พระธิดาเมี่ยวซ่านยังคงเดินจากไปอย่างงามสง่า เสมือนหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์อันยิ่งใหญ่ เพราะในใจนั้นแสนปีติยินดีที่ได้ออกบวชบำเพ็ญธรรมสมความตั้งใจ มิได้อาลัยอาวรณ์กับทรัพย์สมบัติหรือราชบังลังก์เบื้องหลังเลย พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จสู่อารามนกยูงขาว พร้อมทหารรักษาพระองค์หนึ่งกองร้อยเป็นผู้ติดตาม ผ่านถนนสายต่างๆในพระนคร ชาวเมืองต่างพากันมาชมพระบารมีไม่ขาดสาย ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระธิดาผู้งดงามสูงศักดิ์ยอมสละทรัพย์สมบัติมหาศาล เสด็จสู่ทางแห่งพุทธธรรม น่าสรรเสริญยิ่งนักครั้นกองทหารนำทางพระธิดาสู่วัดนกยูงขาวเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะลากลับ นายทหารผู้นำกองร้อยจึงแจ้งสาสน์ลับแก่ภิกษุณีเจ้าอาวาสว่า "พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีพระบัญชาให้พระธิดาเมี่ยวซ่านทำงานหนักที่สุดและต่ำช้าที่สุด ห้ามให้ผู้ใดช่วยเหลือเป็นอันขาด มิเช่นนั้นทั้งวัดนี้และวัดอื่นๆในราชอาณาจักรจะถูกทำลายจนหมดสิ้น" พระภิกษุณีต้องรับพระบัญชาด้วยความจำยอมหลังจากกองทหารนำเสด็จกลับไปแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสขอออกบวชเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์ และช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ภิกษุณีเจ้าอาวาสท่านมีจิตสงสารพระธิดาเป็นที่สุด จึงกล่าวว่า "พระธิดาผู้สูงศักดิ์ พระเจ้าเมี่ยวจวงมีรับสั่งมาให้พระองค์ทำงานอันหนักและต่ำช้าเป็นการทดสอบก่อนบวช ไม่ทราบว่าพระองค์จะอดทนได้หรือไม่" พระธิดาเมี่ยวซ่านตรัสยืนยันว่า "พระแม่เจ้าอย่าได้กังวลเลย ร่างกายของข้าพเจ้านี้ได้ผ่านงานหนักมาแรมปี ย่อมอดทนต่อกิจทั้งปวงได้อย่างแน่นอน" ภิกษุณีเจ้าอาวาสจึงพาพระธิดาเข้าปฏิญาณตนต่อพระพุทธปฏิมาทองคำในยามสนธยานั้นเอง วัดนกยูงขาวในคืนนั้นจึงมีเสียงสวดสาธยายพระสูตรดังเจื้อยแจ้วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงจากพระธิดาเมี่ยวซ่าน ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบ กลิ่นธูปควันเทียนลอยขึ้นฟ้าปนกับกลิ่นใบสนในอากาศ นับเป็นความสุขสงบเรียบง่ายทั้งกายและใจที่พระธิดาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าที่พักเมื่อเวลาดึกสงัด จวบจนยามใกล้รุ่งจึงลุกขึ้นจากที่บรรทมเตรียมปฏิบัติภารกิจที่พระบิดาสั่งการไว้ โดยแต่งองค์ในชุดขาวคล้ายชี แต่ขมวดผมมุ่นเป็นมวยเพราะยังมิอาจปลงผมได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระบิดาครั้นพระองค์เสด็จผ่านลานวัดเพื่อจะไปตักน้ำ ปรากฎว่ามีชายแปลกหน้าผู้หนึ่งท่าทางมีสง่าเหนือคนทั่วไปกำลังยืนรอพระธิดาอยู่ พร้อมกับกล่าวว่า "พระธิดาผู้ภักดีในพระพุทธศาสนาจะเสด็จไปตักน้ำในบ่อที่ห่างไกล เสมือนสิ่งกีดขวางการปฏิบัติธรรมตามประสงค์ร้ายของพระบิดา แต่เราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่" ทันใดนั้นได้มีบ่อน้ำพุอุบัติขึ้นมากลางลานวัด น้ำสะอาดบริสุทธิ์ใสปานแก้วไหลพวยพุ่งดังจะไม่มีวันสิ้นสุด ภิกษุณีเมี่ยวซ่านตะลึงงัน และเมื่อจะหันไปคารวะท่านผู้วิเศษ ชายผู้นั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและกล่าวว่า วิบากกรรมของผู้มีบุญบารมี เช่นท่านทำให้สวรรค์ร้อนดั่งเพลิง เราจึงลงมาช่วยเหลือท่าน อย่าแปลกใจไปเลย"พระธิดาเมี่ยวซ่านยินดียิ่งนักจึงเปล่งวาจาว่า "หากผลบุญจากแรงภาวนาของข้าพเจ้ามีจริงขอให้น้ำพุจากธารนี้จงกลายเป็นโอสถบำบัดความเจ็บป่วย
แก่ผู้มาลิ้มรสหรือผู้มาวัดนี้ด้วยใจศรัทธาเทอญ" ด้วยแรงอธิษฐานนั้นเอง ทำให้น้ำพุนั้นกลายเป็นน้ำทิพย์ ช่วยผู้คนจากทั่วสารทิศที่เดินทางมาทำบุญในวัดนี้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ยกเว้นผู้มีบาปอกุศลอันร้ายแรงเท่านั้นที่ดื่มกินเท่าไรก็ไม่บังเกิดผล ต่อมาพระธิดาเมี่ยวซ่านได้เสด็จสู่พระวิหาร เพื่อจะเก็บกวาดทำความสะอาด แต่ทว่าได้มีบุรุษแปลกหน้ากำลังกวาดพื้นอยู่ เมื่อชายผู้นั้นเห็นพระธิดาจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นเทพบนสวรรค์ แต่บุญกุศลที่มียังไม่เท่าการได้รับใช้พระโพธิสัตว์ในขณะยังมีพระชนม์ชีพ ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้กวาดวิหารนี้ต่อไปเถิด" พระธิดาเมี่ยวซ่านจำต้องยินยอมจากนั้นได้เสด็จออกจากวัดขึ้นเขาเพื่อเก็บฟืน ทันใดนั้นก็ปรากฏชายสวมเสื้อผ้าสีเขียวแบกฟืนเดินมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์แล้วกล่าวว่า "ข้าแต่องค์พระโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าเป็นเทพารักษ์แห่งภูเขานี้มาหลายพันปี ขอให้ข้าพเจ้าได้รับใช้แบกฟืนแทนพระองค์ เพื่อผลบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยเทอญ" พระธิดาเมี่ยวซ่านฟังแล้วจึงว่า "สาธุ ขอจงเป็นไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด"เมื่อพระธิดาว่างเว้นจากการทำงาน พระองค์จึงประทับเจริญภาวนา สาธยายพระสูตรเรื่อยไป ขณะนั้นเองได้มีฝูงนกบินมาจากทั่วทุกทิศลงมาห้อมล้อมพระธิดาพร้อมถวายผลไม้ให้เสวยมากมาย ช่วงเวลาเดียวกันก็บังเกิดเสียงพึมพำซุบซิบลอดเข้าไปในวิหาร เสียงระฆังดังกังวานโดยไม่มีคนตี นับเป็นความอัศจรรย์อันเกิดขึ้นได้ยากบนโลกนี้