กายมนุษย์นั้นยาก

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากนักหนา เพราะว่าวาสนาบารมียังไม่ถึงที่จะได้มาเป็นมนุษย์มักต้องไปเกิดอยู่ในภพที่ต่ำกว่าคืออาจจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตอสุรกายหรือสัตว์นรก และมากมายกว่าจะได้ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ละครั้ง ยากนักหนา
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บางคนก็มั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ผิวพรรณผ่องใส บ้างก็เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณไม่ผ่องใส ที่เป้นเช่นนี้เพราะแล้วแต่บุญกุศลที่สร้างสมมา มุนษย์นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ แบบแรกคือเป็นพวกที่ สะสมวัตถุต่างๆ เพื่อให้กายอยู่เย็นเป็นสุข และแบบที่สองคือ ชอบสะสมบุญกุศล ทั้งมีสร้างสมมาแต่ปางก่อน และมาสร้างในชาตินี้ นิสัยปัจจัยก็ตามมาอีก "ความสะสมบุญนำสุขมาให้" บุญกุศลที่ทำไว้แต่ชาติที่แล้ว ติดตามเรามาอยู่ บุญกุศลเป็นของละเอียด ถ้าบุญกุศล ไม่รักษา จะไม่สุข บุญกุศลนั้นจะพร้อมทุกอย่างทั้งสมบัติภายนอกและสมบัติภายใน คนที่เกิดมาร่วมกัน ก็เคยสร้างสมบุญกุศลมาคล้ายๆกัน หากสร้างสมบาปอกุศล ก็จะไม่สมบูรณ์ทั้งกายและใจและทรัพย์สมบัติ เพราะอกุศลที่สร้างไว้แต่ชาติก่อนโน้นมาย่ำยี อกุศลย่ำbuddhismsawadee.blogspot.comยี สุขภาพก็ย่ำแย่ การเงินก็ไม่ดี ถ้าสร้างสมบุญกุศลไว้มากๆ ชาติหน้าชาติต่อไปก็จะดี หมั่นสะสมบุญกุศลไว้เรื่อยๆ เพราะว่านอกจากในความเป็นมนุษย์แล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศล สิ่งที่มนุษย์สะสมได้คือ การทำทาน - การรักษาศีล และการเจริญเมตตา ภาวนา เป็นมนุษย์เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้ทำทาน ในภพอื่นๆอื่นไม่มีโอกาสแล้ว ถ้าเราทำไว้มาก ความปรารถนาที่ดีก็จะสำเร็จสมดังหวัง ในเทวโลกมีปริมาณมากกว่าจำนวนมนุษย์ มนุษย์มีนิดเดียวเพราะกายหยาบ อยู่กันนิดเดียวก็แออัดแล้ว ส่วนเทพเจ้าแม้จะอยู่เป็นโกฏิๆ ก็ไม่อัดแอกันเพราะท่านมีกายอ่อนกายละเอียด แต่เทพหรือสัตว์เดรัจฉาน ทำบุญกุศลไม่ได้ มนุษย์ทำบุญกุศลได้ตามความต้องการ ทั้งทำทาน รักษาศีลและเจริญเมตตา ภาวนา ได้ทั้งสิ้น เทพเจ้านั้นถ้าบังเอิญไปอยู่บนเทวโลก ในช่วงเวลาที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด ก็จะมีโอกาสได้ฟังธรรมเพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วก็จะเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนเทวโลก ดังนั้น เร่งสร้างกุศลดีกว่า อย่าให้กาลเวลาล่วงไปๆ ความเป็นมนุษย์ทำได้ทุกอย่าง อย่าให้เสียเวลาที่เกิดเป็นคน เป็นมนุษย์ ………เรื่องเล่าของสามีภรรยาคู่หนึ่ง  มีสามี ภรรยา สองคนอุ้มลูกน้อยเดินทางไป ทั้งสามอดอาหารมาหลายวัน เดินทางไปได้สามวันพบนายโคบาลเอาอาหารให้สุนัขกิน คนที่เป็นสามีคิดว่าสุนัขนี้กินดีกว่าตน คิดว่าเกิดเป็นสุนัขก็ดีพอดีอาหารไม่ย่อย ผู้เป็นสามีตายลงก็ไปเกิดเป็นสุนัขตัวผู้ในท้องแม่หมาตัวที่ตนเห็นนั่นเอง ใกล้บ้านนายโคบาล มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านพำนักอยู่ สุนัขตัวผู้ตัวนี้เติบโตไปพร้อมกับมีหน้าที่เดินตามนายโคบาลเพื่อนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหาร เดินตามนายโคบาลไปๆ มาๆ วันละหลายๆเที่ยว เป็นวัน เป็นเดือน บางวันก็ถูกใช้ให้ไปตามพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยการไปเห่าเรียก (นิมนต์) ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเดินตามมาฉันอาหารก็มี อยู่มาวันหนึ่งมีคนเอาผ้ามาบังสุกุล พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงบอกกับนายโคบาลว่าตั้งแต่วันนี้จะไม่อยู่แล้วเพราะจะต้องไปตัดผ้าเนื่องจากจีวรเก่าขาดแล้ว นายโคบาลนิมนต์ไว้ว่าเมื่อเสร็จแล้วก็นิมนต์ท่านกลับมาอีก สุนัขตัวนี้ก็ได้ยินด้วย แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปแล้วไม่กลับมา สุนัขเกิดความห่วงใยพระปัจเจกพุทธเจ้ามากจนอกแตกตาย ไปเกิดในเทวโลก และอานิสงส์ที่เห่าหอนคอยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้านี้เอง ก็ทำให้เมื่อไปจุติบนเทวโลกแม้จะพูดเพียงเสียงกระซิบก็จะเสียงดังได้ยินไปทั่วเทวโลกจนได้ชื่อว่า "โฆษกเทวบุตร" (คือ ผู้มีเสียงดัง) เพราะอานิสงส์นั้น เมื่อสิ้นอายุขัย ก็ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นเศรษฐีชื่อโฆษกเศรษฐิ ต่อมาก็ลามารดาบิดาไปบวชและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นเองดังนั้น สร้างสมบุญกุศลไว้ให้เยอะๆ ขนาดเป็นเพียงสุนัขที่ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาไม่เป็น ยังเป็นขนาดนี้เพราะ "การได้เห็นสมณะแล้วเกิดความยินดี ก็เป็นบุญกุศล" พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็มาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ ในภพที่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มีที่อื่นๆ ไม่มีในภพอื่นแล้ว
                                                   …………………..ข้อคิดส่งท้าย……………………..
                                                   ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
                                                 ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
                                                       มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

คนหรือมนุษย์จงเลือกเดิน


budhismsawadee.blogspot.com คนเรามีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่วไม่ว่ากรรมเก่าของเราจะทำให้ชีวิตในชาตินี้ตกทุกข์ได้ยากเพียงใดเราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้ ดั่งเช่นตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจมาก ไม่ไปเดินขายของ จึงไม่มีรายได้ แต่วันนี้ตื่นมาและไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่เราตั้งมั่นว่าจะขายของ และก็ออกเดินขายของ จึงทำให้วันนี้มีเงินนี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า ลิขิตชีวิตตัวเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนร้องขอแล้วนั่งนอนรอพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นคนจึงไม่เหมือนกับสัตว์ เพราะสัตว์มีวิถีชิวิตเป็นรูปแบบ ไม่สามารถทำอะไรได้ เกิดมาชาติหนึ่ง รู้จักแค่เพียง กิน นอน เท่านั้นเอง แต่ก็มีหลายคนทำตัวเหมือนสัตว์และบ่นถึงชีวิตตัวเองว่าเกิดมาอาภัพ ทุกสิ่งไม่เพรียบพร้อมได้แต่ อ้อนวอนพระผู้เป้นเจ้า แล้วนั่งรอนอนรอไปวันๆมีคนบางคนเข้าใจว่า การกระทำความดี หรือปฏิบัติกิจศาสนานั้น เป็นเรื่องของคนแก่ ส่วนคนหนุ่มสาวนั้นยังไม่จำเป็น ความเข้าใจในรูปนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด เพราะธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เหมือนกับอาหารสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นแก่ ทุกคน ถ้าร่างกายของใครขาดอาหาร ก็คงถึงแก่ความตายแท้จริงแล้วธรรมะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงใจ ใจของคน ขาดธรรมะเขาก็คงเป็นอยู่แบบคนที่ตายแล้ว การตายในขณะที่เป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่าการตายของคนตายจริงๆ เพราะว่าคนตายจริงๆ ไม่ให้โทษกับใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่เพราะขาดคุณธรรมความดี คนประเภทนี้เป็นภัยต่อสังคมมาก ดังนั้นการตายแบบนี้จึงเป็นการตายที่น่ากลัวที่สุด ถ้าหากใครมีธรรมะประจำใจ ธรรมะก็เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เราตกไปสู่ความชั่วทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และการทำความชั่วนั้นย่อมเกิดแก่คนทุกเพศทุกวัย ถ้าหากเขาไม่มีเครื่องเตือนใจกันแล้ว ความลำบากก็เกิดแก่เขาได้ง่าย โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวซึ่งในวัยนี้จิตใจกำลังร้อนแรง ถ้าเอนไปในทางดีก็ดียิ่ง แต่ถ้าเอนไปในทางชั่วก็ชั่วยิ่งนัก แต่ส่วนมากมักเอนไปในทางที่ชั่ว เพราะธรรมชาติของใจคน ปกติก็เดินไปในทางต่ำอยู่เสมอๆ ยิ่งถ้าขาดการห้ามด้วยแล้วก็จะไปกันใหญ่ วัยหนุ่มสาวนี้เปรียบได้ดั่งม้าคะนองที่ขาดสารถีบังคับ ม้าที่กำลังคะนองและพยศต้องการมีบังเหียนและควานม้าผู้จับบังเหียนไว้เพราะฉะนั้นคนหนุ่มสาวที่กำลังคะนองก็ควรจะมีสิ่งที่บังคับไว้ด้วยและสิ่งนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าธรรมะแล้ว ธรรมะดีที่สุด ประเสริฐที่สุด คนที่ยังหนุ่มสาวมีหวังที่จะอยู่ไปในโลกอีกนานมากกว่าคนแก่ และจะมีโอากาสได้ทำความดีให้โลกมากขึ้นอีก ความจำเป็นในการหาหลักทางใจจึงมากกว่าคนแก่เป็นธรรมดา คนไม่มีหลักศาสนาในใจเป็นคนปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เขาอาจทำผิดทำเมื่อไร ก็ได้...การที่เราเรียกตัวเองว่ามนุษย์นั้น เราได้เข้าใจในหลักจริงๆหรือไม่ว่า มนุษย์หมายถึงอะไรคำว่ามนุษย์หมายถึงร่างกายและจิตใจต้องอาศัยกันอยู่ เช่นคำว่า กายกับใจประกอบกันเข้า คำว่า “มนุษย์” จึงเกิดขึ้น ถ้ามีกายไม่มีใจ หรือมีแต่ใจไม่มีกายก็หมดความเป็นมนุษย์ ทั้งสองอย่างต้องอาศัยรวมกันอยู่เสมอ และการบำรุงจึงต้องบำรุงทั้งสองอย่าง แต่คนเราส่วนมากมักพอใจบำรุงแต่ส่วนร่างกาย หาได้มีใครสนใจที่จะบำรุงใจไม่ และไม่ใช่จะได้บำรุงเท่านั้น ซ้ำร้ายคนเรายังทำลายใจกันอีก การทำลายใจของเราก็คือ การห่างเหินจากธรรมะ ถ้าเราบำรุงกายด้วยอาหารการกิน อาบน้ำตกแต่ง อย่างไหนแล้ว เราก็ต้องบำรุงใจด้วยอาหารและน้ำด้วย อาหารของกายเป็นข้าวอาหาร ผลไม้ต่างๆ แต่อาหารของใจนั้นเป็นธรรมะ ถ้าร่างกายอ้วน เพราะได้บำรุงอย่างดีแล้ว ก็ควรบำรุงใจให้กว้างด้วย ใจที่ขาดการบำรุงเป็นใจที่ซูบผอม และขาดกำลังต่อสู้ เมื่อขาดกำลังย่อมแพ้ข้าศึกได้ง่าย ข้าศึกทางกายนั้นได้แก่โรคภัยนานาชนิด ข้าศึกทางใจได้แก่ความชั่ว ทำใจให้อ่อนแอ ความชั่วที่เรียกว่า กิเลส มาร ซาตานต่างๆ และถ้าเอาชนะไม่ได้ก็ต้องแพ้ต่อมัน ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ดังคำที่ว่า “การพ่ายแพ้เป็นความทุกข์” ทุกข์เพราะตกอยู่ในอำนาจของมารร้ายที่คอยดึงเราไปสู่หลุมดำ และต้องตกเป็นทาสของมัน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “การเป็นทาสเป็น ทุกข์หนัก” แต่ถ้าเราทุกคนมีหลักทางใจ มีอาหารหล่อเลี้ยง มีกำลังต่อต้าน ด้วยวิธีการเข้าหาธรรมะ สนทนาธรรมะ คิดค้นธรรมะให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วลงมือปฏิบัติธรรมนั้นๆ ให้ใจมีกำลังมั่นคง และจะไม่มีข้าศึกใดๆ มาทำร้ายเราได้ เมื่อไม่มีข้าศึกมารบกวน ก็นอนหลับอย่างเป็นสุข ธรรมะนั้นจะรักษาคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ ดังนั้นแล้วธรรมนั้นต่างกับอธรรมและผลที่ได้ก็ต่างกัน คือ ธรรมจะนำตนไปสู่ทางที่ดี ส่วนอธรรมนั้นจะพาไปในทางที่ไม่ดี เราชอบอย่างไหนก็เลือกเอาเอง แต่เราคงไม่เลือกอธรรมแน่ๆ เพราะใจของคนทุกคนปรารถนาความสุขความเจริญ จึงหวังว่าเราทุกคนคงจะเลือกเอาธรรมะเป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายที่ทำให้เราเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์
Author  : ธุลีดิน

พระโอวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทานแก่คนไทย


blogsธุลีดิน


             วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2535 (วันมาฆะบูชา) เวลา 14.00 น. ณ พุทธสถาน เหยาซื่อ


วันนี้เป็นวันมาฆะบูชา อาตมามีความดีใจที่ศิษย์สาธุชนทั้งหลาย วันนี้ได้มานั่งฟังธรรม (ตรัสเป็นภาษาบาลี....) ขอให้สาธุชนช่วยกราบพระแม่องค์ธรรม ให้อาตมาพูดภาษาไทย วันนี้ศิษย์สาธุชนออกไปตามวัด ตามวา อาตมามาถึงที่นี่ เห็นพวกเจ้ามีความศรัทธา ศิษย์สาธุชนจงนั่งลงให้หมด (ญาติธรรม กราบ) การบำเพ็ญธรรมะ เราจะต้องให้มีความลำบาก (เก็บเก้าอี้ขึ้น) ศิษย์สาธุชนจงนั่งลงกับพื้น การบำเพ็ญธรรมะนี้ จะต้องบำเพ็ญจิตของตัวเอง ให้สำรวมจิตอยู่ที่จุด (จุดที่พระวิสุทธิอาจารย์เปิดให้ ในวันรับวิถีอนุตตรธรรม) เราบำเพ็ญธรรมะกัน จะต้องบำเพ็ญด้วยความจริงใจ อาตมาในภาคบำเพ็ญอยากจะกล่าวกับสาธุชนทั้งหลาย เราบำเพ็ญจิตนั้น จะต้องให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง การฟังธรรม ก็คือการศึกษา แต่ละคนจะต้องไปบำเพ็ญด้วยตนเอง บำเพ็ญนี้ไม่ผิดกับสัมมาสัมพุทธเจ้า โยมทั้งหลาย ขอให้พวกท่านบำเพ็ญต่อไป เราบำเพ็ญถึงที่สุด วันนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับศิษย์สาธุชนทั้งหลายที่ศิษย์สาธุชน รู้จักการบำเพ็ญที่สัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญมา ก็คือ บำเพ็ญจิต เราบำเพ็ญจิตแน่วแน่ เรามีความเข้าใจให้กับตัวเอง ความโลภหลงนั้น ก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวของเรา เราบำเพ็ญไปต้องรู้ถึง พระคุณของเบื้องบน อาตมาไม่เคยลงประทับพูดคุยกับโยมทั้งหลาย พวกเจ้าก็เหมือนกัน จะกลับขึ้นสู่แดนนิพพาน ขอให้ศิษย์สาธุชนจงมีแต่ความตั้งใจ ให้มีความอดทน การบำเพ็ญธรรมนั้น เราจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายจะต้องโดนเคี่ยวกรำ ศิษย์สาธุชนเข้าใจอาตมาเทศน์มั้ย (ทุกคนตอบว่า เข้าใจ) วันนี้อาตมามีบุญร่วมกับพวกเจ้านานหลายพันปี ไม่ได้เจอหน้ากัน อาตมาขอให้ศิษย์สาธุชนทั้งหลายจงรู้ไว้เถิด การบำเพ็ญธรรมนั้นก็ไม่หนีจากศาสนา ทุกศาสนาก็เหมือนกัน ขอให้เราทำดี ภพสุดท้ายที่แน่วแน่ ก็คือ การบำเพ็ญจิต ต้องบำเพ็ญให้ตัวของเจ้านั้น มีแต่ความสว่าง อย่าได้มีแต่ความสกปรกโสมม เราจะบำเพ็ญเวลาไม่ให้เวลาเหลือ เวลาเหลือน้อยมาก อาตมาวันนี้มีบุญร่วมกับเจ้า จึงได้มากล่าวตักเตือนพวกเจ้า อย่าได้หลงอยู่ในโลกกิเลสทั้งหลาย จงตัดเสียเถิด ตัวที่ทำให้เราเกิดความฉุนเฉียวนั้นไซร้ ก็คือตัวปลอมของเรานั่นเอง

ศิษย์สาธุชน จงจำคำของอาตมาด้วย ให้ศิษย์สาธุชน ตั้งแต่วันนี้จงบำเพ็ญศึกษา เคี่ยวกรำตัวเองเสีย เราบำเพ็ญจิตแล้ว ตา หู จมูก รวมทั้งคำพูด ขอให้ศิษย์สาธุชนทั้งหลายจงบำเพ็ญด้วย พยายามช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่ยังคอยพวกเจ้าให้ช่วยอยู่ เราทำอะไรขอให้ระมัดระวัง อาตมาสำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาได้สั่งสอนศิษย์ทั้งหลาย จงมีแต่ความขาวสะอาด จิตให้ว่างอยู่เสมอ สำรวมจิตกันเอาไว้ เข้าใจไหม (ทุกคนตอบ เข้าใจ) อย่าได้เสียเวลา ที่เราบำเพ็ญดูเหมือนยากลำบาก แต่ว่าเราได้ก็สุขใจ ความสุขใจนั้นไซร้คือ ผลกุศลที่เราสร้างมา จะบำเพ็ญเหมือนอาตมานั้น บำเพ็ญได้ยากเหลือเกิน เจ้าต้องสำรวมจิต จะต้องจิตว่างเสมอ ให้จิตนั้นจงมีแต่ความสว่างเถิด อาตมาขออวยพรให้ศิษย์สาธุชนทั้งหลาย จงมีแต่ความสุข ความเจริญเถิด

(อาจารย์ถาม....) อาตมาช่วยเหลือทุกวัน ขอให้ศิษย์สาธุชน ทั้งหลายเชื่อมั่นในธรรมะนี้ ให้ศิษย์สาธุชนอย่าได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป การบำเพ็ญธรรมะนี้ ก็คือ การบำเพ็ญให้เรารู้ถึง จุดญาณที่เราจุติอยู่ แสงสว่างออกมาจากที่จุดนั้น เขาเรียกว่า จุดดับและจุดเกิดของเรา อาตมาขออวยพรให้ศิษย์ทั้งหลายจงมุ่งมั่นบำเพ็ญต่อไป อีกหน่อยพวกเจ้า ก็จะสำเร็จเหมือนอาตมา จุดนั้นเรียกว่า จุดของดวงประทีปเป็นจุดที่มีแสงมหัศจรรย์ ถึงแม้อาตมาจะบำเพ็ญมารู้ถึงจุดนี้ อาตมาขอแสดงความยินดีกับศิษย์สาธุชนทั้งหลาย ที่พวกเจ้าได้เปิดจุดนี้ เมื่อเปิดจุดนี้แล้ว เรายังจะต้องบำเพ็ญจะต้องสร้างกุศล จะต้องศึกษา เราถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่า เพราะว่าเปิดจุดนี้แล้ว ทุกคนจะกลับคืนสู่นิพพานได้ การที่เราจะกลับคืนสู่นิพพานไปนั้น เราจะต้องเข้าใจ เราจะต้องบำเพ็ญด้วยความจริงใจ ให้จิตของเรานั้นเป็นพุทธะที่แท้จริงศิษย์สาธุชนทั้งหลายอย่าได้ก่อกรรมก่อเวรกันอีกเลย การก่อกรรมเวรนั้นมันติดพันกันมาเป็นชาติๆ สิ่งไหนที่ไม่ดี ขอให้พวกเจ้าละทิ้งเสีย ตั้งต้นมาบำเพ็ญ การบำเพ็ญนั้น ไม่ได้สอนให้พวกเจ้างมงาย วันนี้เป็นวันมาฆะบูชา พวกเจ้ากราบบูชา ไปตามวัด ตามวาตามที่ต่างๆ บ้างก็เที่ยวสนุกสนานไม่รู้เลยว่า กาลเวลาคับขันเต็มที อาตมาขอเตือนพวกเจ้าทั้งหลาย จงบำเพ็ญกัน อย่าได้เสียเวลาไปเที่ยวกันอีกหนา ขอให้เจ้าบำเพ็ญเถิด อาตมามีเวลาไม่มาก ขอให้สาธุชน จงฟังธรรมะต่อไปเถิด วันนี้พวกเจ้ามาถึง ณ สถานธรรมศักดิ์สิทธิ์นี้ ศิษย์สาธุชนทั้งหลาย อาตมาจะอำลาแม่องค์ธรรมแล้ว ก็จะจากพวกเจ้าไป ขอให้พวกเจ้าจงบำเพ็ญต่อไปเถิด    
...........................................................................................................................................................................................................
พระโอวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ 2 วันจันทร์ ที่ 28 มีนาคม 2537 เวลา 10.22 น. ทรงเขียนกระบะทราย ณ พุทธสถานไท่ซิน
อ. หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์   ประทับทิพยญาณ ประทานพระโอวาท เป็น ร้อยกรอง

สิทธัตถะตรัสรู้สัมพุทโธ ถือศีลบำเพ็ญใต้ต้นโพธ์
คุณธรรมสืบทอดช่วยผู้หลง พระธรรมเผยแพร่ช่วยเวไนย
เราคือ ศากยะมุนีพุทธเจ้า รับบัญชาจาก
พระแม่องค์ธรรม เสด็จถึงสถานธรรม คารวะ
พระแม่องค์ธรรม จึงถาม เมธีทั้งหลายสบาย ฤา
จงตั้งศรัทธาจริงใจ เราจะให้โอวาท  ยุคสุดท้ายครั้งเดียวปรับแดนสรวง
มีชีวิตสิ้นสุดเข้ายุคศรีอาริย์ ฟ้าเปิดชะตาใหม่เริ่มคัดเลือก
ดีชั่วหยกหินแบ่งแถวกัน เซียนพุทธโพธิสัตว์รับฐานะอีก
คัดเลือกเซียนแท้ขึ้นอาสน์บัว อนุตตรธรรมในโลกีย์สามบัวปรากฎ
รหัสพุทธสามประสานกัน(ไตรรัตน์)  ปรากฎความแยบคายในแดนนี้
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ภูเขาแม่น้ำน่ากลัว
เดี๋ยวนี้ธรรมะแพร่ทุกแดน  หลักธรรมแยบคายช่วยเวไนย
รู้ความลับสวรรค์แห่งธรรมะ แสงทองหมื่นสายส่องโลกีย์
ชี้บอกหลักสัจธรรมผู้รู้ก็หลุดพ้น รู้แจ้งเห็นจริงพ้นเวียนว่าย เข้าใจไหม?
ขอบอกอุบาสกทั้งหลายที่รับธรรมะ ยินดีมากๆ พบวิสุทธิอาจารย์
พ้นจากทะเลทุกข์ประจักษ์สัจธรรม เมื่อรู้ความหมายของธรรมะ
การบำเพ็ญต้องพึ่งตนเอง  เมืองนี้เมืองพุทธบรรยากาศดีงามปรากฎ
อนุตตรธรรมลงโปรดช่วยพุทธบุตร ผู้รู้รีบเร่งงานธรรมะ
บุกเบิกงานธรรมสร้างคุณงาม ดีมาก อุบาสกบำเพ็ญอรหันต์
เจอสัจธรรมไม่หลงจึงมีปัญญา เปิดสติปัญญาแบกภาระใหญ่
ช่วยครั้งสุดท้ายเวไนยทั่วพิภพ รู้ไหมแล้วจึงบอกอุบาสิกาที่รับธรรมะแล้ว
ต้องมีใจศรัทธาให้เต็มที่  ความจริงเป็นงานอริยะที่หาได้ยาก
วันนี้ได้พบเป็นเรื่องมหัศจรรย์  วิญญาณเป็นพันๆหมื่นๆที่หลงเหลือ
ยังเวียนว่ายอยู่ในหกวิถี  พวกเจ้าสามารถได้รับพุทธะนี้
เป็นเวลาที่ต้องเร่งบำเพ็ญเพียร รู้ไหมเมธีทั้งหลายโชคดีได้ขึ้นเรือธรรม
เดินเรืออริยะไปนิพพาน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจก้าวไปข้างหน้า
จำทิศทางให้มั่นอย่าลังเล  โชคดีถันจู่ (เจ้าตำหนักพระ) ต้องบรรลุปณิธาน
ภาระยิ่งใหญ่แบกใส่บ่า  ไม่ควรบ่ายเบี่ยงตัดมุ่งมั่น
ไม่กลัวยากลำบากช่วยคนหลง  ก้าวไปข้างหน้าอนาคต
ต้องมีความดำริเป็นสัมมา  จับถือสายทองอันยิ่งใหญ่
ก้าวสู่หนทางสว่างไสว เข้าใจไหม?  วันนี้ผูกบุญสัมพันธ์กับทุกคน
มิใช่ธรรมดาเป็นความแยบคายยากจะกล่าว  อุบาสกอุบาสิกา ต้องสร้างตนเอง
พยายามวางโครงการเดินเรือธรรมเข้าใจไหมขอลาเมธีทั้งหลายกลับนิพพาน