ความหมายเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมงานศพ

1. มัดตราสังข์สามเปราะ
มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก   มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี – ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ
ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
2. เคาะโลงรับศีล
ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีลแต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
3. สวดอภิธรรม
มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผลควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวดให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
4. บวชหน้าไฟ
มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชเหงา เศร้า งานศพต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ
มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
5. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
6. การเวียนซ้าย 3 รอบ
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสาม อันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทานก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลสเป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย
7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพานต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม
8. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้ว ตามวิบากของกรรมต่อไป
( อ้างอิงจาก http://larndham.net/index.php?showtopic=23064&st=70)
9. การทุบหม้อน้ำ ขณะที่เอาศพลงจากบ้าน เป็นการทุบขันธ์ 5  (ร่างกาย ความรู้สึก ความทรงจำ ความคิด และการรับรู้ ) บอกถึงความจริงที่ว่า “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง วันหนึ่งจะต้องแตกดับ” 10. จูงศพออกจากบ้านมีการจุดประทัดสนั่นลั่นปฐพี บางคนอธิบายว่าที่จุดประทัดก็เพื่อบอกคนตายว่า ....ออกจากบ้านแล้วนะ อย่ากลับมาอยู่ที่นี่อีกเลย... แต่ความหมายในทางธรรมที่แท้จริงของการจุดประทัดยามจูงศพออกจากบ้านคือ “ชีวิตคนก็เหมือนประทัด เดี๋ยวก็แตกดับ เหลือแต่ฝุ่นฝอย”  ไม่เหลือแก่นสารอะไร ชีวิตคือความว่างเปล่า (สุญญตา) จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในชีวิตจนงมงาย ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น11. “อนิจจัง วะตะ สังขารา รูปร่างสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเช่นนี้เอง มีความเกิด ความแตกดับเป็นธรรมดา”              เป็นบทที่พระสงฆ์ใช้บริกรรมยามพิจารณาศพหรือพิจารณาผ้าบังสุกุล เป็นการกล่าวถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่สอนในเรื่องการเกิดดับ แต่เรามักไปพิจารณาเนื้อผ้าบังสุกุล จึงได้มาแต่ผ้า ไม่เห็นว่าวันหนึ่งตัวเองก็จะต้องตาย ไม่เข้าใจความแตกดับอันเป็นธรรมดาของสังขารซึ่งแสดงตนอย่างเปิดเผยอยู่ตรงหน้า

ไม่มีความคิดเห็น: