ปัญหาซ่อนปัญหา

ชีวิตของคนเราบนโลกกลมๆใบนี้ที่แสนจะวุ่นวายนั้น มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายสลับกันเข้ามาในชีวิตอยู่เสมอ ในบางครั้งชีวิตก็พบเจดกับความสุข ความสนุกสนาน และในบางครั้งก็ต้องพบเจอกับความทุกข์ท้อ  ความสิ้นหวัง ความสุขและความทุกข์มักจะมาพร้อมกันๆกันเสมอ ความสุขที่เข้ามาในชีวิตคงไม่เท่าไรหรอก เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆต่างก็ต้องการ แต่ความทุกข์ที่เกิดจากปัญหาต่างๆสารพัดเรื่องราวช่างเป็นสิ่งที่ใครๆไม่ต้องการเลยสักนิด  และไม่เคยคิดอยากให้เข้ามาในชีวิต แต่ว่าเราทุกคนไม่อาจหนีรอดจากความทุกข์นี้ไปได้หรอก ในหนึ่งชีวิตที่เกิดเราทุกคนต้องเผชิญกับความทุกข์กันทั้งนั้น แต่ปัญหาที่คนเราต้องพบเจอนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการคาดหวังในสิ่งต่างๆที่ต้องการแต่เราไม่เคยได้อย่างใจ ปัญหาที่เกิดจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ทุกวันอาจสร้างความกลุ้มใจให้เราต้องคิด หรือจากปัญหาชีวิตครอบครัว ความรักและอื่นๆอีกมากมาย ซื่งแต่ละคนต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆแตกต่างกันออกไปเช่นกัน  เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “ ปัญหาของใคร ก็คือปัญหาของคนนั้น” มันไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นปัญหาของคนอื่นได้และก็ไม่มีใครจะโยนปัญหานี้ไปให้คนอื่นได้ แม้ว่าปัญหาต่างๆที่แต่ละคนต้องพบเจอนั้นจะแตกต่างกันออกไป จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ  ไม่มีใครหลบหนีจากปัญหาที่เผชิญอยู่ได้หรอก คนทุกคนย่อมได้รับผลกระทบจากปัญหาที่ทำให้สภาวะของอารมณ์ไม่คงที่ ทำให้เกิดการเสียสมดุลทางอารมณ์  เราลองมองย้อนกลับไปดูข้างหลังแล้วจะพบว่า ไม่ได้มีเราคนเดียวที่ต้องพบเจอปัญหาซะหน่อย ยังมีคนทั้งโลกที่ต้องพบเจอปัญหาเหมือนกันกับเรานี่แหล่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องทำใจให้พร้อม เพื่อรับกับปัญหาที่จะรุมเข้ามาหาเราจะดีกว่า  ในเมื่อเราทุกคนไม่สามารถหลบหนีปัญหาที่เข้ามากระทบความรู้สึกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่ปัญหาก็คือปัญหายังมีอยู่เหมือนเดิม เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าปัญหาด้วยความเข้าใจ ลองมองให้ทะลุถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา ว่าในตัวปัญหานี้มีกลไกอะไรแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า ทำไมจึงเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆแบบนี้ เมื่อเราค้นพบแล้วเราก็มีวิธีที่จะรับมือกับปัญหาที่เข้ามาหาเราได้ แต่ถ้าเราหาตัวปัญหาที่ซ่อนอยู่ไม่พบ ต่อให้เราเดินจากไปหรือตื่นขึ้นมาอีกวัน ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน  ถ้าเราไม่ลงมือหาสาเหตุของปัญหานั้นๆ  ในทางตรงข้ามเรากลับมานั่งร้องไห้เสียใจ คิดว่าทำไมเราถึงต้องมาพบเจอแต่ปัญหา ทำไมไม่อะไรที่ได้อย่างใจที่เราต้องการเลย ทำอะไรก็ไม่เคยดี ไม่ถูกสักอย่าง เราคอยแต่โกรธ โทษดินฟ้าทุกครั้งที่มีปัญหาเข้ามาในชีวิต ยิ่งคิดแบบนี้เราไม่อาจมองเห็นหนทางการแก้ปัญหาได้เลยเพราะเราได้ใส่ความท้อแท้ลงไปในหัวใจของเรา ทำให้ปัญหานั้นหนักมากขึ้นจากที่หนักอยู่แล้วยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก จึงทำให้สายตาของเรามองไม่เห็นทางออกของปัญหา เพียงสิ่งเดียวที่มองเห็นคือทางตัน มองไปทางไหนก็มืดมิด มีแต่ความว่างเปล่า  จริงๆแล้วปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิตเรา มันเกิดขึ้นมาเพื่อผ่านไป แต่ก่อนที่ปัญหาจะผ่านไปนั้น ขึ้นอยู่ว่าเราจะปล่อยให้ความทุกข์นี้ผ่านไปเมื่อไร หรือเราพยายามเก็บปัญหานี้ไว้กับตัวไปเรื่อยๆ ปัญหาที่เราพบเจอนั้นก็จะไม่หายไปจากตัวเรา มีแต่จะทำให้เราทุกข์ทรมานไปตลอด ปัญหาต่างๆมากมายที่เข้ามา โปรดอย่าเก็บเอาไว้ให้มาทำลายชีวิตเรา ปัญหาทุกเรื่องราวที่เข้ามาย่อมมีทางออกเสมอ ขอเพียงเราพยายามค้นหาทางออกนั้นให้เจอ ความทุกข์ก็ไปจากชีวิตเรา

เขียนโดย  น้ำทิพย์ (ธุลีดิน)
www.buddhismsawadee.blogspot.com

Vegetarian Restaurant

++ เกร็ดความรู้ ++
การทานอาหารเจ กับการทานอาหารมังสวิรัต ต่างกัน ตรงไหน

--อาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็

นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือน
กัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดดังนี้

อาหารเจนอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว

ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือ
ว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบ

อาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิดยกเว้นผักที่กล่า
วมาแล้ว นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาล
กินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ส่วนอาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อ
สัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองก
ลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

ที่เล่ามานี้ “ซองคำถาม” สรุปมาจากข้อเขียนของ สิริพันธุ์ จุลกรังคะ นิตยสาร “ผู้หญิง” ฉบับที่ ๑๙๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๖

“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แนะนำร้านอาหารเจ & มังสวิรัต

1. Koko - สยามแสควร์ซอย 3 เปิด 11.0-21.00 / อาหารเจแบบไทย
2. เสถียรธรรมสถาน - ซอยวัชรพล เปิด 8.00-14.00 / อาหารเจแบบไทย
3. ครัวสุขภาพสวนไผ่ - ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ เปิด 8.00-19.00 / อาหารเจแบบไทย
4. Spa Foods Restaurant - ข้างอาคารโกลเด้นเพลส ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เปิด 8.00-22.00 / อาหารเจแบบไทย
5. หมายขายดี - ถนนสามเสน บางลำพู เปิด 9.00-23.00 / อาหารเจแบบไทย
6. อาราวี - ถนนดินสอ ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพฯ เปิด 7.00-19.00 / อาหารเจแบบไทย
7. ศูนย์อาหารมาบุญครอง เซ็นเตอร์ - ชั้น 6 มาบุญครองเซ็นเตอร์
8. สวนอาหารสวนลุม - สวนลุมพินี / อาหารเจแบบไทย
9. สุกี้เจหยูอี้ - ซอยพระยาสิงหเสนี ใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง เปิด 9.00-22.00 / อาหารเจแบบจีน
10. มังสวิรัติสะพานหัน - พาหุรัด ใกล้เซ็นทรัล วังบูรพา เปิด 8.00-17.00 / อาหารเจแบไทยและจีน
11. Healthy Pan - ซอยราชูทิศ 2 บางโคล่ เปิด 6.00-20.00 หยุดวันอาทิตย์
12. กวนอิมเจ - ซอยสุขุมวิท 24/1 เปิด 11.00-14.00 และ 17.00-22.00
13. เลมาค - ถนนบางขุนนท์ ตรงข้ามกรมบังคับคดี เปิด 7.00-19.00 / อาหารเจแบบไทย ฮ่องกง และเบเกอรี่เจ
14. อโณทัย - ซอยโรงพยาบาลพระราม 9 เปิด 11.00-21.00 หยุดวันพุธ / อาหารเจนานาชาติ
15. อิ่มบุญ - ซอยจุฬา 11 ถนนพระราม 4 เปิด 9.00-18.00
16. โยคี - ซอยพุทธโอสถ สุรวงศ์ บางรัก เปิด 11.30-19.00 หยุดวันอาทิตย์ / อาหารเจแบบอินเดีย
17. Chijuya - อาคาร Fifty Fifth ซอยทองหล่อ 2 เปิด 11.30-14.30 และ 17.30-21.30 / อาหารเจแบบญี่ปุ่น
18. Ethos - ถนนตะนาว บางลำพู เปิด 8.00-23.00 / อาหารเจแบบยุโรป
19. Thamarind Cafe' - ซอยสุขุมวิท 20 วันธรรมดาเปิด 14.00-23.00 เสาร์อาทิตย์เปิด 17.30-21.30 / อาหารเจแบบอิตาเลียน
20. ครัวเต้าหู้ - โซนอาหารสุขภาพชั้น G เสรีเซ็นเตอร์ เปิด 10.00-21.00
21. เจเจ - ตึกอริยะศักดิ์ศรี ซอยเพชรเกษม 65 เปิด 9.00-14.00 หยุดดวันจันทร์ / อาหารมังสะวิรัติบริสุทธิ์ อาหารเจเฉพาะเทศกาล
22. Govinda - ซอยสุขุมวิท 22 เปิด 11.30-15.00 แบละ 18.00-23.30 หยุดวันอังคาร - อาหารมังสวิรัติแบบอิตาเลียน
23. Rasayana Raw Food Cafe' - ซอยสุขุมวิท 39 เปิด 10.00-20.00 / อาหารมังสวิรัติแบบ Raw Food
24. Channai - ถนนปั้น สีลม ใกล้วัดแขก เปิด 10.00-15.00 และ 18.00-21.00 / อาหารมังสวิรัตนมแบบอินเดีย
25. Komala - ซอยสุขุมวิท 20 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอโศก เปิด 11.00-22.00 / อาหารมังสวิรัตินมแบบอินเดีย
26ร้านอาหารเจหนองสีงา จันทบุรี50/2 ม.8 ต.วังโตนด อ.นายายอาม จ.จันทบุรี 22170เปิดจันทร์-เสาร์ 07.00-16.00 น.ทางเข้าหาดคุ้งวิมาน แหลมเสด็จ เจ้าหลาวจากถนนสุขุมวิท เข้าไป 150 ม.อยู่ขวามือ ติดทางเข้า อบต.วังโตนด (039) 491-660 (039) 491-659

27. ร้าเจจิต อยู่ที่ตลาดน้ำพุ จันทบุรี ตรงข้ามร้านแว่นตา เปิดบริการ 07.00-17.00/
28. ร้านอาหารเจสุขุมวิท (ตรงข้าม ร.ร เทศบาลเมืองตราด) เปิดบริการทุกวัน 08.00-17.00 /อาหารเจทั่วไป
29. ร้านเจสุขุมวิทระยอง   อยู่ใกล้กับธนาคารไทยพานิชย์สาขาระยองเข้าซอย 50 เมตร ร้านเปิดให้บริการทุกวัน 07.00-17.00 ร้านนี้บริการเองตักได้ตามใจชอบ 1อย่าง 25 บาท 2อย่าง30 บาท เป็นกันเองกับลูกค้าทุกๆท่าน ร้านเจร้านนี้จะเน้นคุณภาพมาก เป้นอีกร้านที่น่าสนใจมาก
30. ครัวครูขนุนอาหารเจ & มังสวิรัติ เปิดบริการทุกวัน 11.00-21..00/ หลังโรบินสันจันทบุรีข้างๆกรวรรณแมนชั่นและคิวรถตู้ชลบุรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 081-1558040 (พงศกร ครองศิริ)
31.ร้านอาหารเจดาว  31 ซอยชวนอุทิศ1 ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000 โทร039-321434 , 089-9311195 เปิดบริการ 06.00-18.00/จำหน่ายอาหารเจสดและแห้ง

Face Suffering

.....บทเพลงล้มลงให้หยัดยืนประทานโดย......   !!!++++++พระอาจารย์จี้กง+++++++++

ได้ยินเสียงของใจศิษยา........ ทอดถอนเสียงรำพันเหนื่อยใจ เผชิญกับเรื่องราว.... ต่างเก็บซ่อนไว้ในใจให้จงรู้ว่าคนทุกคนล้วนมีสุขและไม่สมหวัง ผ่านขวากหนามล่วงเลยพบเจอชีวิตใหม่ .....มรสุมโหมสาดไม่ท้อ ....คงไม่นานมีวันข้ามพ้น ศิษย์เจ้าจงมุ่งมั่นเข้มแข็งตน ....+รู้พระคุณเบื้องบนห่วงใย ไม่ว่าทางยาวไกลแค่ไหน หาญกล้าเดินฝ่าฝันมุ่งหมาย มีอาจารย์ข้างกายชี้เส้นทางเฝ้าพร่ำเตือน คอยย้ำเตือน ไม่เลิกลามุ่งข้างหน้า ล้มลงให้หยัดยืนขึ้นมา ไม่หวั่นไหวหนทางลุ่มดอน อาจารย์ยังคงข้างกายศิษย์เดิน ไม่ร้องไห้มีอาจารย์ ทุกข์

ระทมมากสักเท่าไหร่ เพียงศิษย์นั้นจะพร้อมสู้ทน  ผู้คนทั่วโลกา....ชม สรรเสริญยินดี

..............................................................................................................................................................

Many people usually think about things that have not happened. Thing that has not happened yet. This thinking decreases our strength and happiness. Sometime we should have a simple lift. But this thinking turns the simple to complication. If the thinking brings us sadness, worry, unhappiness or fearfulness, then we should not think. We should make the day to be as good as possible. That thinking may never come real. Life is short. No one knows that tomorrow you will get up or not. Do not worry about thing that has not happened. Let us enjoy the happiness when you still alive. There is always time for happiness. Suffering life is a wonderful life. Without suffering people won’t grow up. Suffering is an energy that drives live. Everyone has suffering; this is a way of life. Suffering teaches people to be strong. Without suffering, people won’t know the happiness. No suffering, no happiness. Suffering proves the value of people, weak or strong. Suffering is a challenge. Happiness makes people weak. Happiness like a light rain, mile and soft but empty and no learning. When you face suffering, you should smile and feel lucky. You have got a chance to be peaceful, focus, learn the world and learn yourself. You should cheer up and tell yourself how lucky you are. When suffering is gone, happiness is laid in front of you. So let suffering teaches you good thing in life.

author : ธุลิดิน 
www.Buddhismsawadee.blogspot.com

กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Apple Tree )

Take a good look at an apple tree.  There might be five hundred apples on the tree, each with ten seeds. That’s a lot of seeds!  We might ask, “Why would you need so many seeds to grow just a few more trees?  Nature has something to teach us here. It’s telling us: “Most seeds never grow. So if you really want to make something happen, you had better try more than once.” This might mean:  You’ll attend twenty interviews to get one job. You’ll interview forty people to find one good employee.  You’ll talk to fifty people to sell one house, car, vacuum cleanner, insurance policy, idea……And you might meet a hundred acquaintances to find one special friend.  When we understand the “Law of the Seed”, we don’t! get so disappointed. We stop feeling like victims. Laws of nature are not things to take personally. We just need to understand them – and work with them.   In a nutshell  Successful people fail more often. They plant more seeds. When Things Are Beyond Your Control here’s a recipe for permanent misery……….a) Decide how you think the world should be.  Make rules for how everyone should behave. Then, when the world doesn’t obey your rules, get angry! That’s what miserable people do!  Let’s say you expect that:  Friends should return favours.   People should appreciate you. Planes should arrive on time.  Everyone should be honest.  Your husband should remember your birthday.  These expectations may sound reasonable ,But often, these things won’t happen! So you end up frustrated and disappointed. There’s a better strategy. Have less demands. Instead, have preferences!    ”I would prefer an a but if b happens it's ok too!”   This is really a game that you play in your head. It is a shift in attitude, and it gives you more peace of mind …You prefer that people are polite … but when they are rude,it doesn’t ruin your day. You prefer sunshine … but rain is ok!  To become happier, we either need to   a) change the world, or change our thinking. It is easier to change our thinking!   In a nutshell   It’s not what happens to you that determines your happiness.It’s how you think about what happens to you.







ที่มาคุณ kitdee

http://article.konmun.com

How we can make new world

Becoming human is very difficult. How much value of  yourself ?.Do you have left after birth.? Do everything to satisfy you need while neglect the others suffering’. poor man  day after day  your life is passing to the last day. Now you are begging for life while you have not done any good. How could you beg for you life .It is fair.!! Since were your bor,you had done only destruction.Finally, you will get what you deserv. It is time to wake up.The word “human” means excellence. Will human be excellence  like its maening.Let look beg to your “way of living” .To see how,what that makes your life valuable. Then,continue the good things and stop the bad things.Do not let the bad thinks destroy your life.All our actions come from our “mind” if you do not want thing to occur you should not think about it.So we need to live our life worth  living creatures with the world .Do anything you can for the others.?Presently , world is not like in the past? Mankind when will you stop hurting each others.?? Is there any way to bring you back to unity and give kindness to the others?? Even though it is a small thing but it has a great value but now a days human is crueler than any animal. We try to hurt each others with cold-blooded. Till now , what you have done will affect you. Are there anyone try to reply the world’s kindness

author : ธุลีดิน
www.buddhismsawadee.blogspot.com

God is everywhere

  I was a successful criminal lawyer   enjoying a reputation of always winning a case in the courtroom. I travelled extensively, since I was called by many prestigious organizations in India and abroad to deliver lectures and address important conferences.  I was dealing with renowned diplomats, bureaucrats and many political figures were my clients whose secretaries would wait outside my office for hours.  I was respected by everyone for my quick and discerning mind.  There was seldom a problem which I could not solve in a matter of few days.  Success and adulation surrounded me.  Even the media applauded my legal intelligence and added to my fame. This praise and recognition is surely a heady and potent mixture in life. I never realised that it was pushing me away from the simple yet profound truths of life.

How arrogance overpowered me and seeped in my subconscious even I was not consciously aware. I was a sceptic and an atheist by nature. The presence of God did not find any place in my life. Everything was logical, bound by reason and in my personal control. I had just one childhood friend who dared to argue with me and point out my lack of faith in the divine power. But it goes without saying he could never convince me.

But God has his own ways.  It was my birthday. I was supposed to celebrate with a group of so called elite members of the society. I had gone to Dehradoon for some important work and was scheduled to reach Delhi by the evening. I was with my junior colleague sitting on the backseat of my prestigious high end car. I gave crisp instructions to my chauffeur that I want to reach Delhi by seven and instructed him not to stop anywhere on the way.

But as we were crossing the busy outskirts of Haridwar, my car met with a severe accident. Though the airbags of the car opened instantly, still my driver and colleague died on the spot. The car was smashed badly .I was only injured and was totally shaken sitting on the side of the road. The people had pulled me out of the car before it exploded. I was destined to live.

  I knew my friend had come to Rishikesh  to stay at some saint's ashram whom he held in high esteem. I asked someone standing beside me if he knew about that ashram. I told him about my friend. He immediately offered to take me there in his car since he was also going there to pay his respects to the holy saint.

 I was completely taken aback by the twist of circumstances. I could not clearly comprehend as to how could I be the sole survivor in that terrible car accident with minimum injuries. No need to say my friend was totally shocked by seeing me there.  Anyway he looked after me, made me have hot glass of milk and few sweets before putting me to sleep. Never had I tasted such delicious cow's milk with a dash of cinnamon and turmeric in order to ease my pains.

 I slept beside my friend peacefully.  This kind of calm sleep had eluded me since past so many years. I woke up listening to the sounds of bells ringing in the temple. It was few minutes before sunrise. I had never seen this divine orange hue of the sky.  My friend took me towards the temple where the pious old saint was sitting in meditation and emanating a divine aura.Quitely I sat with my hands folded, head bowed with no words coming in my mind.   I was used to my excellent verbal skills but it was as if they had deserted me in the presence of the holy saint. I felt totally humble in the saint's presence and suddenly a strange calmness enveloped me.

 The holy saint was a man of few words.  He lovingly smiled at me and blessed me.  He spoke softly, his words merely a whisper "God is everywhere but you have no time to listen or see him. Each moment is a wonderful gift of God, Realise it". The room reverberated with the sound of the softly spoken words. It was as if the words were meant for me. How could I, so sure of my skills , had no argument left to convince this man that God was a myth created by the human mind? Why I was so spell bound and quiet whereas I would thunder in the courtrooms and see the awestruck faces of the opponents and the crowd?  .  I felt something melting inside me and tears welled up in my eyes. Yes, God is omnipresent. I could not feel his presence since I was wrapped up in my own egoistic world bewitched with the sound of my thunderous speeches.  I smiled softly and felt my heart open out to the powers of beyond. I bowed feeling grateful to be alive.

Author: Arora Meenakshi