทางกายเป็นอย่างนี้ใช่ไหม?? หากเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นความผิดบาป!!!!!!! ขอเตือนคนเป็นพ่อเป็นแม่ เรื่องคู่ครองของลูกขอให้เขาเลือกและตัดสินใจเอง อย่าไปออกหรือยุ่งเกี่ยวกับเขามากเกินไปเมื่อลูกยังเล็กควรสอนให้ลูกรู้ว่า สิ่งไหนควรไม่ควร โตขึ้นจึงไม่กระทำผิดพลาดโดยเฉพาะเรื่องคู่ครองคนเป็นพ่อแม่ต้องรู้จักปล่อยวางในจุดนี้เสียบ้าง
………………………………………..นิทานเรื่องเศรษฐีสอนลูก……………………………………..

เศรษฐีผู้หนึ่งแสนจะภูมิใจที่ลูกชายวัย 5ขวบของเขากำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง โดยส่วนตัวของเขาก็อยากจะสอนลูกชายให้รู้จักกับชีวิตจริงควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน วันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขาเชื่อว่าลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาหนึ่งและพักอยู่กับชาวนาเมื่อเศรษฐีกับลูกชายกลับมาถึงคฤหาสน์ของเขา ในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็ถามลูกชายว่าได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า..”ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยม ที่ว่ากว้างแต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆบริเวณบ้าน โดยไม่ต้องซื้อหาในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เก็บอาหาร เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ลูก!!!!!!!!!!!!!!!! ในขณะตัวเองก็ต้องทานอาหารกับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขาต้องกอดเอวพ่อให้แน่น เพื่อจะได้ไม่พลัดตกจักรยาน แต่ตัวเขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่ เขาขอบคุณพ่อ..ที่ทำให้เขารู้คำตอบจริงๆแล้วเรายากจนกว่าชาวนามาก!!
บางอย่างที่เงินไม่สามารถซื้อได้คือ “ความผาสุก” ความสุขที่แท้จริงเริ่มต้นที่ครอบครัว ความอบอุ่นในครอบครัวคือรากฐานแห่งความผาสุกและเปี่ยมล้นไปด้วยบุญวาสนา

ไม่มีความคิดเห็น: