ตอนที่ ๙ บททดสอบก่อนออกบวช

 

พระธิดาเมี่ยวซ่านยังคงเดินจากไปอย่างงามสง่า เสมือนหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์อันยิ่งใหญ่ เพราะในใจนั้นแสนปีติยินดีที่ได้ออกบวชบำเพ็ญธรรมสมความตั้งใจ มิได้อาลัยอาวรณ์กับทรัพย์สมบัติหรือราชบังลังก์เบื้องหลังเลย พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จสู่อารามนกยูงขาว พร้อมทหารรักษาพระองค์หนึ่งกองร้อยเป็นผู้ติดตาม ผ่านถนนสายต่างๆในพระนคร ชาวเมืองต่างพากันมาชมพระบารมีไม่ขาดสาย ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระธิดาผู้งดงามสูงศักดิ์ยอมสละทรัพย์สมบัติมหาศาล เสด็จสู่ทางแห่งพุทธธรรม น่าสรรเสริญยิ่งนักท้องฟ้า Skyครั้นกองทหารนำทางพระธิดาสู่วัดนกยูงขาวเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะลากลับ นายทหารผู้นำกองร้อยจึงแจ้งสาสน์ลับแก่ภิกษุณีเจ้าอาวาสว่า "พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีพระบัญชาให้พระธิดาเมี่ยวซ่านทำงานหนักที่สุดและต่ำช้าที่สุด ห้ามให้ผู้ใดช่วยเหลือเป็นอันขาด มิเช่นนั้นทั้งวัดนี้และวัดอื่นๆในราชอาณาจักรจะถูกทำลายจนหมดสิ้น" พระภิกษุณีต้องรับพระบัญชาด้วยความจำยอมหลังจากกองทหารนำเสด็จกลับไปแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสขอออกบวชเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์ และช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ภิกษุณีเจ้าอาวาสท่านมีจิตสงสารพระธิดาเป็นที่สุด จึงกล่าวว่า "พระธิดาผู้สูงศักดิ์ พระเจ้าเมี่ยวจวงมีรับสั่งมาให้พระองค์ทำงานอันหนักและต่ำช้าเป็นการทดสอบก่อนบวช ไม่ทราบว่าพระองค์จะอดทนได้หรือไม่" พระธิดาเมี่ยวซ่านตรัสยืนยันว่า "พระแม่เจ้าอย่าได้กังวลเลย ร่างกายของข้าพเจ้านี้ได้ผ่านงานหนักมาแรมปี ย่อมอดทนต่อกิจทั้งปวงได้อย่างแน่นอน" ภิกษุณีเจ้าอาวาสจึงพาพระธิดาเข้าปฏิญาณตนต่อพระพุทธปฏิมาทองคำในยามสนธยานั้นเอง วัดนกยูงขาวในคืนนั้นจึงมีเสียงสวดสาธยายพระสูตรดังเจื้อยแจ้วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงจากพระธิดาเมี่ยวซ่าน ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบ กลิ่นธูปควันเทียนลอยขึ้นฟ้าปนกับกลิ่นใบสนในอากาศ นับเป็นความสุขสงบเรียบง่ายทั้งกายและใจที่พระธิดาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าที่พักเมื่อเวลาดึกสงัด จวบจนยามใกล้รุ่งจึงลุกขึ้นจากที่บรรทมเตรียมปฏิบัติภารกิจที่พระบิดาสั่งการไว้ โดยแต่งองค์ในชุดขาวคล้ายชี แต่ขมวดผมมุ่นเป็นมวยเพราะยังมิอาจปลงผมได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระบิดาครั้นพระองค์เสด็จผ่านลานวัดเพื่อจะไปตักน้ำ ปรากฎว่ามีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งท่าทางมีสง่าเหนือคนทั่วไปกำลังยืนรอพระธิดาอยู่ พร้อมกับกล่าวว่า "พระธิดาผู้ภักดีในพระพุทธศาสนาจะเสด็จไปตักน้ำในบ่อที่ห่างไกล เสมือนสิ่งกีดขวางการปฏิบัติธรรมตามประสงค์ร้ายของพระบิดา แต่เราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่" ทันใดนั้นได้มีบ่อน้ำพุอุบัติขึ้นมากลางลานวัด น้ำสะอาดบริสุทธิ์ใสปานแก้วไหลพวยพุ่งดังจะไม่มีวันสิ้นสุด ภิกษุณีเมี่ยวซ่านตะลึงงัน และเมื่อจะหันไปคารวะท่านผู้วิเศษ ชายผู้นั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและกล่าวว่า วิบากกรรมของผู้มีบุญบารมี เช่นท่านทำให้สวรรค์ร้อนดั่งเพลิง เราจึงลงมาช่วยเหลือท่าน อย่าแปลกใจไปเลย"พระธิดาเมี่ยวซ่านยินดียิ่งนักจึงเปล่งวาจาว่า "หากผลบุญจากแรงภาวนาของข้าพเจ้ามีจริงขอให้น้ำพุจากธารนี้จงกลายเป็นโอสถบำบัดความเจ็บป่วยDSC00339แก่ผู้มาลิ้มรสหรือผู้มาวัดนี้ด้วยใจศรัทธาเทอญ" ด้วยแรงอธิษฐานนั้นเอง ทำให้น้ำพุนั้นกลายเป็นน้ำทิพย์ ช่วยผู้คนจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาทำบุญในวัดนี้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ยกเว้นผู้มีบาปอกุศลอันร้ายแรงเท่านั้นที่ดื่มกินเท่าไรก็ไม่บังเกิดผล ต่อมาพระธิดาเมี่ยวซ่านได้เสด็จสู่พระวิหาร เพื่อจะเก็บกวาดทำความสะอาด แต่ทว่าได้มีบุรุษแปลกหน้ากำลังกวาดพื้นอยู่ เมื่อชายผู้นั้นเห็นพระธิดาจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นเทพบนสวรรค์ แต่บุญกุศลที่มียังไม่เท่าการได้รับใช้พระโพธิสัตว์ในขณะยังมีพระชนม์ชีพ ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้กวาดวิหารนี้ต่อไปเถิด" พระธิดาเมี่ยวซ่านจำต้องยินยอมจากนั้นได้เสด็จออกจากวัดขึ้นเขาเพื่อเก็บฟืน ทันใดนั้นก็ปรากฏชายสวมเสื้อผ้าสีเขียวแบกฟืนเดินมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์แล้วกล่าวว่า "ข้าแต่องค์พระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าเป็นเทพารักษ์แห่งภูเขานี้มาหลายพันปี ขอให้ข้าพเจ้าได้รับใช้แบกฟืนแทนพระองค์ เพื่อผลบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยเทอญ" พระธิดาเมี่ยวซ่านฟังแล้วจึงว่า "สาธุ ขอจงเป็นไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด"เมื่อพระธิดาว่างเว้นจากการทำงาน พระองค์จึงประทับเจริญภาวนา สาธยายพระสูตรเรื่อยไป ขณะนั้นเองได้มีฝูงนกบินมาจากทั่วทุกทิศลงมาห้อมล้อมพระธิดาพร้อมถวายผลไม้ให้เสวยมากมาย ช่วงเวลาเดียวกันก็บังเกิดเสียงพึมพำซุบซิบลอดเข้าไปในวิหาร เสียงระฆังดังกังวานโดยไม่มีคนตี นับเป็นความอัศจรรย์อันเกิดขึ้นได้ยากบนโลกนี้

ตอนที่ ๘ การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น


นับจากวันนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไปตักน้ำในบ่อมาใส่ตุ่มจนครบเจ็ดใบ แม้กายจะอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้าแต่ก็ต้องรีบมาติดไฟหุงข้าว ระหว่างรอข้าวสุกก็ออกไปผ่าฟืนจนครบตามพระบัญชา ซึ่งเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี พระธิดาจึงต้องติดไฟหุงข้าวอีกครั้ง หน้าที่ในคราวนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก แต่พระธิดาก็ไม่ปริปากบ่นหรือเรียกให้ใครช่วยเหลือเลย ในครัวกลับมีเสียงหัวเราะเยาะและคำเสียดสีถากถางให้ได้ยินอยู่เสมอ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นทรงอดทนอดกลั้นต่อการว่าร้ายต่างๆ มิเคยกริ้วหรือบริภาษให้คนเหล่านั้นหยุดพูดแม้แต่ครั้งเดียวพระธิดาทำงานหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ยามค่ำก็ยังจุดตะเกียงเพื่อสานรองเท้าฟาง และสวดสาธยายพระสูตรไปด้วย จนดึกดื่นจึงเข้าบรรทมบนเตียงแคบๆ แข็งๆกระด้างในบ้านพักของพระองค์ วันต่อๆมาก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ทุกประการมิได้มีว่างเว้นเลย นานเข้าเสียงซุบซิบนินทาก็ค่อย ๆ หายไปและมีเสียงพร่ำบ่นสงสารพระองค์เข้ามาแทน แม้แต่นางกำนัลย่งเหลียน ผู้รายงานพฤติกรรมของพระธิดาต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงยังอดเคารพรักในตัวพระธิดาไม่ได้ นางและข้าราชบริพารในห้องครัวจึงช่วยกันวางแผนการบางอย่างเพื่อพระธิดาอันเป็นที่รักของทุกคนเช้าวันหนึ่ง พระธิดาลุกขึ้นจากเตียงไม้อันแข็งกระด้าง สลัดความอ่อนล้าทางกายทิ้งไป ตรงเข้าครัวไปหยิบถังเตรียมหาบน้ำ ปรากฏว่าเมื่อมองไปในตุ่มกลับพบว่ามีน้ำใสสะอาดอยู่เต็มปริ่มครบทั้งเจ็ดใบ ที่ท้ายครัวก็มีฟืนผ่าแล้วครบตามจำนวน อุทยานหลวงก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี พระธิดาเหลียวมองรอบกายด้วยความอัศจรรย์ใจ คงเหลือแต่งานจุดไฟหุงข้าวเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เบาที่สุดในบรรดาหน้าที่ทั้งหมด พระธิดาจึงลงมือติดไฟทันที เมื่อเหล่าพนักงานในครัวเข้ามาทำงานของตนตามปกติแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงกล่าวว่า "พวกท่านได้ช่วยกันทำงานในส่วนของเรากันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เราเสียอีกกลับเป็นภาระให้พวกท่าน เราไม่มีทรัพย์รางวัลอันใดตอบแทนน้ำใจของพวกท่านเลย มีเพียงคำขอบคุณเท่านั้น ช่างน่าละอายนัก แต่ต่อจากนี้ไปขอให้พวกท่านได้ให้เราทำงานตามพระบัญชาเช่นเดิมเถิด เพราะเรามิอาจทนเห็นผู้เหนื่อยยากแทนตัวเราได้" ย่งเหลียนและทุก ๆ คนได้ฟังต่างรู้สึกรักและเห็นใจองค์หญิงเป็นเท่าทวี ย่งเหลียนทูลว่า "ไม่ใช่พวกหม่อมฉันหรอกเพคะ คงเป็นเทพมาช่วยเหลือเพราะหมายให้พระองค์ได้มีเวลาว่างสวดมนต์ปฏิบัติธรรมและบรรลุมรรคผลโดยเร็ว" พระธิดาจนใจด้วยเหตุผลจึงได้แต่น้อมกายคารวะทุกคนอย่างซาบซึ้ง ทุกๆวันพระธิดาเมี่ยวซ่านตื่นขึ้นมา งานในครัวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นเสด็จไปทำความสะอาดอุทยานหลวงก็พบว่า ดอกไม้ ต้นไม้ และศาลาพักผ่อน ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี พระธิดาได้แต่น้อมคารวะผู้ที่กระทำหน้าที่แทนตนด้วยความลำบากใจและเกรงใจทุกครั้งไป เมื่อใดที่ไต่ถามว่าผู้ใดปฏิบัติงานให้ตนก็จะได้รับคำปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่มีใครรู้เห็น ย่งเหลียนเองก็บ่ายเบี่ยงว่าอาจเป็นเพราะอำนาจของพระพุทธคุณมาช่วยพระธิดาอยู่เสมอ พระธิดาผู้ชาญฉลาดมีหรือจะไม่รู้ว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อพระองค์ไปจากเดิม แล้วกลับหันมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระแทนเมื่อทรงมีเวลามากพอ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงใช้เวลาสานรองเท้าฟางโดยไม่มีกำหนดจำนวนตามพระบัญชา พร้อมกับท่องภาวนาพระสูตรไปพร้อมกัน ทำให้ปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น บางครั้งก็ทรงแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ที่ต้องถูกฆ่าเป็นอาหารในโรงครัววันละหลายสิบตัว จำนวนบทสวดก็เพิ่มขึ้นหลายร้อยเที่ยว ในบางครั้งก็ทรงหาวิธีถนอมอาหารให้เก็บไว้ใช้ยามขาดแคลน เช่น ทรงให้เก็บข้าวที่เหลือเป็นจำนวนมากในแต่ละมื้อไว้ไปดงไฟไล่ความชื้น แล้วนำไปตากแดด เมื่อแห้งดีแล้วจึงเก็บใส่ถุงผ้าเตรียมไว้ใช้หรือแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ อีกทั้งพระองค์ยังสนิทสนมกับทุกคนโดยไม่เห็นแก่บรรดาศักดิ์ ทุกคนจึงรักและเคารพพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นทวีคูณพระธิดาปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกวันเรื่อยมาจนครบ ๑ ปี พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ค่อย ๆ คลายโทสะลง วันหนึ่งพระองค์มีรับสั่งให้พระธิดาสามเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง แล้วก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระธิดาผู้มีความตั้งมั่นอันแรงกล้า แม้ร่างกายจะซูบผอม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่ความเด็ดเดี่ยวยังฉายเปี่ยมในแววตา พระเจ้าเมี่ยวจวงบริภาษด้วยเสียงอันดังว่า "เราซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบก็ต้องไม่พ่ายแพ้คนในครอบครัวเช่นกัน ! เมี่ยวซ่านเจ้าจงเลือกคู่ครองจากชายหนุ่มผู้มีสกุลหรือมีความรู้คนใดคนหนึ่งมาสยุมพรด้วยเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป" พระธิดาเมี่ยวซ่านไม่หวั่นไหวกับคำขู่กลับตรัสว่า "เสด็จพ่อ ลูกได้ตั้งมั่นแล้วว่าจะช่วยดับทุกข์ของผู้คนทั้งหลาย ไม่ฝักใฝ่ในทางโลก หากเลือกได้หม่อมฉันขอสละชีวิตทางโลก เพื่อบวชเป็นภิกษุณีบำเพ็ญธรรมคอยปลดเปลื้องความทุกข์ของสัตว์โลกดีกว่าเพคะ" พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงแผดพระสุรเสียงกึกก้องท้องพระโรงว่า "ลูกไม่รักดี คิดจะบวชเป็นชีกระทำตนอ่อนแอหลบอยู่หลังพระคัมภีร์ เราผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินขอประกาศว่าไม่เคยมีลูกเช่นเจ้า จงไสหัวไปใส่เครื่องขาวแล้วออกไปให้พ้นราชวังของเราเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านถวายบังคมลาแทบพระบาทแสดงความคารวะสูงสุด จากนั้นจึงเดินทางออกจากวัง ท่ามกลางความเศร้าโศกของเหล่าข้าราชบริพาร โดยเฉพาะเหล่าคนครัวและชาวสวนที่อยู่ใกล้ชิดผูกพันกันมาแรมปี

ตอนที่ ๗ การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก

 

ครั้นพระธิดาทั้งสององค์ถึงวัยสมควรมีคู่ครอง พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงจัดการอภิเษกพระธิดาองค์โตให้แก่ โฮเฟง แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกร และให้พระธิดาองค์รองอภิเษกกับ เจาไคว บัณฑิตผู้มากปัญญา พระเจ้าเมี่ยวจวงนั้นทรงคิดว่าราชบุตรเขยทั้งสองนี้เป็นผู้เปี่ยมด้วยวิชาความรู้ จึงทรงรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างดี หากแต่ทรงหารู้ไม่ว่า บุรุษทั้งสองนี้ทำดีเฉพาะยามอยู่หน้าพระพักตร์ลับหลังก็ชมแต่ระบำรำฟ้อน ปรนเปรอควา มสุขใส่ตนและภรรยาที่เป็นถึงองค์หญิงโฉมงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พระเจ้าเมี่ยวจวงนั้นยังทรงแน่นแน่กับความคิดที่จะยกราชสมบัติให้แก่พระธิดาสามดังเช่นที่เคยตรัสหารือกับพระนางเป้าเต๋อตอนมีพระชนม์ชีพอยู่ ดังนั้นจึงต้องเฟ้นหาชายหนุ่มมาอภิเษกกับพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นพิเศษ โดยนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาเหล่าเสานาบดีในท้องพระโรง เมื่อข่าวการอภิเษกแว่วมาถึงพระกรรณของพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ทำให้พระองค์ตกพระทัยยิ่ง รีบเข้าเฝ้ากราบทูลต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงทันที "เสด็จพ่อเพคะ ลูกมิอาจสยุมพรได้ (สยุมพร หมายถึง แต่งงาน) เพราะลูกถือพรหมจรรย์ อุทิศตนเป็นพุทธสาวกของพระพุทธองค์แล้วเพคะ หากลูกผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้จักตกนรกมิได้ผุดได้เกิดเพคะ"พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ตรัสลงโทษพระธิดาทันที "ลูกไม่รักดีเป็นองค์หญิงอยู่สุขสบายไม่ชอบ ริจะไปบวชชี ดูซิถ้าเจ้าไม่มีเวลาคิดเรื่องพระธรรมอะไรนั่นแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าจะให้เจ้าลดบรรดาศักดิ์ลงไปทำ งานหนักในอุทยานหลวง แม้นทหารรับใช้ก็ยังมียศสูงกว่าเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ !" แม้พระน้านางจะขอร้องอย่างไร พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ไม่ทรงลดโทษให้เลย พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงย้ายจากตำหนักมาอาศัยกระท่อมท้ายอุทยาน มีหน้าที่ตื่นแต่เช้าตรู่มารดน้ำต้นไม้ กวาดลาน เช็ดถูพระที่นั่งในศาลาหลวงพื้นที่ในอุทยานั้นแสนกว้างใหญ่ แต่พระธิดาทรงทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สองแขนและพระวรกายจึงอ่อนล้ายิ่งนัก ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงทรงให้นางกำนัลผู้หนึ่งชื่อ ย่งเหลียน ติดตามดูพฤติกรรมของพระธิดาแล้วคอยรายงานว่าความลำบากที่ได้รับทำให้ทรงกลับใจได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใดย่งเหลียนก็นำความมานะอุตสาหะของพระธิดาไปกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงทุกครั้ง หลายเดือนผ่านไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าเมี่ยงจวง พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าเฝ้าถวายพระพรแต่เช้าตรู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นสภาพทรุดโทรมของพระธิดาแล้วทรงอ่อนพระทัยลง ตรัสให้พระธิดาเปลี่ยนใจหาคู่สยุมพรโดยเร็ววันจะได้ไม่ลำบากกาย แต่ทว่าพระธิดากลับยืนกรานว่า การทำงานหนักทำให้จิตใจหนักแน่นและปลอดโปร่งอย่างที่สุด พระเจ้าเมี่ยวจวงพิโรธยิ่งตรัสว่า "ดี เป็นคนสวนยังไม่พอก็จงมาเป็นคนรับใช้ข้า พี่สาว และพี่เขยของเจ้าในวันเกิดข้านี่ล่ะ ไปจัดการปัดกวาดอุทยานแล้วตั้งเครื่องเสวยเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านรับพระบัญชามาทำความสะอาดและจัดเตรียมสถานที่ทันทีเมื่อขบวนเสด็จของพระเจ้าเมี่ยวจวงและสองพระธิดามาถึงก็ได้พบกับสถานที่อันรื่นรมย์ ทั้งไม้ดอกนานาพันธุ์ เครื่องเสวยเลิศรส หมู่นางระบำรำฟ้อนสวยงาม แต่พระธิดาสามกลับยืนอยู่ไกล ๆ มองตรงแน่วแน่ ไม่สบตาใคร เพราะเห็นว่าไม่ควรพบปะราชบุตรเขยซึ่งเป็นชาย ตามจารีตที่หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน พระพี่นางทั้งสองต่างเข้ายึดพระกรพระธิดา พูดจาหว่านล้อมให้มาเสพสุขด้วยกัน ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสว่า "ทรัพย์นอกกายเหล่านั้นทำให้ผู้คนแก่งแย่งจนเกิดสงครามกันมิใช่หรือ ลาภยศ สุข สรรเสริญ ล้วนทำให้คนลุ่มหลงอยู่ในห้วงอบายภูมิ พุทธธรรมเท่านั้นจะฉุดรั้งและกำจัดมารได้ อีกทั้งความเมตตาอันแผ่ออกไปในบทสวดมนต์ของน้อง เพื่อช่วยชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ภัย สู่บรมสุขแห่งนิพพานด้วยกัน" พระเจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็กริ้วจนสุดระงับ บริภาษว่า "ข้าให้เจ้ามารับใช้เพราะหวังจะให้สำนึกกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แต่เจ้ายังกล่าวเท็จถึงความเมตตาจอมปลอมนั่น เจ้าลองคิดดูสิว่าสตรีใดในโลกจะมีสุขเพราะปราศจากบิดาและสามี พุทธธรรมที่เจ้าอ้างนั้นเคยมาช่วยทำสงครามหรือ นับจากนี้ไปเจ้าต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น น้ำสะอาดต้องเต็มเจ็ดตุ่ม ต้องผ่าฟืนวันละสองหาบ ช่วยหุงข้าว ต้มแกง และงานในครัวทั้งปวง ยามว่างก็จงเย็บรองเท้าฟางอย่างประณีต ดูซิว่าจะมีเวลาท่องมนต์อะไรอีกหรือไม่" สิ้นพระบัญชาพระองค์เสด็จจากไปทันที พระธิดาและราชบุตรเขยทั้งสองจึงรีบตามเสด็จไป

ตอนที่ ๖ โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่าน


พระนางทิ้งไว้แต่คำตรัสสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระธิดาสามว่า "ลูกรัก แม่คงมิได้อยู่เห็นเจ้กวนอิม ประวัติ าเติบใหญ่มีครอบครัวที่เป็นสุข แม่เสียใจเหลือเกิน ต่อไปนี้เจ้าจงทำตามพระทัยเสด็จพ่อ อย่ายึดถือความเชื่อของตนอีกเพราะจะทำให้เสด็จพ่อเสียพระทัย" ขาดคำพระนางก็ทรงมีอาการกระตุกและสิ้นพระชนม์ พระธิดาองค์ใหญ่และองค์รองกรรแสงอย่างโศกเศร้า ส่วนพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเสียพระทัยจนหมดสติลง เหล่านางกำนัลต้องพยาบาลกันอลหม่านการจากไปของพระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งของพระสวามี พระธิดาทั้งสาม และเหล่าชาวเมือง ทำให้ทั้งอาณาจักรซิงหลิงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะพระธิดาเมี่ยวซ่านที่แม้นมีพระชันษาเพียง ๗ ปี แต่กลับต้องสูญเสียพระมารดาที่รักยิ่งไปต่อหน้าพระพักตร์ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงนั้น เสียพระทัยจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด เฝ้าแต่ทอดพระเนตรกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทหารนำมาถวาย โดยกล่าวว่ากระดาษแผ่นนี้ ตกอยู่ในที่คุมขังโล้วนาปู้เจี้ยน ภายในกระดาษมีอักษาเขียนเป็นโศลก (โศลก หมายถึง คำขับร้องสรรเสริญ) สี่บรรทัดทิ้งไว้ว่า"แต่เดิมธรรมอันวิเศษมีหกสายผลที่สุดความดีฉายเหนือยิ่งใหญ่มองความว่าง ฤา สีหน้ากิเลสไร้เสาะแสวงแต่เสียงไห้ปริเวทนาการ"พระเจ้าเมี่ยวจวงหักห้ามความเสียใจ พิจารณาข้อความในโศลกนั้น ๆ จนตีความได้ว่า ธรรมอันวิเศษหมายถึง เมี่ยว บรรทัดที่สองปรากฏคำว่า ความดี หมายถง ซ่าน ส่วนในบรรทัดที่สามมีคำว่า มองหมายถึง กวน และต่อมามีคำว่า เสียง หมายถึง อิม รวมความแล้วคือ เมี่ยวซ่านกวนอิม แต่จะแฝงความนัยสื่อถึงสิ่งใดนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงมิอาจรู้ได้เลยการหายตัวไปของนักโทษโล้วนาปู้เจี้ยนและการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีได้รับการกล่าวขานไปทั่วเมือง บ้างก็ว่าชายลึกลับเป็นพุทธเทวะแปลงมา เพราะแม้นเครื่องจองจำพันธนาการตั้งแต่คอจรดเท้าก็มิอาจกักขังเขาไว้ได้ บ้างก็ว่าพระนางเป้าเต๋อสิ้นเพราะพระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งประหารโล้วนาปู้เจี้ยนใครเลยจะทราบว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงเสียพระทัยกับการกระทำที่มิอาจย้อนคืนของพระองค์ยิ่งนักฝ่ายพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเล็งเห็นว่าความทุกข์และความตามไม่มีใครหนีพ้นได้ อีกทั้งตนต้องอกตัญญูยิ่งนักเมื่อยังมิsunbright ได้ตอบแทนคุณพระมารดา ทางเดียวที่เราจะบรรเทากรรมนี้ได้คือสละกายแห่งปุถุชนสู่หนทางแห่งพุทธธรรม จากวันนั้นเป็นต้นมาพระธิดาเมี่ยวซ่านทรงท่องภาวนาพระสูตรบำเพ็ญตน พร้อมกับพระน้านางผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของมเหสีเป้าเต๋อและเป็นพี่เลี้ยงของพระธิดาสามอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา ความตั้งมั่นของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แม้พระเจ้าเมี่ยวจวงก็มิอาจทัดทานได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังทรงเสียพระทัยที่พระมเหสีจากไป และเห็นว่าการท่องบ่นพระสูตรนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง แต่ย่อมดีกว่าการออกไปช่วยมดหรือจั่กจั่นจนเจ็บตัวปางตายยิ่งนัก ทว่าในใจจริงของพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นมุ่งหวังที่จะเข้าเป็นพุทธสาวิกา คือออกบวชเป็นภิกษุณีเพื่อบำเพ็ญธรรมนสำเร็จสมบูรณ์ แล้วจึงจะโปรดบรรดาสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ชาวโลกจักได้พบความสุขอันแท้จริงคืนหนึ่ง ขณะพระธิดาเมี่ยวซ่านกำลังบรรทมครึ่งหลับครึ่งgold midddleตื่นอยู่บนพระที่ พลันก็มีแสงสว่างโพลงเจิดจ้าขึ้นทั่วตำหนัก ตรงกลางแสงนั้นปรากฏร่างของพระพุทธองค์ พระวรกายสีทองเปล่งรัศมีโดยรอบ ประทับยืนอยู่กลางดอกบัว พระธิดาเมี่ยวซ่านรีบทรุดกายลงกราบ และอ้อนวอนให้ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้ พระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารแลทุกข์ไม่เที่ยง ผู้รู้แจ้งสำเร็จจะทำใจให้เข้มแข็งขจัดทุกข์ได้ที่สุด จะเป็นผู้บริสุทธิ์รู้แจ้งด้วยตนเองเมื่อถึงเวลา พระธิดาถามว่าตนจะสำเร็จเป็นผู้วิเศษเมื่อใด จึงได้รับคำตอบว่า ในไม่ช้านี้ เมื่อเจ้าได้ดอกบัวแห่งเขาซีมี่ซานและแจกันหยกขาวที่มีน้ำสุธาทิพย์โดยมีผู้มอบให้ จงจำไว้ให้ดี ตรัสจบก็ทรงหายวับไปพร้อมแสงจ้าที่ดับวูบลง   นับจากวันนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านยิ่งทรงมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎก ละวางสิ่งบันเทิงจนหมดสิ้น เพื่ออุทิศเวลาบำเพ็ญภาวนาอย่างจริงจัง จนแตกฉานในพระพุทธธรรม วันคืนล่วงเลยไปจากพระธิดาน้อยได้เจริญวัยเป็นสาวงามสะพรั่งมีพระชนมายุครบ ๑๖ พรรษา และยังคงฝักไฝ่ในทางธรรมเสมอมา ท่ามกลางความไม่พอพระทัยของพระราชบิดาและความริษยาของพระพี่นางทั้งสอง จะมีก็แต่พระน้านางเพียงองค์เดียวที่คอยดูแลและสนับสนุนให้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เรื่อยมา

ตอนที่ ๕ การตามหาบัวหิมะ และการหายตัวไปของบุรุษหนุ่มลึกลับ


วันรุ่งขึ้น ขุนพลเจียเยี้ย ผู้แกล้วกล้า รับอาสาออกตามหาบัวหิมะพร้อมทหารฉกรรจ์อีกห้าสิบนาย ได้ออกเดินทางโดยกองคาราวานอูฐ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางสู่ยอดเขาซีมี่ซานอันทุรกันดารและลึกลับซับซ้อนเส้นทางนั้นเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้าง บางครั้งก็เป็นป่าทึบรกชัฏเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายตลอดเส้นทางนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งเดือน กองคาราวาน กวนอิม การ์ตูนที่เสาะหาบัวหิมะก็ถึงทิวเขาซีมี่ซานในพลบค่ำคืนหนึ่ง ขุนพลเจียเยี่ยสั่งการให้ตั้งกระโจมพักแรมที่เชิงเขา ในใจรู้สึกปีติยินดีที่ถึงจุดหมาย แต่อีกใจก็เป็นทุกข์เพราะมองไปทิศใดก็เห็นแต่เทือกเขายอดสูงเสียดฟ้าไม่แตกต่างกันขณะที่ทหารทั้งหลายหลับสนิทในกระโจมด้วยความเหนื่อยอ่อน สายลมหนาวยะเยือกพัดปะทะร่างท่านขุนพลที่นั่งใคร่ครวญอยู่ลำพังจนปวดกระดูก แต่ก็ไม่ลดพลังศรัทธาในการอธิษฐานจิตของท่านลงได้ "เทพแห่งป่าไม้และขุนเขา ข้าผู้น้อยเจียเยี้ยขอประทานพรให้ได้พบบัวหิมะอันศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง ให้รู้ว่าที่พวกเราเดินทางมามิได้สูญเปล่าเลยด้วยเทอญ" ฉับพลันได้มีรัศมีเจิดจ้า เปล่งประกายออกมาจากยอดเขายอดหนึ่ง ท่านขุนพลเพ่งมองแล้วก็พบว่า แสงนั้นคือรัศมีจากกลีบบัวหิมะนั่นเอง ท่านจึงรีบปลุกนายทหารขึ้นมาชมอภินิหารในครั้งนี้จนทั่ว เหล่าทหารต่างไชโยโห่ร้องโลดเต้นด้วยความยินดีแต่ทั้งหมดก็ยินดีได้เพียงชั่วครู่ เหตุเพราะบัวหิมะนี้เป็นสิ่งวิเศษ รับสัมผัสของเสียงโห่ร้องได้ จึงค่อย ๆ จมลงไปในหิมะ ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่นั้นอีกครั้ง เหตุดังกล่าวทำให้ทหารทุกคนรวมทั้งท่านขุนพลยินดีอย่างเหลือล้น เพราะเห็นแล้วว่าบัวหิมะนั้นมีอยู่จริง แผลเป็นของพระธิดาสามอันเป็นที่รักของทุกคนย่อมรักษาหาย หมอทุกคนที่ถูกคุมขังและชายลึกลับนามโล้วนาปู้เจี้ยนจะพ้นจากพระอาญาทั้งมวล คิดได้ดังนั้นแล้วจึงพักผ่อนอย่างเป็นสุข รอให้ถึงรุ่งเช้าโดยเร็วทว่ากองทหารทุกนายก็ต้องผิดหวังเพราะไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม้ผล ตำหน่งยอดเขาทุกยอดดูเหมือน ๆ กันไปหมด ยามค่ำคืนก็ไม่พบวี่แววที่บัวหิมะจะเปล่งรัศมีสว่างไสวอีกเลยจนล่วงเข้าวันที่ ๕ ขุนพลเจียเยี้ยเห็นว่ารอคอยต่อไปก็ไร้ประโยชน์จึงยกพลกลับสู่เมืองซิงหลิง เข้าเฝ้าพระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วกราบทูลว่า "กำลังพลของข้าพระองค์ได้พบบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซานจริงดังคำกล่าวของโล้วนาปู้เจี้ยน แต่ไม่สามารถนำกลับมาได้เพราะบัวหิมะซ่อนตัวใต้ยอดเขายากแก่การค้นหาพระเจ้าข้า" พระเจ้าเมี่ยวจวงถึงกับตรัสไม่ออก เมื่อฟังคำของท่านขุนพลจบลงนั่นก็เพราะย้อนไปหลายวันก่อน เมื่อขบวนของขุนพลเจียเยี้ยออกเดินทางจากเมืองไป พระมเหสีเป้าเต๋อก็ทรงประชวรด้วยโรคประหลาด คือหลับอย่างกะทันหัน เมื่อตื่นก็ไม่ตรัสอะไรกับใคร แล้วก็หลับลงไปอีก แม้หมอหลวงก็ไม่อาจเยียวยาได้ ท่านเสนาซ้ายอานาลั๋วจึกวนอิม พระเมตตางกราบทูลให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนมาดูอาการพระนางเป้าเต๋า พระเจ้าเมี่ยวจวงใคร่คราญแล้วว่ายังไม่พบวิธีอื่น จึงรับสั่งให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนออกมาทำการรักษาพระมเหสี เมื่อจับชีพจรแล้วเขาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "ชีพจรทั้งหกยังเต้นเป็นปกติ แต่บางครั้งก็เหลือเพียงเส้นบาง ๆ เส้นเดียวที่เต้นอยู่ เป็นเพราะจิตวิญญาณของพระนางจะแยกออกจากร่างใน ๗ วัน ไม่มีวิธีรักษาเลย"พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วไม่พอพระทัยยิ่ง รับสั่งให้นำตัวโล้วนาปู้เจี้ยนไปประหารทันที แต่เสนาซ้ายรีบทูลทัดทานว่า "ขอได้ทรงโปรด หากประหารชีวิตคนในขณะนี้ย่อมไม่เป็นสิริมงคลแก่การประชวรของพระมเหสี อาจเกิดเหตุร้ายได้ ทรงใคร่ครวญด้วยเถิด" พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "เมื่อท่านเห็นดังนั้นเราก็จะไว้ชีวิตมันแต่โทษเป็นย่อมละไม่ได้ ทหารลากตัวไอ้หนุ่มโอหังผู้นี้ไปโบยสองร้อยไม้" โล้วนาปู้เจี้ยนต้องโทษตามพระอาญา แล้วจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงที่ยากแก่การหลบหนี ทว่าเวลาล่วงไปเพียง ๕ วัน ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อโล้วนาปู้เจี้ยนหายไปจากเรือนจำอย่างไร้ร่องรอย เป็นเวลาเดียวกันกับชีวิตของพระมเหสีเป้าเต๋อที่จากไปอย่างสงบพร้อม ๆ กัน !!

ตอนที่ ๔ บุรุษหนุ่มลึกลับและยาวิเศษ


หนึ่งเดือนผ่านไปพระอาการต่าง ๆ ทั้งบาดแผลตามเนื้อตัวและกระดูกข้อเท้าที่หลุดใกล้หายดีดังเดิมแล้ว คงเหลือแต่แผลบนหน้าผากข้างขวาเท่านั้น ที่ยุบจนกลายเป็นแผลเป็นสีคล้ำทำลายความงามบริสุทธิ์บนใบหน้าของพระธิดาน้อยให้เป็นรอยมลทิน สร้างความกังวลให้กับพระบิดามารดามาก เพราะเกรงว่าจะเป็นข้อบกพร่องในการเลือกราชบุตรเขยมาอภิเษกกับพระธิดาสามพระเจ้าเมี่ยวจวงจึงมีพระราชโองการประกาศหาหมอฝีมือดีมารักษาแผลเป็นของพระธิดาสาม หากผู้ใดทำสำเร็จจะประทานรางวัลเป็นเงิน ทอง และตำแหน่งหมอหลวงประจำราชสำนัก ทันทีที่ประกาศBuddhism ติดทั่วเมือง บรรดาหมอและผู้รู้ทางยาก็ได้เข้าวังถวายการรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่ทว่าก็ไม่อาจทำให้แผลเป็นนั้นหายได้ พระเจ้าเมี่ยวจวงพิโรธมาก ทรงกักตัวหมอทั้งหมดไว้เตรียมสั่งเนรเทศกระทั่งวันหนึ่งมีบุรุษหนุ่มลึกลับปรากฏตัวขึ้น อาสารักษาแผลบนพระนลาฏ (หน้าผาก) ของพระธิดาเมี่ยวซ่าน โดยมีข้อแม้ว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงต้องปล่อยตัวหมอคนอื่น ๆ ไปเสียก่อน นามของเขาคือ โล้วนาปู้เจี้ยนพระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีความหวังขึ้นมาทันที "เจ้าจงบอกมาว่าจะใช้ตัวยาชนิดใดมารักษาลูกสามของเรา" โล้วนาปู้เจี้ยนยิ้มแล้วตอบว่า "วิธีการรักษาพระธิดาจำเป็นต้องใช้ยาวิเศษกับหมอวิเศษเท่านั้น ข้าผู้น้อยไม่มีทั้งยาและไม่ใช่หมอวิเศษ เพียงแต่รู้และเข้าใจ" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังคำยอกย้อนซ่อนเงื่อนของชายลึกลับแล้วก็ได้แต่พิโรธ "ในเมื่อเจ้าไม่ใช่หมอวิเศษหรือมียาวิเศษ เพราะฉะนั้นการรักษาลูกสามก็มิอาจทำได้"โล้วนาปู้เจี้ยนหัวเราะแล้วทูลว่า "ในที่สุดพระองค์ก็เข้าใจ" ชนวนสุดท้ายถูกจุดขึ้น อารมณ์พิโรธยากจะต้านทาน พระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งจับตัวโล้วนาปู้เจี้ยนไปคุมขังรอการประหารชีวิตทันที "ทหาร...ลากตัวมันออกไป !"เทพเจ้า พระนางเป้าเต๋อรีบห้ามพระสวามี "ช้าก่อนเพคะ ชายผู้นี้เพียงแต่บอกว่าเขาไม่มียาวิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าบนโลกนี้ไม่มี ทรงพระทัยเย็นแล้วฟังเขาเจรจาความให้จบเถิด" พระเจ้าเมี่ยวจวงใคร่ครวญตามจนพระทัยเย็น จึงถามว่า "เจ้าจงบอกมาว่ายาวิเศษนั้นหาได้ที่ไหน" โล้วนาปู้เจี้ยนตอบว่า "บัดนี้พระองค์มีจิตใจมั่นคงแล้ว ข้าพระองค์จักทูลว่ายาวิเศษนั้นคือบัวดอกหนึ่ง ซึ่งเกิดกลางหิมะบนเขาซีมี่ซาน รากมิได้แตะดินโคลน ยากแก่การแสวงหา ผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของ ชื่อของยานั้นก็คือ บัวหิมะ""...ตั้งแต่ครั้งโบราณถึงปัจจุบันมีบัวหิมะเกิดขึ้นแล้วสามดอก พระแม่ฟ้าหลวงนำขึ้นสวรรค์ไปประดิษฐานกลางสระหยกแล้วหนึ่งดอก เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าอีกหนึ่งดอก ส่วนดอกสุดท้ายอยู่ระหว่างทิศตะวันออกและทิศใต้ของเขาซีมี่ซาน โดยอยู่ในโพรงหิมะ มีน้ำแข็งห่อหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง กลิ่นหอมของบัวนี้ลอยไปไกล แต่น้อยคนนักจะได้เห็น ผู้มีบุญบารมีและเปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้นจึงจะได้มาโดยไม่ลำบาก" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงจึงตรัสว่า "เราจะควบคุมตัวเจ้าไว้ก่อน เมื่อส่งคนไปค้นหาจนพบแล้วจึงจะปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ แต่ถ้าไม่มีบัวนั้นจริง เราจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" ตรัสจบทหารองครักษ์จึงเข้าจับกุม ชายลึกลับไว้ตามพระบัญชา

ตอนที่ ๓ พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน


 
ฝ่ายพระนางเป้าเต๋อ ทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยอย่างรักใคร่ทนุถนอมจนเจริญวัยได้ถึง ๖ พรรษา พระธิดาเมี่ยวซ่านก็แสดงให้เห็นว่าทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน เปี่ยมด้วยน้ำพระทัย ผิดกับพระพี่นางทั้งสอง คือ องค์หญิงเมี่ยวอิม และองค์หญิงเมี่ยวเวี๋ยนอย่างยิ่ง ขณะที่พระพี่นางชอบเสื้อผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับสีสด ๆ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านกลับชอบผ้าพื้น ๆ ทอหยาบ ๆ ส่วนอาหารเลิศรสที่ตั้งถวายก็เสวยมิได้ ทรงรับแต่เพียงผักผลไม้ที่รสไม่จัด กลิ่นไม่ฉุน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และน้ำมันจากสัตว์จะเสวยมิได้เลย หากเพียงเข้าพระโอษฐ์ ก็จักอาเจียนออกเมี่ยวซ่าน  หมดแม้ยังไม่ได้กลืนลงท้องก็ตาม
เมื่อกล่าวถึงการเล่าเรียน พระธิดาสามก็ฉลาดเป็นหนึ่ง พระอาจารย์สอนสิ่งใดก็จดจำได้ แม้เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม ผิดกับพระพี่นางที่ชื่นชอบแต่การร้องรำทำเพลงสิ่งบันเทิงใจต่าง ๆ มากกว่าการเล่าเรียน พระเจ้าเมี่ยวจวงปรึกษากับพระมเสีว่า "ลูกสามมีปัญญามากกว่าใคร เห็นทีจักต้องให้อภิเษกกับชายที่เพียบพร้อมเสียก่อน จึงค่อยแต่งตั้งบุตรเขตจากลูกสามให้เป็นรัชทายาท" พระนางเป้าเต๋อฟังแล้วเห็นชอบด้วยทุกประการ มีเพียงแววตาอาฆาตของธิดาองค์โตและองค์รองเท่านั้นที่แอบฟังพระบิดามารดาคุยกัน และน้อยใจจนกลายเป็นริษยาพระธิดาเมี่ยวซ่านจนยากจะพรรณนาวันหนึ่งพระธิดาเมี่ยวซ่านประทับอยู่ในตำหนักด้วยความร้อนรุ่นไม่สบายใจ จึงเสด็จสู่อุทยานหลวงพร้อมนางกำนัลคนสนิท พระธิดาชมสวนเรื่อยมาจนถึงหน้าถ้ำเทวดาก็ทรงเห็นฝูงมดดำและฝูงมดแดงต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร พวกที่บาดเจ็บล้มตายกองสะเปะสะปะ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงเก็บศพมดทั้งสองฝ่ายฝังดิน ก่อเป็นเนินดั่งฮวงซุ้ย ทำให้ฝูงมดรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ก็เกรงอันตราย จึงต่างแยกย้ายกันกลับรังตนพระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนทอดพระเนตรเห็นน้องคนสุดท้องใช้มือขุดดินอย่างไม่กลัวเปื้อน และไม่รู้สาเหตุมาก่อนก็ตรงเข้าไปเยาะเย้ยถากถางว่า "ดูเจ้าสามซิ เป็นถึงองค์หญิงองค์โปรดแต่ลดตัวลงมาเกลือกดินโคลนช่างน่าละอายนัก"พระธิดาเมี่ยวซ่านอธิบายสาเหตุแล้วก็ชวนพระพี่นางทั้งสองมาช่วยกันจัดเรียงซากมดที่หัวขาดตัวขาดฝังลงดิน แต่พระพี่นางทั้งสองไม่สนใจช่วยกลับยิ้มหยามเหยียด กล่าวว่าร้ายต่าง ๆ นานาแล้วจากไป พระธิดาเมี่ยวซ่านมิได้ใส่พระทัย ยังคงอยู่กับการฝังศพมดต่างเผ่าด้วยความประณีต พลางคิดหาสาเหตุในการต่อสู้ จนสรุปได้ว่าอาหารที่มีอยู่ไม่พอเพียง จึงทรงนำขนมหวานมาป่นเป็นเศษแล้วโรยหน้าปากทางเข้ารังของมดทั้งสองชนิด ฝูงมดทั้งหมดสาละวนกับการขนอาหารเข้ารังมิได้สนใจต่อสู้กันอีก สร้างความยินดีให้แก่พระธิดาสามเป็นอันมากครั้นเมื่อกลับเข้าสู่ตำหนัก พระนางเป้าเต๋อก็รับสั่งให้องค์หญิงสามเข้าเฝ้า ทรงตรัสถามว่า "ไปซุกซนที่ไหนมารึลูกสาม" พระธิดาสามทราบทันทีว่าพระพี่นางต้องมาฟ้องวีรกรรมของพระองค์แล้วเป็นแน่ แต่ก็ทรงกราบทูลตามความจริงว่าไปสร้างสุสานให้มด โดยไม่เกรงว่าจะถูกลงทัณฑ์ที่เล่นสกปรกแต่อย่างใด พระนางเป้าเต๋อพอใจที่ลูกรักมีจิตเมตตาและกล้าพูดความจริง จึงเพียงแต่เอ็ดว่า "ช่วยมดแม่ไม่ว่าแต่ถูกถูกกัดแล้วต้องแสบคันพราะแพ้พิษจะเดือดร้อนไปกันใหญ่ แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นอีก" พระธิดาสามจึงต้องยอมรับอย่างจำยอมแต่ใครจะรู้ความจริงเล่าว่าในใจขององค์หญิงสามนั้นละวางการช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้อ่อนแอกว่าได้ยากยิ่ง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลางฤดูร้อนคืนหนึ่ง พระธิดาเมี่ยวซ่านร้อนรุ่นพระทัยอย่างแปลกประหลาด จึงออกมานั่งเล่นใต้ต้นหลิวเพื่อรับลมเย็น ฟังจั่กจั่นกรีดเสียงเป็นจังหวะเพลิดเพลิน พระธิดาใคร่คราญถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเอารัดเอาเปรียบ ก่อเวรสร้างกรรมอย่างไม่รู้สำนึก พลันคิดหาเหตุแห่งทุกข์และการดับทุกข์จนจิตสงบประหนึ่งเข้าฌาน ทันใดนั้นเสียงจั่กจั่นอันไพเราะได้ขาดห้วงลงเหมือนถูกบางสิ่งรบกวน พระธิดาสามตื่นจากภวังค์รีบค้นหาสาเหตุที่รบกวนเสียงจั่กจั่นทันทีและแล้วพระธิดาก็ได้เห็นตั๊กแตนตำข้าวขนาดใหญ่ ใช้สองขาหน้าจับจั่กจั่นพร้อมที่จะกัดกินทุกเมื่อ พระธิดาผู้เมตตาย่อมไม่ยอมให้เหตุเช่นนั้นเกิดขึ้น พระองค์รีบปีนม้าหินเหนี่ยวกิ่งหลิวจับตั๊กแตนแยกออกจากจั่กจั่น เจ้าแมลงตัวจ้อยบินจากไปอย่างไม่สำนึกบุญคุณ ฝ่ายตั๊กแตนตำข้าวแกว่งสองขาหน้าเหมือนโกรธแค้นที่มีผู้ช่วยเหลือเหยื่อของมัน จึงปักขาอันแหลมคมลงบนมือของพระธิดา กรีดเนื้ออ่อน ๆ เป็นแผลยาวแล้วบินหายไป พระธิดาตกใจจนตาพร่ามัวไร้เรี่ยวแรง ล้มคว่ำลงจากม้าหิน พระนลาฏ (หน้าผาก) กระแทกโขดหินที่ประดับสวนเจาะเเจ้าแม่กวนอิม    ต้นหลิว ป็นโพรงเลือดไหลนองพื้นแล้วสติก็ดับวูบลงพระธิดาเมี่ยวซ่านฟื้นขึ้นอีกครั้งภายในห้องบรรทน บาดแผลบนศีรษะและมือได้รับการพยาบาลแล้ว กระดูกข้อเท้าที่ข้อต่อหลุดขณะล้มคว่ำถูกต่อให้เข้าที่ คงเหลือแต่ความเจ็บปวดจนยากจะบรรเทา แต่พระองค์ไม่ปริปากร้องอกมา เพราะพระบิดาพระมารดาเฝ้ามองอยู่อย่างทุกข์ใจ พระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งถามว่า "ลูกรักไฉนจึงไปบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสวนได้ แล้วรู้สึกเจ็บที่ตรงไหน บอกพ่อมาเร็ว" พระธิดาน้อยไม่กล้าโป้ปดจึงเล่าเรื่องตั๊กแตนทำร้ายจั่กจั่นแล้วตนเข้าไปช่วยให้ฟัง เมื่อรู้สาเหตุพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ทรงพิโรธยิ่ง ตรัสว่า "พ่อบอกเจ้าอยู่เสมอว่ามิให้ทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ดีแล้วเจ็บคราวนี้จะได้สำนึก" พระมเหสีเห็นลูกรักทรมานกายและใจก็ได้แต่ร่ำไห้รำพึงว่า "ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย"พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นไม่เคยคิดโทษตัวเองที่ช่วยจั่กจั่นตัวจ้อยจนเกิดเหตุเลย หากจิตใจยิ่งปีติยินดีคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้น ๆ มากกว่าเดิม

ตอนที่ ๒ นักพรตเฒ่าลึกลับ


ครั้นบรรดาพสกนิกรทราบว่า อาณาจักรซิงหลิงได้พระธิดาองค์ที่สาม ต่างประดับประดาโคมประทีปหลาก  สีเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ ทุกบ้านตีฆ้อง กลอง เต้นรำรื่นเริงราวกับได้โอรสแห่งแผ่นดินกระนั้น ส่วนในพระราชวัง พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงจัดงานฉลองเหล่าเสนาอำมาตย์ถึง ๓ วัน ๓ คืน เอิกเกริกไม่แพ้กันเมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งให้พระพี่เลี้ยงนำพระธิดาเข้ามายังท้องพระโรง เพื่อให้เหล่าอำมาตย์ได้ถวายพระพร พระธิดาน้อยซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะงอแงมาก่อนเลยได้กรรแสงขึ้นเสียงดังลั่นท้องพระโรง สะกดให้ทุกคนหยุดนิ่งอย่างแปลกใจ และไม่ว่าพระพี่เลี้ยงจะให้นมก็มิทรงหยุดร้องได้เลยขณะเดียวกันทหารผู้หนึ่งได้นำทางนักพรตชราท่าทางมิใช่นักพรตสามัญมาเข้าเฝ้าถวายพระพร พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสถามว่า "ท่านนักพรตชื่อแซ่ว่ากระไร เหตุใดจึงมาถึงที่นี่ได้" นักพรตเฒ่าทูลว่า "เฒ่าเขลาผู้นี้มิมีชื่อแซ่ หากมีจุดประสงค์หนึ่งเดียวคือ มาเพื่อทูลให้ทรงทราบว่า พระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์ผู้เมตตามาโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกิเลส พระธิดาน้อยจักโตขึ้นเป็นหน่อเนื้อพุทธวงศ์กษัตริย์แห่งอาณาจักร" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วหัวเราะลั่นท้องพระโรง "ฮ่า ๆ นักพรตเฒ่าช่างโป้ปด เหตุไฉนพระโพธิสัตว์จึงแบ่งภาคมาเป็นหญิงมิใช่ชายเล่า แล้วซิงหลิงเป็นอาณาจักรเล็กเท่าธุลีจะมาโปรดสัตว์ที่นี่เพื่ออะไร หากท่านต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง ก็จงทำให้ลูกสาวเราหยุดร้องไห้ ท่านจะทำได้หรือไม่"นักพรตเฒ่าจึงว่า "เหตุที่พระธิดากรรแสงนั้นเพราะทรงแผ่เมตตาประทานแก่เหล่าวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา บนโต๊ะอาหารที่ถูกประหารชีวิตสังเวยแก่ปากท้องมนุษย์...เฒ่าเขลาผู้นี้จักสาธยายคุณพระแก่พระธิดาน้อยให้หยุดกรรแสงเอง" นักพรตตรงเข้าหาพระธิดา ใช้มือลูบพระพักตร์และกล่าวว่า อย่าร้อง เพราะจิตจะหม่นหมอง ท่านคือพระผู้มาโปรด ชาวโลกล้วนศรัทธาท่าน จงก้าวพ้นภัยอันยิ่งใหญ่ด้วยญาณและคุณความดี พระธิดาน้อยหยุดกรรแสงเพื่อสดับธรรมตั้งแต่คำแรก ตาจับจ้องอยู่ที่นักพรตเฒ่าไม่กระพริบดั่งเข้าใจมนต์บทนั้น พระเจ้าเมี่ยวจวงและบรรดาเสนาอำมาตย์ต่างตกตะลึงประหลาดใจหลังจากนักพรตเฒ่ากล่าวอำลาพระเจ้าเมี่ยวจวงและจากไปพร้อมสายลมประหลาด กิริยายามเดินก็รวดเร็วดุจเหินต่างจากชายชราทั่วไป พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยทันทีว่านักพรตเฒ่าเป็นผู้วิเศษจึงสั่งทหารตามไปเชิญกลับมา แต่ทว่ากำลังทหารองครักษ์ค้นหาเท่าไรก็ไม่พบร่องรอยของนักพรตแม้แต่เงา อำมาตย์ฝ่ายซ้ายนาม อานาลั๋ว ผู้ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาจึงกราบทูลว่า "หม่อมฉันเห็นว่าแม้เราจะใช้กำลังติดตามไปก็ย่อมไม่พบนักพรตผู้นั้น เมื่อท่านมิใคร่ต้องการให้ผู้ใดพบอีก ยิ่งได้ฟังมนต์ของท่านนักพรตจนพระธิดาหยุดกรรแสงนั้น แสดงว่านักพรตท่านนั้นคงเป็นพระอรหันต์สาวกจำแลงกายมา !"เส้นทางสายไหม
ข่าวการปรากฏกายและหายตัวไปอย่างลึกลับของนักพรตเฒ่า รวมทั้งเรื่องการฟังธรรมจนหยุดกรรแสงของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรซิงหลิง ชาวบ้านร้านตลาดต่างกล่าวขวัญถึงเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้เบื่อ เพราะในยามนี้พวกเขากำลังสนใจพุทธศาสนาที่แผ่เข้ามาจากทางภิกษุและพ่อค้าอินเดียบนเส้นทางการค้าขายที่ชื่อว่า เส้นทางสายไหม ด้วยทุกคนมุ่งหวังยังจุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ คือ ความพ้นทุกข์แห่งสรรพสัตว์นั่นเอง

ประวัติพระโพธิสัตว์กวนอิม ตอนที่ ๑

                                                                กำเนิดพระธิดาเมี่ยวซ่าน
ในสมัยราชวงศ์โจวปีสุดท้าย แผ่นดินจีนนองเลือดด้วยภัยสงครามจากการปราบปรามอาณาจักรใหญ่น้อย สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนกำเนิดเจ้าแม่กวนอิมทุกหย่อมหญ้า เหตุด้วยจักรวรรดิจีนต้องการรวมอำนาจให้เป็นหนึ่งเดียวหากแต่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกนับหมื่นลี้ ข้ามอาณาเขตแห่งขุนเขาซีมี่ซานอันเยือกเย็น ปกคลุมไปด้วยหิมะชั่วตาปี กลับมีอาณาจักรอันเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่นามว่า อาณาจักรซิงหลิง ดำรงอยู่อย่างสันติและเป็นสุขมานานนับร้อยปี
ในรัชสมัยของพระเจ้าเมี่ยงจวง ผู้ทรงปรีชาสามารถด้านการสงคราม และจัดการระบอบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ประชาชนภายใต้การปกครองของพระองค์นับแสนคนจึงอยู่ดีกินดี และใฝ่ในทางสันติธรรม พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางเป้าเต๋อ ผู้งดงามและชาญฉลาด แต่ทว่าทั้งสองพระองค์มีเพียงสองพระธิดาที่งามดั่งนางฟ้าองค์น้อย ๆ พระนามว่า เมี่ยวอิม และ เมี่ยวเวี๋ยนจึงสร้างความกังวลให้กับพระเจ้าเมี่ยงจวงในยามพระชนมายุกว่า ๖๐ พรรษา ผู้ไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์อย่างยิ่งคืนหนึ่งพระนางเป้าเต๋อสุบินว่า ทรงตื่นขึ้นกลางทะเลกว้างเวิ้งว้าง เกลียวคลื่นมหึมาซัดสาดอย่างน่ากลัว ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องทั่วท้องทะเล พร้อมดอกบัวทองพุ่งขึ้นมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ขนาดของดอกบัวค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นสูงเสียดฟ้า รัศมีสีทองเจิดจ้าจนพระนางต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ามีภูเขาสูงลิบโผล่ขึ้นมาแทนบนยอดเขามีเจดีย์เจ็ดยอดพร้อมแก้วมณีส่องรัศมีไกลหมื่นลี้ประดิษฐานอยู่บนยอดสูงสุด บนฟ้าปรากฎหมู่กระเรียนและมังกรบินพาดผ่าน แก้วมณีบนยอดเจดีย์นั้นค่อย ๆ ลองตรงเข้ามาตกสู่อ้อมอกของพระนางพอดี หากแต่เมื่อจะคว้าไว้ดวงมณีนั้นก็ลอยหายไป พระนางวิ่งไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งสะดุ้งองค์ตื่นขึ้นพระนางเป้าเต๋อเล่าสุบินนิมิตให้พระเจ้าเมี่ยงจวงฟัง พระองค์ก็เกษมสำราญยิ่งนัก ตรัสว่า "สุบินของน้องหมายถึงพระพุทธศาสนาจักแผ่ไพศาลด้วยผู้มีบุญบารมีจะมาจุติในครรภ์ ซึ่งต้องเป็นพระโอรสอย่างแน่นอน" ครั้นแล้วพระเจ้าเมี่ยวจวงได้ทรงประกาศจัดงานเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร หลังจากนั้นไม่นานพระนางเป้าเต๋อก็ทรงพระครรภ์สมพระทัย ปรากฎอาการแพ้ครรภ์ก็คือ จะทรงเสวยเนื้อสัตว์รวมทั้งผักที่มีกลิ่นเหม็นฉุนชนิดใดมิได้เลย ทั้งที่ยามปกติจะทรงโปรดอาหารประเภทเนื้อเป็นที่สุดก็ตาม เมื่อฝืนเสวยก็จะทรงอาเจียนออกหมด หมอหลวงตรวจแล้วก็ว่าเป็นอาการของหญิงแพ้ท้องตามปกติ ไม่มีใครรู้สึกผิดแปลกถึงความมหัศจรรย์อันสุดวิเศษภายในพระครรภ์ของพระองค์ยามนี้เลย ดอกบัว   เจ้าแม่กวนอิม เหมันตฤดูผ่านไป วสันตฤดูอันชุ่มชื่นเข้ามาเยือนแทนที่ พร้อมพระครรภ์แก่ใกล้กำหนดประสูติ ครั้นถึงวันที่ ๑๙ เดือน ๒ นางสนมในตำหนักพระนางเป้าเต๋อได้วิ่งมาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "พระมเหสีประสูติพระธิดาแล้วเพคะ ขอพระราชทานนามเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงนิ่งอึ้ง รำพึงอย่างลืมองค์ว่า "ลูกสาวอีกแล้วรึ...พระมเหสีอาการเป็นอย่างไรบ้าง" นางสนมจึงทูลว่า "พระพลานามัยสมบูรณ์ทั้งคู่เพคะ หากเวลาประสูตินั้น นกนานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานดั่งดนตรี มีกลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่วตำหนัก มวลดอกไม้สดชื่นแจ่มใสกว่าที่เคย และพระธิดามีกระแสเสียงก้องกังวาลกว่าทารกธรรมดาเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงฟังแล้วก็ทราบว่าพระธิดาสามต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการใหญ่หลวงเป็นแน่ จึงทรงตรัสว่า "ให้ชื่อว่า เมี่ยวซ่าน อันหมายถึง ความดีอันวิเศษยอดยิ่ง !"

บทนำประวัติพระโพธิสัตว์กวนอิม

ศาสนาในประเทศจีน มีศาสนาใหญ่ๆ อยู่สามศาสนาอันได้แก่ เต๋า ขงจื่อ และพุทธศาสนา ขงจื่อและศาสนาเต๋าเป็นศาสนาที่มีถิ่นกำเนิดใประเทศจีนเอง ส่วนศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เผยแผ่มาทางตะวันตก ศาสนาพุทธก็เป็นที่เคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขงจื่อและเต๋าในแผ่นดินจีนจะมีภูเขาที่มีชื่อเสียงอยู่สี่แห่งซึ่งมีปูชนยสถานทางพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่อันได้แก่ ภูเขาจิ่วฮัวมีพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ ภูเขาอู่ไถ มีพระมัญชูศรีโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ ภูเขาเอ่อเหมยมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ และภูเขาผู่ถัวมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์หรือประโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐานอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งสี่ต่างก็ได้รับการยกย่องอย่างมากในพุทธศาสนามหายาน แต่พระโพธิสัตว์กวนอิมจะมีผู้นับถือมากที่สุด พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่เด็กตลอดจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่แม้แต่สตรีในศาสนาขงจื่อยังรู้จักดี ปัจจุบันพระโพธิสัตว์กวนอิมนับวันจะมีผู้นับถือมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะธรรมานุภาพของกวนอิม แต่ประชาชนส่วนใหญ่มักนับถือพระองค์ในทางหลงงมงาย ซึ่งในทางตรงข้ามแล้วจุดมุ่งหมายของโพธิสัตว์ต้องการให้ชาวโลกได้เข้าใจในพุทธธรรมเพื่อจะได้บรรลุถึงฝั่ง ในสัทธรรมปุณฑริกาสูตรกล่าวว่า “สรรพสัตว์ที่ทุกข์กังวลตั้งใจสวดพระนาม โพธสัตว์ก็จะเพ่งเสียงนั้น ล้วนจะได้รับการหลุดพ้น พระองค์คือโพธิสัตว์กวนอิม” จากอักษรไม่กี่ประโยคนี้จึงทำให้คนส่วนใหญ่หลงงมงายยิ่งขึ้น ขอเพียงให้เชื่อถือกวนอิมไม่คำนึงว่าตนเองจะประพฤติอย่างไรพระโพธิสัตว์กวนอิมก็จะมาปกป้องเขา ประทานความอยากให้พวกเขาสมหวัง ซึ่งสิ่งที่พวกเขากลัวกันมากที่สุดคือความตาย ตายแล้วก็ตกนรก ไม่ได้ไปผุดไปเกิดจึงทำให้มีการสวดพระนามของกวนอิม เพื่อให้มีอายุยืน มีการถือศีลกินเจ เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อตายไปแล้วจะได้ไปเสพสุขที่พุทธภูมิ เพราะความโลภมากเห็นแก่ได้ของตนเองโดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่ตนเองได้กระทำอยู่ทุกวันล้วนเป็นบาป เพื่อสนองความศรัทธาของตนที่มีต่อกวนอิม จึงได้สร้างรูปลักษณ์แปลกๆ ต่างๆ เพื่อสักการบูชา ผู้ที่อยากได้บุญวาสนาก็จะสักการะพระกวนอิมทรงจีวรขาว ผู้ที่อยากได้บุตรก็จะสักการะพระกวนอิมที่อุ้มเด็กพวกชาวประมงที่จับปลาก็จะไหว้พระกวนอิมที่ถือตะกร้าปลาฯ ต่างๆเป็นต้น ทำให้รูปลักษณ์ของกวนอิมนับวันก็ยิ่งสับสนยิ่งขึ้น ซึ่งห่างไกลจากหลักธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่บูชากพระโพธิสัตว์กวนอิมจึงมีมากดุจขนวัว แต่ที่บรรลุมีน้อยดุจเขาวัว จึงรู้สึกน่าสมเพชยิ่งการที่ข้าพเจ้าได้แปลเรื่องพระโพธิสัตว์กวนอิมให้ชาวไทยได้อ่านให้กว้างขวางยิ่งขึ้นนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักเป็นประการที่หนึ่ง อีกประการหนึ่งก็เพื่อให้เห็นความแยบยลของพุทธธรรมทำให้ผู้หลงงมงายจะได้มีความกระจ่างแจ้งในธรรมจะได้บรรลุถึงฝั่งนิพพาน แม้จะมีปณิธานที่สูง แต่จะบรรลุถึงเป้าหมายหรือไม่ยังไม่รู้ก่อนที่จะเริ่มเรื่องก็อยากพูดถึงพระธรรมกายของโพธิสัตว์กวนอิมว่าเป็นบุรุษหรือสตรี บ้างก็ว่าเป็นบุรุษบ้างก็ว่าเป็นสตรีตามสามัญสำนึกแล้ว หลายๆ คนก็บอกว่าพระโพธิสัตว์เป็นสตรี เพราะบัางได้สมัญญาว่าพระแม่กวนอิม แต่ในหนังสือบันทึกของหูสือหลิง และบันทึกกวนอิมของหวังฟ่งโจวจะบ่งชี้ว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นบุรุษโดยมีหลักฐานอ้างอิง ต่างๆ นานนา แต่ในพงศาวดารจีนฝ่ายเหนือได้บันทึกไว้ว่า ในความฝันของนายอวี่จื่อไฉที่พบเห็นกลับเห็นโพธิสัตว์กวนอิมเป็นสตรีงาม จักรพรรดิอู่เซินแห่งราชวงศ์ไป๋ฉีก็ได้ฝันเห็นพระโพธิสัตวกวนอิมเป็นสตรีที่สวยงามเช่นกันปัญหานี้จึงไม่สามารถสะสางได้ง่ายนัก และจากหลักฐานในเรื่องราวของพระโพธิสัตว์กวนอิมก็จะสามารถอธิบายได้ ทั้งนี้เพราะโพธิสัตว์กวนอิมีเมตตาห่วงใยชาวโลก จึงมักแปลงกายมาช่วยเหลือตามแต่บุญสัมพันธ์ มีการแปลงกายเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ กันถึงสามสิบสามรูปลักษณ์ตามแต่สถานการณ์ในขณะนั้น ดังนั้นเมื่อชาวบ้านในแต่ละทื้องถิ่นที่ได้ประสบพบเห็นพระโพธิสัตว์ในรูปลักษณ์แบบไหนก็มักจะสร้างพระโพธิสัตว์กวนอิมตามที่ตนได้เห็นเพื่อสักการบูชาจึงทำให้รูปลักษณ์ของพระโพธิสัตว์มีอยู่หลายรูปแบบ ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการแปลงร่างของพระโพธิสัตว์กวนอิมทั้งสิ้น มิใช่ในบันทึกจะเขียนแต่งเอาเองก็หาไม่ดังจะยกตัวอย่างที่มีบันทึกในประวัติศาตร์ ลองมาฟังประวัติกันดู "พระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ ทรงมีวงพักตร์งดงามละมุนเปี่ยมเมตตาพระเกศาดำขลับดุจเมฆยามรติกาล พระฉวีผุดผ่องบริสุทธิ์ยิ่งกว่างาช้างพระเนตรงามกว่านัยน์ตาของสตรีใดในโลกพัสตราภรณ์เครื่องทรงสีขาวสกาวแสงราวสายฟ้า พระหัตถ์ซ้ายทรงแจกันหยกขาวเปี่ยมน้ำทิพย์แห่งความกรุณา พระหัตถ์ขวาทรงกิ่งหลิวพระกรรณคอยสดับฟังเสียงร่ำร้องทุกขเวทนาของสัตว์โลกพระเมตตายิ่งใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่เราสมพระนามพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร"
เจ้าแม่กวนอิมผู้ทรงสดับเสียงทุกขเวทนาของของสัตว์โลกเมื่อพุทธศาสนาแผ่หลักธรรมมาถึงประเทศจีน ทุกคนต่างแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร หากแต่สตรีที่มีความกตัญญูสูงส่งผู้หนึ่งยอมละทิ้งอิสริยยศแห่งเจ้าหญิง ออกบวชเพื่อแสวงหาธรรมอันประเสริฐ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ พร้อมการผจญภัยอันยิ่งใหญ่สู่เทือกเขาหนาวเหน็บ จนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สดับฟังเสียงทุกข์สุขของสัตว์โลกดังพระนาม "กวนซีอิมพู่สัก"